เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 211 อู๋ตี้ แม่ของเจ้ากำลังเรียกเจ้ากลับไปกินข้าวเย็น!
“ตระกูลหยวนจะไปมีรุ่นเยาว์ที่เป็นผู้บ่มเพาะระดับ 6 ได้อย่างไร ?” ฉินหว่านหรูลุกขึ้นยืนด้วยสีหน้าไม่เชื่อ
ฉู่จงเทียนจ้องอู๋เว่ยอย่างไม่วางตาและถามขึ้นเสียงดัง “อ๋องหยางเฉวียน นี่เจ้าทำแบบนี้หมายความว่ายังไง!”
แน่นอน เขารู้ว่าตระกูลหยวนไม่มีทางมีทรัพยากรหรือลูกหลานที่มีความสามารถเพียงพอที่จะบ่มเพาะถึงระดับ 6 ได้ ดังนั้นคนบนลานประลองตอนนี้จึงต้องมาจากตระกูลอู๋แน่นอน!
“ฉู่จงเทียน ข้าเกรงว่าข้าไม่เข้าใจสิ่งที่เจ้าพูด นี่เป็นการต่อสู้ระหว่างตระกูลฉู่และตระกูลหยวน ทำไมเจ้าถึงถามข้าเกี่ยวกับเรื่องนี้ ?” อู๋เว่ยถามกลับพร้อมกับยิ้มอย่างเย้ยหยัน
ฉู่จงเทียนพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงเย็นชา “เราสองคนรู้ดีว่าเกิดอะไรขึ้นที่นี่!!”
“เขาก็แค่ผู้บ่มเพาะระดับ 6 ไม่ใช่เหรอ ? ทำไมเจ้าต้องเอะอะโวยวายให้มันมากมาย ? เจ้าทำอย่างกับว่างานประลองระหว่างตระกูลของเจ้ากับตระกูลหยวนมีกฎห้ามผู้บ่มเพาะระดับ 6 เข้าร่วมอย่างนั้นแหละ ? เท่าที่ข้าจำได้มันไม่มีกฎห้ามดังกล่าวจริงไหมม่านผู้ตรวจการซ่าง?”
“เป็นเรื่องจริงที่ไม่มีกฎเกณฑ์เช่นนั้น” ซ่างหงพยักหน้า
ฉู่จงเทียนขมวดคิ้ว
ถึงแม้จะไม่มีกฎเกณฑ์แบบนั้น แต่นี่เป็นงานประลองระหว่างรุ่นเยาว์ของทั้งสองตระกูล แม้แต่ชูเหยียนที่มีพรสวรรค์สูงส่งของเราก็ยังอยู่ในระดับ 5 เท่านั้น แล้วตระกูลหยวนจะไปมีปัญญามีผู้บ่มเพาะระดับ 6 ที่อายุไม่เกิน 25 ได้อย่างไร!
อู๋เว่ยหัวเราะเสียงดัง “ฉู่จงเทียน ลูกสาวของเจ้าไม่ใช่อัจฉริยะเพียงคนเดียวในโลก สถานการณ์ตอนนี้ชัดเจนมากแล้ว ทำไมเจ้าถึงไม่บอกให้ลูกสาวของเจ้ายอมรับความพ่ายแพ้ไปซะ ? มันคงจะเป็นเรื่องไม่ดีเท่าไหร่ถ้านางได้รับบาดเจ็บระหว่างการต่อสู้ จริงไหม?” เป็นที่รู้กันอยู่แล้วว่าความแข็งแกร่งของผู้บ่มเพาะระดับ 5 และระดับ 6 นั้นต่างกันเป็นอย่างมาก ทักษะที่รุนแรงที่สุดของผู้บ่มเพาะระดับ 5 คือการใช้พลังธาตุโจมตีนั้นถูกป้องกันได้อย่างง่ายดายโดยเกราะพลังธาตุของผู้บ่มเพาะระดับ 6
ดังนั้นไม่มีทางที่ฉู่ชูเหยียนจะสามารถต่อกรกับอู๋ตี้ได้เลย
ฉู่จงเทียนมองลูกสาวของเขาอย่างลังเลครู่หนึ่ง แต่ในระหว่างที่เขากำลังจะพูด ฉู่ชูเหยียนกลับพูดขึ้นก่อนว่า “การต่อสู้ยังไม่จบ!”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ แม้แต่ซือคุนก็อดไม่ได้ที่จะพูดออกมา “แม่นางฉู่ โปรดอย่าฝืนตัวเองเลย ท่านน่าจะรู้ดีว่าผู้บ่มเพาะระดับ 5 กับระดับ 6 แตกต่างกันขนาดไหน ต่อให้ท่านจะยอมรับความพ่ายแพ้ที่นี่ มันก็ไม่ทำให้ชื่อเสียงของท่านแปดเปื้อนหรอก!”
ซือคุนกังวลว่าหากฉู่ชูเหยียนสู้ต่อไปนางอาจจะบาดเจ็บจนมีรอยแผลเป็นบนร่างได้ ..ซึ่งตัวเขาก็รับไม่ได้กับการที่ร่างกายอันสมบูรณ์แบบของฉู่ชูเหยียนจะต้องมีตำหนิ
อย่างไรก็ตาม ฉู่ชูเหยียนตอบกลับอย่างเฉยเมยว่า “ขอบคุณสำหรับความกังวลของนายน้อยซือ แต่ข้ารู้ดีว่าข้ากำลังทำอะไรอยู่”
หยวนเจิ้งฉู่ผู้นำตระกูลหยวนหัวเราะลั่นและพูดว่า “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นตี้อู๋เจ้าควรต่อสู้กับคุณหนูใหญ่ฉู่ต่อไปให้สมเกียรติ แต่เจ้าห้ามทำร้ายนางจนบาดเจ็บร้ายแรงเข้าใจไหม?”
อู๋ตี้ยิ้มตอบ “รับทราบท่านผู้นำ!”
เมื่อได้ยินว่าลูกสาวของเขาตั้งใจจะสู้ต่อ ฉู่จงเทียนจึงคุยกับนางผ่านพลังชี่อย่างกังวลใจ “ถ้าเจ้าพบสิ่งผิดปกติใด ๆ ก็จงรีบเอ่ยยอมแพ้ซะ อย่าเสี่ยงชีวิตเพื่อสิ่งนี้เลย พ่อไม่ต้องการให้เจ้าเป็นอันตราย!”
ฉู่ชูเหยียนพยักหน้าตอบก่อนที่จะมองอู๋ตี้อย่างใจเย็น
อู๋ตี้หัวเราะเบา ๆ และพูดว่า “คุณหนูใหญ่ฉู่ ถึงแม้ว่าท่านจะเป็นอัจฉริยะที่แท้จริง แต่ความแตกต่างระหว่างเราสองคนมันมากเกินไป เพลงกระบี่บุปผาเหมันต์ของท่านไม่ได้เป็นภัยคุกคามข้าเลย มันไม่มีประโยชน์อะไรที่ท่านจะต่อสู้ต่อไป”
เป็นครั้งแรกนับตั้งแต่เริ่มการต่อสู้ ในที่สุดฉู่ชูเหยียนก็ตอบกลับคำพูดของเขา “ไม่มีอะไรแน่นอนในโลกนี้”
หลังจากพูดจบ ร่างกายของนางก็เปลี่ยนเป็นพร่ามัวจากความเร็วที่นางพุ่งตัวเข้าไปหาอู๋ตี้ นางโจมตีเขาด้วยกระบี่อย่างรวดเร็วจากทุกทิศทุกทาง
อู๋ตี้เข้าใจความตั้งใจของนางทันที
นางรู้ว่านางไม่สามารถทำร้ายข้าด้วยการโจมตีด้วยธาตุ ดังนั้นนางจึงตัดสินใจใช้ทักษะดาบของนางเพื่อเอาชนะข้า หึ นี่มันเป็นการกระทำที่ไร้เดียงสาเกินไป เจ้าลืมไปแล้วงั้นเหรอว่าข้ายังสามารถใช้ความสามารถธาตุของข้าได้?
เขากระทืบเท้าลงบนพื้น และโซ่ตรวนเพลิงสองเส้นก็พุ่งขึ้นออกจากพื้นดิน
โซ่เพลิงทั้งสองเส้นว่องไวราวกับงู พวกมันพุ่งตรงไปที่ขาของฉู่ชูเหยียน อย่างไรก็ตาม ในขณะที่โซ่ตรวนกำลังจะเข้าถึงเป้าหมายที่เล็งไว้ อู๋ตี้ก็รู้สึกลังเลใจ
มันจะไม่เสียเปล่าหรอกเหรอถ้าข้าทิ้งรอยแผลเป็นไว้บนขาอันสมบูรณ์แบบของนาง?
อย่างไรก็ตาม ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยวด้วยความสยดสยองทันทีหลังจากนั้น เพราะตระหนักว่าโซ่ของตนพุ่งไปคล้องไว้เพียงเงาเท่านั้น จึงรีบตั้งท่าป้องกันตัวอย่างรวดเร็วและตามที่คาดไว้… ฉู่ชูเหยียนปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังเขาในพริบตา!
ทั้งสองคนลงเอยด้วยการแลกหมัดกันหลายครั้ง
อู๋ตี้เช็ดเหงื่อเย็น ๆ ออกจากหน้าผาก นี่เป็นข้อแตกต่างระหว่างข้ากับอัจฉริยะที่แท้จริงงั้นเหรอ ? แม้ว่านางจะมีระดับการบ่มเพาะที่ต่ำกว่า แต่ข้าก็ยังมีปัญหาในการรับมือกับนาง ถ้าอยู่ในระดับเดียวกัน ข้าคงแพ้ไปนานแล้วใช่ไหม?
เมื่อถึงจุดนี้ เขารู้ว่าตนเองไม่สามารถออมมือได้อีกต่อไป จึงตั้งใจอย่างแน่วแน่แล้วว่าจะจัดการกับฉู่ชูเหยียนให้เร็วที่สุด
ความคิดนี้ของอู๋ตี้ส่งผลให้ฉู่ชูเหยียนสัมผัสได้ถึงแรงกดดันที่เพิ่มขึ้นอย่างมากในทันใด นางเริ่มกลายเป็นฝ่ายเสียเปรียบกับการต้องรับมือกับดาบเพลิงของอู๋ตี้ที่รุนแรงกว่าก่อนหน้านี้หลายเท่า
ซือคุนขมวดคิ้วจ้องไปที่อู๋ตี้ด้วยสายตาเย็นชา ถ้าเจ้ากล้าทิ้งรอยแผลเป็นให้ผู้หญิงของข้า ข้าจะทำให้เจ้าต้องพบกับชะตากรรมที่เลวร้ายยิ่งกว่าความตาย!
“มันจบแล้ว คุณหนูใหญ่ฉู่!”
ด้วยกลัวว่าจะเกิดความยุ่งยากขึ้นหากการต่อสู้ดำเนินต่อไป อู๋ตี้รู้ว่าเขาต้องยุติการต่อสู้โดยเร็วที่สุด เขาพบช่องโหว่ที่สมบูรณ์แบบจากนั้นเขาฟันดาบเพลิงที่ตอนนี้ยาวถึง 9 จั้งใส่ฉู่ชูเหยียน!
ไม่ว่าจะในแง่ของขนาดหรือองศาการโจมตี มันแข็งแกร่งกว่าการโจมตีครั้งก่อน ๆ ที่เขาปล่อยมาก ไม่ต้องสงสัยเลยว่านี่เป็นการโจมตีที่เกินกว่าที่ผู้บ่มเพาะระดับห้าจะรับมือได้
แม้แต่ฉู่จงเทียนก็ยืนขึ้นในเวลานี้ เขาพร้อมที่จะก้าวเข้าไปช่วยลูกสาวของตนหากจำเป็น ไม่จำเป็นต้องพูดเลยว่าในสายตาของเขา ความปลอดภัยของลูกสาวมีความสำคัญมากกว่าการประลอง
แต่แล้วในขณะที่ทุกคนกำลังตึงเครียด จู่ ๆ เสียงหยอกล้อก็ดังขึ้นแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย “อู๋ตี้ แม่ของเจ้ากำลังเรียกเจ้ากลับไปกินข้าวเย็น!”
ฝูงชนรู้สึกงุนงงกับเสียงตะโกนอย่างกะทันหัน พวกเขาไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ แม่ของใครบางคนมาตะโกนเรียกลูกตัวเองกินข้าวเย็นเวลานี้? นี่มันยังไม่เที่ยงวันเลยไม่ใช่รึไง? รึว่าบ้านของพวกเขาอยู่ไกล?
ในทางกลับกันบนลานประลอง ร่างกายของอู๋ตี้กลับสั่นเทาอย่างฉับพลัน
เกิดอะไรขึ้น? ทำไมถึงมีคนเรียกชื่อจริงของข้า?
ต้องรู้ว่าชายวัยกลางคนอย่างเขาไม่มีเจ้าสมบัติที่จะเข้าร่วมงานประลองระหว่างตระกูลนี้ ดังนั้นเขาจึงจำเป็นต้องปกปิดชื่อจริงและสวมหน้ากากที่สร้างโดยปรมาจารย์ด้านอักขระเพื่อปลอมตัวเป็นชายหนุ่ม
มีสายตามากมายที่มองมาที่เขาตอนนี้ หากตัวตนของเขาถูกเปิดเผยที่นี่ แม้แต่ซ่างหงหรืออ๋องหยางเฉวียนก็ไม่สามารถปกปิดเขาได้ และไม่มีทางที่ฉู่จงเทียนจะปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไปง่าย ๆ …ยิ่งไปกว่านั้น สำหรับการทำลายแผนการของตระกูลอู๋และตระกูลหยวน เขาจะต้องถูกลงโทษอย่างรุนแรงเมื่อเขากลับไปแน่!
หรือว่าเกิดอะไรขึ้นกับหน้ากากของข้า? อู๋ตี้เอื้อมมือไปสัมผัสใบหน้าของเขาโดยไม่รู้ตัว
ช่วงเวลาแห่งความลังเลชั่วครู่นี้ทำให้การโจมตีของเขาหยุดลงชั่วขณะ และในขณะเดียวกันร่างกายของฉู่ชูเหยียนที่ถูกปกคลุมด้วยหิมะสีขาว จู่ ๆ หิมะเหล่านั้นกลับเป็นสีเป็นสีน้ำเงิน และนั่นส่งผลความเร็วการเคลื่อนที่ของนางเพิ่มพูนขึ้นหลายเท่าอย่างฉับพลัน
ร่างของนางพร่ามัวเป็นเงาและจากนั้นนางแทงกระบี่ทะลุพลังดาบเพลิงของอู๋ตี้ ก่อนที่จะยั้งปลายคมกระบี่ที่คอหอยของฝั่งตรงข้าม!