เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 230 โปรดเรียกข้าว่า อาซู!
“ถ้างั้นเจ้ามีระดับการบ่มเพาะอย่างในปัจจุบันได้อย่างไร?” ฉู่ชูเหยียนจ้องไปที่ซูอันอย่างตั้งใจ “จากสิ่งที่ข้าเห็นบนเวทีประลอง เจ้าน่าจะอยู่ที่ระดับ 3 เป็นอย่างน้อยที่สุด”
“เจ้าแปลกใจไหมที่เห็นว่าสามีของเจ้าไม่ใช่คนไร้ค่าอย่างที่คนอื่นร่ำลือกัน?” ซูอันเอนตัวไปทางฉู่ชูเหยียนพร้อมกับถามด้วยรอยยิ้ม
ฉู่ชูเหยียนถอยก้าวถอยหลังหนึ่งก้าวเว้นระยะห่างระหว่างพวกเขาก่อนจะตอบว่า “ข้าตกใจมากกว่าแปลกใจ แต่เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า!”
“อ้อ…” ซูอันครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะตอบว่า “อันที่จริง ข้ามีความสามารถมาตั้งแต่เด็ก แต่เป็นเพราะข้าไม่ชอบคุยโอ้อวดดังนั้นข้าเลยเก็บเรื่องนี้มาโดยตลอด และก็นั่นแหละที่เป็นสาเหตุว่าทำไมทั้งโลกถึงเข้าใจข้าผิด… เฮ้อ…พวกสามัญชนก็แบบนี้ เมื่อพวกเขาไม่เข้าใจอัจฉริยะพวกเขาจึงเลือกที่จะดูแคลนแทน!”
“นี่เจ้าหาว่าเราเป็นคนโง่งั้นเหรอ?” ฉินหว่านหรูรับไม่ไหวแล้ว “เราได้ตรวจสอบเจ้าอย่างละเอียดถี่ถ้วนก่อนที่จะรับเจ้าเข้ามาเป็นลูกเขยของเรา ตั้งแต่เล็กจนโตเจ้าเป็นแค่คนไม่เอาไหนตั้งแต่หัวจรดเท้า ลุงที่ตายไปแล้วของเจ้าก็ไม่รู้จักวิธีการบ่มเพาะใดๆ เลย ดังนั้นไม่มีทางที่เจ้าจะเข้าถึงวิธีการบ่มเพาะใดๆ ได้แน่นอน”
“ชีวิตของข้ามันก็เป็นอย่างที่ท่านว่าจริงๆ แต่เมื่อหลายปีก่อนข้าเจอขอทานแก่ที่ใกล้จะอดตายผู้หนึ่ง และด้วยความสงสาร ข้าจึงให้ขนมปังแก่เขา และนั่นทำให้เขารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจของข้ามากจนท้ายที่สุดเขาก็มอบคัมภีร์วิธีการบ่มเพาะให้แก่ข้าเพื่อเป็นการตอบแทน และจากนั้นข้าก็ฝึกฝนมันมาโดยตลอดอย่างขันแข็งจนแข็งแกร่งได้อย่างในปัจจุบัน!” ซูอันอธิบายขึ้นก่อนจะหัวเราะเสียงดัง
เขาเคยดูหนังกำลังภายในมามากมายในชีวิตก่อนหน้านี้ดังนั้นเขาจึงคุ้นเคยกับพล็อตเรื่องที่จู่ๆ พระเอกก็เก่งขึ้นมาอย่างกะทันหัน
“หะ? ผู้บ่มเพาะที่ไหนจะอดอยากจนถึงขั้นต้องการให้เจ้าช่วย?” ฉินหว่านหรูแสดงสีหน้าไม่เชื่อเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย
“ใครจะรู้? ชีวิตคนเราไม่เคยมีอะไรแน่นอนเฉกเช่นเดียวกับผู้บ่มเพาะที่บางครั้งชะตาชีวิตของเขาก็อาจจะดิ่งลงเหวได้ทุกเมื่อจนจำเป็นต้องขอความช่วยเหลือจากคนธรรมดาสามัญบ้างก็ได้” ซูอันเสริมเรื่องราวของเขาอย่างรวดเร็ว
ฉินหว่านหรูกับฉู่จงเทียนชำเลืองมองกันและกันก่อนจะพยักหน้า
ถ้าซูอันอธิบายรายละเอียดได้ทั้งหมดอย่างชัดเจน พวกเขาอาจจะสงสัยมากกว่านี้ อย่างไรก็ตามท่าทีของซูอันที่ดูหนักแน่นในเรื่องราวที่ไม่สมบูรณ์ของเขา มันกลับทำให้เขาดูน่าเชื่อถือมากขึ้น
“ก็ได้! เราจะเชื่อเจ้าในตอนนี้ อย่างไรก็ตาม…” น้ำเสียงของฉินหว่านหรูเปลี่ยนเป็นเฉียบแหลมขึ้นทันใด “หากเราพบว่าเจ้าหลอกลวงเรา เจ้าอย่าได้มาตำหนิเราทีหลังว่าเราใจร้ายต่อเจ้า!”
“แต่ถ้าถึงตอนนั้น ชูเหยียนกับข้ามีหลานให้ท่านไปแล้วล่ะท่านจะทำยังไง? ท่านจะเบามือกับข้าลงสักหน่อยเพื่อเห็นแก่หลานของท่านรึเปล่า?”
“…” ฉู่จงเทียน
“…” ฉินหว่านหรู
ฉู่ชูเหยียนทั้งเขินทั้งโกรธ “หุบปาก! ใครจะมีลูกกับเจ้ากัน!?”
ซูอันยักไหล่อย่างไม่รู้สึกรู้สา “ก็เราแต่งงานเป็นสามีภรรยากันแล้วนี่นา มันออกจะเป็นเรื่องปกติที่เราจะมีลูกไม่ใช่รึไง?”
“ฮึ่ม!” ไม่ว่าฉู่ชูเหยียนจะเย็นชาเพียงใด นางก็ยังคงเป็นเด็กสาว การหยอกล้อของซูอันจึงทำให้นางโกรธจนตัวสั่น
ไอ้คนๆ นี้มันเกินไปจริงๆ ทั้งๆ ที่ไอ้นั่นของเขา…แต่เขาก็ยังล้อเล่นข้าอยู่!
ฉู่จงเทียนไอเบาๆ เพื่อบรรเทาความอึดอัดในห้อง “ดังนั้นซูอัน…”
แต่ก่อนที่เขาจะพูดจบ ซูอันกลับพูดขึ้นแทรกขัดจังหวะ “ท่านพ่อตา ได้โปรดอย่าเรียกข้าว่าซูอันอีกต่อไป โปรดเรียกข้าว่า ‘อาซู’ แทนจะดีกว่า”
“อาซู?” ฉู่จงเทียนงงงวย “นี่เป็นชื่อเล่นที่แปลกมากๆ เจ้าอยากให้ข้าเรียกเจ้าแบบนี้จริงๆ งั้นเหรอ?”
ซูอันยิ้มและอธิบายว่า “ที่บ้านเกิดของข้า อาซูเป็นคำที่ผู้คนใช้เรียกหนุ่มหล่อ!”
ฉู่จงเทียนอดไม่ได้ที่จะกลอกตาเมื่อได้ยินคำพูดนี้ อย่างไรก็ตามเมื่อคิดว่าซูอันเป็นพวกที่มีนิสัยชอบยียวน ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจไม่โต้เถียงกลับและเล่นไปตามน้ำ “อาซู เจ้าทำให้รุ่นเยาว์สองคนที่โดดเด่นที่สุดของตระกูลหยวนพิการ ดังนั้นนับจากนี้เจ้าต้องระวังตัวให้ดี ส่วนข้าเองก็จะจัดกลุ่มผู้บ่มเพาะเอาไว้คอยปกป้องเจ้าให้มากขึ้น”
ฉินหว่านหรูกล่าวเสริมว่า “นอกจากนี้ เจ้าไม่ควรนิ่งนอนใจเกินไปเพียงเพราะวันนี้เจ้าสามารถชนะการประลองได้ ต้องไม่ลืมว่าระดับการบ่มเพาะของเจ้าในตอนนี้อยู่แค่ระดับ 3 เท่านั้น หากไม่ใช่เพราะหยวนเหวินตงสูญเสียสมาธิในช่วงเวลาสำคัญ คนที่พิการจะเป็นเจ้าแทน ตั้งแต่นี้ไปเจ้าควรพยายามทำตัวให้ไม่เป็นจุดเด่นเหมือนอย่างที่เคยทำมา”
ซูอันยักไหล่อย่างช่วยไม่ได้ “ข้าคงทำอะไรไม่ได้เกี่ยวกับเรื่องนั้น คนที่โดดเด่นอย่างข้าย่อมเป็นจุดเด่นอยู่แล้วไม่ว่าข้าจะไปที่ไหน หรือต่อให้ข้าจะอยากอยู่เงียบๆ โลกก็คงไม่อนุญาตให้เป็นแบบนั้นแน่ๆ!”
เมื่อไม่สามารถทนต่อการโอ้อวดของซูอันได้อีกต่อไป ฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรูจึงไล่ซูอันออกจากห้องหนังสืออย่างหงุดหงิด
เมื่อซูอันออกจากห้องไป ฉู่จงเทียนพลันหันไปหาลูกสาวของเขาและถามว่า “ชูเหยียน เจ้าคิดอย่างไรกับเรื่องนี้?”
ฉู่ชูเหยียนขมวดคิ้วไตร่ตรองอยู่สักพักก่อนจะตอบว่า “ข้าไม่คิดว่าเขาเป็นสายลับที่ส่งมาจากตระกูลอื่นๆ ในโลกนี้คงไม่มีใครโง่พอที่จะส่งคนประหลาดขนาดนี้มาสอดแนมเราแน่”
เมื่อคิดถึงบุคลิกที่ชวนให้อารมณ์เสียของซูอัน ฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรูต่างพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดของลูกสาวพวกเขา
“ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น เขาก็ยังเป็นเพียงผู้บ่มเพาะระดับ 3 ต่อให้เขาจะมีแผนการใดๆ แอบแฝงอยู่ เราก็ยังมีวิธีอีกเป็นร้อยเป็นพันที่จะจัดการกับเขา” ฉินหว่านหรูเอ่ยขึ้น
ฉู่ชูเหยียนพยักหน้าเห็นด้วย “ในอนาคตข้าจะจับตาดูเขาให้มากขึ้น”
…
ในขณะเดียวกัน ทันทีที่ซูอันออกจากห้อง ฉู่ฮวนเจาก็รีบเดินตรงดิ่งมาหาเขาพร้อมกับกลุ่มคนนับสิบ “พี่เขย พี่เขย! เป็นอย่างไรบ้าง? พ่อแม่ของข้าให้รางวัลอะไรท่านบ้าง ไหนบอกข้ามาหน่อยข้าอยากรู้!”
คนอื่นๆ ที่เดินตามหลังฉู่ฮวนเจาก็มองที่ซูอันด้วยสายตาสงสัยใคร่รู้เช่นกัน ไม่ว่าตำแหน่งของซูอันจะต่ำเตี้ยแค่ไหนในก่อนหน้านี้ แต่หลังจากวันนี้สถานะของเขาจะพุ่งขึ้นสูงปรี้ดอย่างแน่นอน และนั่นรวมไปถึงรางวัลตอบแทนอันมหาศาลที่เขาจะได้รับหลังจากสร้างผลงานชิ้นโตในวันนี้
ในทางกลับกัน เมื่อซูอันได้ยินคำถามของฉู่ฮวนเจา สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยวทันที เดี๋ยวนะ…ใช่แล้ว รางวัลของข้าอยู่ที่ไหน!!
เขามัวแต่จดจ่อกับการอธิบายตัวเองกับฉู่จงเทียนและฉินหว่านหรูมากเกินไปจนเขาลืมเรื่องนี้ไปจริงๆ!
“ท่านไม่ได้รับรางวัลอะไรเลยงั้นเหรอ?” เมื่อสังเกตเห็นว่าสีหน้าของซูอันเปลี่ยนไปในทางที่ไม่ดีนัก ฉู่ฮวนเจาก็รู้สึกขุ่นเคืองแทนเขาทันที “พ่อแม่ของข้าทำแบบนี้ได้ยังไงกัน! พี่สาวของข้าก็เช่นกัน ทำไมนางไม่พูดแทนท่านบ้างเลย!”
“ใครบอกว่าไม่มีรางวัล?” ริมฝีปากของซูอันขดเป็นรอยยิ้มเจ้าเล่ห์ “พวกเขาให้รางวัลกับข้าแล้ว และนั่นก็คือ ‘เจ้า’ ยังไงล่ะ!”
“เอ๋?” ฉู่ฮวนเจาตกตะลึงอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่นางจะเข้าใจความหมายในคำพูดของซูอันและนั่นทำให้แก้มของนางแดงขึ้นทันที “นี่พวกเขาพูดแบบนั้นจริงๆ…”
ตอนนั้นเองที่นางสังเกตเห็นแววตาขบขันของซูอันและตระหนักได้ว่าเขากำลังล้อนางเล่น นางยกไม้ค้ำยันร่างของนางทันทีแล้วเงื้อทำท่าเหมือนจะฟาดไปที่ซูอัน “พี่เขยตัวเหม็น ท่านโกหกข้า! ข้าจะทุบตีท่านให้ตายเลยคอยดู!”
“ข้าล้อเล่นน่ะ! เอ๋ นี่เจ้าไม่ได้กำลังเจ็บหรือยังไง? เฮ้ ไหงเจ้าวิ่งเร็วได้ขนาดนี้กันล่ะเนี่ย!!!?” ซูอันรีบวิ่งหนีโดยที่มีฉู่ฮวนเจาวิ่งไล่ตามเขาอย่างติดๆ
ผู้คนต่างจ้องมองกันและกันอย่างสับสน ฉู่ฮงไฉลูกชายของผู้นำตระกูลสาขา 2 ถอนหายใจด้วยความโล่งอกและพูดว่า “บ้าเอ๊ย เมื่อครู่ข้าใจหายวาบเลยทีเดียว! ข้านึกว่าท่านลุงยกฮวนเจาให้กับเขาจริงๆ!”
ดวงตาที่อวบอิ่มของฉู่อวี้เฉิงขดเป็นเสี้ยวในขณะที่เขาพูด “ในอนาคตมันอาจจะเป็นไปได้ก็ได้”
ฉู่ฮงไฉหัวเราะอย่างขบขันก่อนจะตอบกลับ “เจ้ากำลังพูดเรื่องไร้สาระอะไร เจ้าลืมไปแล้วรึไงว่าชูเหยียนและฮวนเจา เป็นคนแบบไหน มันจะเป็นไปได้ยังไงที่พี่น้องสองคนนี้จะมีสามีคนเดียวกัน และยิ่งไม่ต้องพูดถึงว่าซูอันเป็นเพียงแค่ลูกเขยที่ถูกจับแต่งเข้าตระกูลเราอีกต่างหาก!”
ฉู่อวี้เฉิงคร้านที่จะโต้แย้งต่อไปให้มากความ เขามองไปที่คนสองคนที่กำลังวิ่งไล่กันอยู่ด้วยแววตาครุ่นคิด อย่างน้อยๆ สิ่งที่เขาเห็นเมื่อครู่มันก็บอกอะไรได้หลายอย่าง การตอบสนองของฮวนเจาก่อนหน้านี้นั้นไม่มีอาการรังเกียจต่อซูอันเลยแม้แต่น้อย และยิ่งไปกว่านั้น… แทนที่นางจะเอาแส้คร่ำครวญออกมาฟาดเขา นางกลับใช้ไม้ค้ำยันแทน
ดูเหมือนว่าลูกเขยของตระกูลคนนี้เป็นคนที่น่าสนใจทีเดียว!
…
หลังจากหยอกล้อกับฉู่ฮวนเจาได้พักใหญ่ ซูอันก็วิ่งกลับไปที่เรือนของตัวเอง อย่างไรก็ตามทันทีที่เปิดประตูเขาก็พบว่าผู้เฒ่ามี่ยืนรออยู่ที่กลางห้องเรียบร้อยแล้ว และนั่นก็ทำให้เขาตกใจจนผงะถอยหลัง
ด้วยเหตุผลบางอย่าง เขารู้สึกไม่สบายใจเมื่ออยู่ต่อหน้าชายชราคนนี้
ฉู่ฮวนเจาที่วิ่งตามหลังมาเมื่อสังเกตเห็นว่ามีคนแปลกหน้าอยู่ด้วยนางจึงรีบถอยห่างจากซูอันทันที สถานะของนางที่เป็นน้องภรรยาของเขาทำให้นางรู้ตัวดีว่า นางไม่ควรให้คนอื่นเห็นว่านางใกล้ชิดกับซูอันมากเกินไป เพราะนั่นจะทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้อย่างง่ายดาย ดังนั้นนางจึงกัดฟันกรอดและเอ่ยขึ้นเสียงดัง “ฮึ่ม! วันหลังข้าจะคิดบัญชีกับท่านให้ได้!”
เมื่อพูดจบนางก็วิ่งจากไปทันที
หลังจากที่ฉู่ฮวนเจาจากไป ผู้เฒ่ามี่ก็หันไปมองที่ซูอันและถามอย่างเย็นชาว่า “เจ้าบ่มเพาะรวดเร็วขนาดนี้ได้อย่างไร?”