เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 379 คนสวนลึกลับ
บทที่ 379 คนสวนลึกลับ
บทที่ 379 คนสวนลึกลับ
“มันต้องมีวิธีที่เราจะหนีไปสิ มันต้องมี!” ซูอันพยายามปลอบเฉียวเสวี่ยอิง แต่สีหน้าของเขานั้นดันตื่นตระหนกราวกับว่ากำลังพยายามโน้มน้าวตัวเองเช่นกัน
ในตอนนี้ เฉียวเสวี่ยอิงได้หมดสติไปหมดแล้ว มือของนางยังคงกำคอเสื้อของเขา ราวกับว่านี่เป็นวิธีเดียวที่จะทำให้นางสลบไสลได้อย่างหมดห่วงกังวล
ทุกจังหวะที่ซูอันรู้สึกว่าซือเล่อจื่อกำลังเข้ามาใกล้ เขาจะหันกลับไปตะโกนว่า ‘แกมองอะไร?’ ซึ่งซือเล่อจื่อจะตอบกลับมาทุกครั้งว่า ‘ข้ากำลังมองแกไงไอ้โง่!’ ซึ่งทำให้จังหวะการวิ่งของซือเล่อจื่อติดขัด
ซูอันพยายามรักษาระยะห่างระหว่างพวกเขาโดยใช้ช่องว่างสั้น ๆ นี้ เพียงแต่ว่าวิธีการนี้มันได้ผลแค่ช่วงแรก ๆ เท่านั้น หลังจากนั้นไม่กี่ครั้ง ซือเล่อจื่อก็คุ้นเคยกับมันจนแทบไม่มีผลใด ๆ กับการเคลื่อนไหวของตัวเองอีกต่อไป
ในท้ายที่สุด ซูอันก็วิ่งเข้าไปในลานโล่งหน้ากระท่อมเล็ก ๆ หลังหนึ่งที่อยู่ห่างแทบจะสุดเขตของคฤหาสน์ตระกูฉู่ ก่อนที่จะหยุดลงโดยที่หายใจอย่างกระหืดกระหอบ
ซือเล่อจื่อหยุดห่างออกไป ก่อนจะค่อยๆ เดินเข้ามาใกล้ และพูดอย่างเย็นชา “วิ่งต่อไปสิ ทำไมเจ้าไม่วิ่งอีกล่ะ?”
เขาสามารถยุติสิ่งต่าง ๆ ได้ในทันที แต่ก็ลังเลเล็กน้อยไม่อยากจะเข้าหา ซูอันโดยประมาท ด้วยกลัวว่าอีกฝ่ายอาจยังมีไพ่เด็ดอยู่ในมือ เพราะที่ผ่านมา ซูอันได้ใช้วิธีการที่ไม่น่าเชื่อไปหลายอย่างแล้ว
ก่อนอื่นชายแก่จึงแผ่พลังชี่ออกไปเพื่อตรวจสอบบริเวณโดยรอบทั้งหมด และหลังจากแน่ใจว่าไม่มีกับดักหรือผู้บ่มเพาะอื่นในพื้นที่ เขาก็ถอนหายใจด้วยความโล่งอกในที่สุด
ฮ่า ดูเหมือนว่าข้าจะกลัวอะไรไม่เข้าท่าจริง ๆ ไม่ว่าซูอันจะมีเล่ห์เหลี่ยมมากแค่ไหน ไอ้เด็กนี่ก็ยังเป็นเพียงแค่ผู้บ่มเพาะระดับสาม เขาจะทำอะไรได้ดีไปกว่านี้อีก?
อย่างไรก็ตาม ซูอันเผยรอยยิ้มลึกลับบนริมฝีปากและพูดว่า “ทำไมต้องวิ่ง? ข้าควรทำอย่างนั้นเหรอ? ข้าเลือกเฟ้นที่นี่เป็นพิเศษเพื่อให้เจ้าพักผ่อนอย่างเงียบสงบ เจ้าจะได้เพลิดเพลินไปกับกลิ่นหอมของดอกไม้และเสียงนกร้อง เจ้าควรจะขอบคุณข้าที่สรรหาที่นอนดี ๆ แบบนี้ไว้ให้เจ้า!”
“…” ซือเล่อจื่อ
เขาไม่แน่ใจว่าตัวเองหูแว่วไปเองกับสิ่งที่ได้ยินหรือว่าซูอันเสียสติไปแล้วกันแน่ ไม่อย่างนั้นอีกฝ่ายจะกล้าพูดแบบนี้ได้ยังไง?
—
ท่านยั่วยุซือเล่อจื่อสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 666!
—
“เจ้าคิดว่าข้าจะตกหลุมพรางของเจ้าอีกครั้งอย่างนั้นเหรอ?” ซือเล่อจื่อ แค่นเสียงหัวเราะ เขายังคงจำความอัปยศเมื่อตัวเองหลงกลซูอันก่อนหน้านี้ได้ และไม่มีทางที่จะปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย
แต่ทันใดนั้น ชายชราผู้หนึ่งก็เดินอย่างเชื่องช้าออกมาจากกระท่อมไม้ใกล้ ๆ แล้วพูดว่า “นี่มันเกิดอะไรขึ้น? ทำไมเสียงดังอย่างนี้?”
ซือเล่อจื่อรีบหันไปมองแล้วขมวดคิ้ว และได้เห็นว่าคนที่พูดทักขึ้นคือคนสวนชราคนหนึ่งยืนถือจอบในมืออยู่ตรงนั้น ชายชราผู้นี้ดูเหี่ยวย่นเหมือนลูกพลับแห้ง
เกิดอะไรขึ้น? ข้าตรวจสอบทุกอย่างภายในรัศมีหลายจั้งแล้ว มันไม่น่าจะมีใครอยู่ที่นี่!
อย่างไรก็ตาม เมื่อสัมผัสไม่ได้ถึงพลังชี่ที่มาจากชายชราเลย หัวใจของ ซือเล่อจื่อก็สงบลงในไม่ช้า คนสวนนี่เป็นแค่ชายชราธรรมดา ข้าไม่จำเป็นต้องกลัวเขา
ดังนั้นเขาจึงไม่สนใจชายชราและหันไปเยาะเย้ยซูอัน “ดูเหมือนว่ามีคนอยากร่วมเดินทางไปยังยมโลกร่วมกับเจ้านะ”
ซูอันวิ่งไปซ่อนตัวข้างหลังคนสวนอย่างรวดเร็วในขณะที่เขาพูด “ผู้อาวุโส ไอ้เจ้านี่มันกล้าดูหมิ่นท่าน!”
แน่นอนว่าคนสวนชราคนนี้คือผู้เฒ่ามี่นั่นเอง ตลอดเวลาที่วิ่งมา ชายหนุ่มไม่ได้วิ่งอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า เขามุ่งหน้าตรงมายังที่ที่ผู้เฒ่ามี่อาศัยอยู่ ในเมื่อเขาไม่อาจพึ่งพาหมี่ลี่ได้ ก็เหลือเพียงคนเดียวในคฤหาสน์ตระกูลฉู่ที่สามารถช่วยเขาได้คือ…ผู้เฒ่ามี่
“การหว่านความบาดหมางเช่นนี้ของเจ้า เป็นวิธีที่ไม่ฉลาดเลย” ผู้เฒ่ามี่ พูดพร้อมกับขมวดคิ้ว เขาไม่พอใจที่ซูอันนำคนนอกมาที่นี่ ซึ่งทำให้ตัวตนของเขาเสี่ยงที่จะถูกเปิดเผย
ซูอันตอบด้วยรอยยิ้มเขิน ๆ “ข้าไม่ได้พูดอะไรผิดนี่ เขาดูหมิ่นท่านจริง ๆ ท่านก็เห็นอยู่”
จู่ ๆ ซือเล่อจื่อก็รู้สึกไม่สบายใจเมื่อได้ฟังการสนทนาของคนทั้งสอง เขาพินิจพิจารณาผู้เฒ่ามี่อย่างละเอียด และเมื่อดูไปได้สักพักหนึ่งเขาก็ไม่เห็นว่าชายชราที่ดูอ่อนแอตรงหน้าจะมีพิษสงอะไรได้ หลังจากลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก็เอ่ยขึ้นอย่างเยาะเย้ย “แกล้งแสดงละครลิงหลอกเจ้าให้ข้าดูอีกแล้วเหรอ? เจ้ากำลังพยายามซื้อเวลาให้คนอื่นมาช่วยเจ้าใช่ไหมล่ะ?”
เขาได้ยินเสียงความโกลาหลที่เกิดขึ้นในคฤหาสน์ตระกูลฉู่ ทหารยามทุกนายได้ตื่นขึ้นจากการหลับใหลและกำลังรีบรุดมาที่นี่
ซือเล่อจื่อไม่ได้ตั้งใจที่จะปะทะกับตระกูลฉู่ ดังนั้นจึงตัดสินใจที่จะนำซูอันและเฉียวเสวี่ยอิงออกจากพื้นที่ สำหรับคนสวน เขาจะฆ่าทิ้งซะตรงนี้ ไม่จำเป็นต้องเก็บมดแมลงที่รู้เห็นเหตุการณ์ให้มีชีวิตอยู่ในโลกอีกต่อไป
อย่างไรก็ตาม ผู้เฒ่ามี่ไม่ใส่ใจซือเล่อจื่อเลย แต่เขาเหลือบมองผู้หญิงในอ้อมกอดของซูอันและถามว่า “นางเป็นใคร? หืม เสวี่ยเอ๋อร์ งั้นเหรอ?”
เมื่ออยู่ในคฤหาสน์ฉู่มาหลายปี ไม่มีเหตุผลใดที่เขาจะจำเสวี่ยเอ๋อร์ไม่ได้
“ใช่แล้ว ชายผู้นี้ตั้งใจเข้ามาที่นี่เพื่อลักพาตัวข้ากับนาง ท่านก็รู้อยู่แล้วว่าที่คนกล้าหาญอย่างข้าไม่มีทางที่จะยอมเขาง่าย ๆ! แต่ชายผู้นี้กัดไม่ปล่อยและตามข้ามาจนถึงตอนนี้!” ซูอันฟ้อง
“เสวี่ยเอ๋อร์ทรยศตระกูลฉู่ไปแล้วไม่ใช่เหรอ?” ผู้เฒ่ามี่ถามกลับด้วยสีหน้าสงสัยอย่างรวดเร็ว เขาไม่ค่อยเชื่อซูอันสักเท่าไหร่ “เกิดอะไรขึ้นกันแน่? บอกข้ามาตามตรง!”
ในที่สุด ซูอัน ก็ตอบอย่างเขินอาย “เขาเป็นคนของตระกูลซือ เขาได้รับคำสั่งมาให้ฆ่าข้ากับนาง…”
เขาไม่กล้าบอกว่าซือเล่อจื่อมาที่นี่เพื่อลักพาตัวเสวี่ยเอ๋อร์แค่คนเดียว เพราะเกรงว่าผู้เฒ่ามี่จะไม่ยอมลงมือช่วยนาง เขากำลังเดิมพันในฐานะลูกศิษย์ครึ่ง ๆ กลาง ๆ ของผู้เฒ่ามี่ว่าอีกฝ่ายจะไม่เมินเฉยต่อชะตากรรมที่เลวร้ายของเขาหรือเปล่า
“ตระกูลซือ?” ผู้เฒ่ามี่หรี่ตาลงอย่างครุ่นคิด
“เจ้าพูดกันเสร็จแล้วรึยัง?” ซือเล่อจื่อถามอย่างหมดความอดทน “เห็นแก่ตาแก่อย่างเจ้าที่หลงทางมารู้เห็นเรื่องที่ไม่สมควร ข้าจะมอบความตายที่ไม่เจ็บปวดแก่เจ้า!”
ผู้เฒ่ามี่ถอนหายใจและพูดว่า “ช่างน่าผิดหวังจริง ๆ หลายปีผ่านไป แต่จำนวนของกบในกะลาก็ยังมากอยู่เหมือนเดิมในโลกแห่งการบ่มเพาะนี้ ผู้บ่มเพาะระดับแปดอย่างเจ้ากล้าพูดจาโอหังต่อหน้าข้างั้นเหรอ?”
“เจ้ารู้ได้อย่างไรว่าข้า…” ซือเล่อจื่อใจเต้นกระตุก เขาไม่กล้าที่จะดูถูกคนสวนแก่ ๆ นี่อีกต่อไป
เขาใช้พลังชี่เพื่อตรวจสอบฝ่ายตรงข้ามอีกครั้ง แต่ก็ยังตรวจไม่พบอะไรเลย ถ้าเป็นเช่นนี้ มีความเป็นไปได้เพียงสามอย่างเท่านั้น อย่างแรกคือระดับการบ่มเพาะของอีกฝ่ายสูงกว่าเขามาก สอง อีกฝ่ายเป็นแค่คนธรรมดา อย่างที่สาม อีกฝ่ายหนึ่งกำลังถือของวิเศษบางอย่างที่ปกปิดระดับการบ่มเพาะของตัวเองไว้!
หลังจากไตร่ตรองอย่างรอบคอบแล้ว ซือเล่อจื่อก็คิดว่าข้อที่น่าจะเป็นไปได้มากที่สุดคือข้อที่สาม เมื่อพิจารณาว่าอีกฝ่ายสามารถสงบสติอารมณ์ได้เมื่ออยู่ต่อหน้าเขาและมองเห็นระดับการบ่มเพาะของเขาได้ ดูเหมือนว่าชายชราคนนี้จะไม่ใช่คนธรรมดา…
เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้ข้อแรกที่ว่าอีกฝ่ายเป็นผู้บ่มเพาะที่มีระดับสูงกว่า เขาก็ตัดมันทิ้งไป มันจะเป็นไปได้ยังไงกัน? เขาเป็นผู้บ่มเพาะระดับแปด หนึ่งในผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งที่สุดในเมืองนี้!
มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในเมืองจันทร์กระจ่างที่สามารถประมือกับเขาได้ แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่ถูกยกให้เป็นอันดับหนึ่งของเมืองจันทร์กระจ่างอย่าง ฉู่จงเทียน เขาก็ยังสามารถต่อสู้ได้อย่างสูสี ไม่ว่าคนทำสวนแก่ ๆ คนนี้จะแข็งแกร่งขนาดไหน มันก็เป็นไปไม่ได้เลยที่จะแข็งแกร่งไปกว่าฉู่จงเทียน ไม่อย่างนั้นผู้บ่มเพาะอันทรงพลังจะลดตัวลงมาทำหน้าที่เป็นคนทำสวนในคฤหาสน์ตระกูลฉู่ได้อย่างไร?
มี ‘ผู้บ่มเพาะที่เร้นกาย’ เพียงไม่กี่คนในโลกนี้ เนื่องจากผู้บ่มเพาะล้วนต้องการทรัพยากรจำนวนมากในการเติบโตของพวกเขา ด้วยเหตุนี้ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งจึงมักจะมีสถานะที่สูงส่ง ส่วนผู้ที่ไม่มียศถาบรรดาศักดิ์ใด ๆ นั้นมีแนวโน้มที่จะถูกแซงหน้าโดยผู้ที่มีอำนาจมากกว่า
เมื่อครุ่นคิดถึงสิ่งต่าง ๆ ทั้งหมดแล้ว ซือเล่อจื่อก็สลัดความกลัวทิ้งไป เขาไม่คิดว่าที่นี่จะมีอะไรให้กลัว แม้ว่าคนสวนนี่จะแข็งแกร่งกว่าข้าจริง ๆ แต่ก็คงฆ่าข้าด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวไม่ได้ใช่ไหม? หากมีอะไรผิดพลาดขึ้นมา ทั้งหมดที่ข้าต้องทำคือหันหลังกลับแล้วโกยแน่บ!
“ดูเหมือนว่าข้าจะขี้ขลาดขึ้นตามอายุ ช่างมันเถอะ ข้าไม่อยากเปลืองเวลาไปกับเจ้าอีกแล้ว” เมื่อได้ยินเสียงว่าทหารยามใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ ซือเล่อจื่อก็ตัดสินใจว่าจะไม่ลังเลอีกต่อไป
คลื่นพลังอันน่าสะพรึงกระเพื่อมออกมาจากร่างกายของเขา ทำให้กิ่งไม้ที่อยู่ใกล้เคียงหักออกและปลิวไป แม้แต่ใบหญ้าก็ลู่ลงไปกับพื้น ราวกับว่ามีมือขนาดใหญ่กดมันเอาไว้ แม้แต่บรรดาดอกไม้ในบริเวณใกล้เคียงก็กลายเป็นเถ้าถ่านในพริบตา