เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 403 ข้าไม่มีทางซ่อนชื่อของข้า!
บทที่ 403 ข้าไม่มีทางซ่อนชื่อของข้า!
บทที่ 403 ข้าไม่มีทางซ่อนชื่อของข้า!
การต่อสู้ดำเนินไปถึงจุดเดือดสุดอย่างรวดเร็ว กระบี่ของฉู่ฮงไฉสะบัดออกไปอย่างคดเคี้ยวเหมือนงู มุ่งตรงไปยังคอของชายผมแดง
ชายผมแดงขยับหลบไปอีกครั้ง…
ฉู่อวี้เฉิงใช้โอกาสนี้หลบจากฝักดาบของชายผมแดงที่กำลังพุ่งเข้ามาที่ใบหน้าของตัวเองอย่างรวดเร็ว แต่น่าเสียดายที่ไม่เร็วพอที่จะหลบเท้าของอีกฝ่าย ลูกเตะของชายผมแดงปะทะร่างของเขาอย่างจังจนร่างอ้วน ๆ ของเขากระเด็นกลิ้งไปบนพื้นเหมือนซาลาเปายักษ์ จนกระแทกเข้ากับเสา ส่งผลให้หอสุขนิรันดร์สั่นสะเทือนเล็กน้อย
สารเลว! กล้าดียังไงมาทำให้ข้าขายหน้าต่อหน้าฝูงชน โดยเฉพาะอย่างยิ่งต่อหน้าหมีสาวตัวนั้นที่ข้ากำลังจะได้ใกล้ชิด! หากเป็นแบบนี้ต่อไป ข้า…ฉู่อวี้เฉิง จะหลงเหลือศักดิ์ศรีอะไรอีก?!
เมื่อคิดได้เช่นนี้ดวงตาของเขาก็แดงก่ำ และเขาก็ตะโกนก้อง พร้อมพุ่งเข้าไปหาชายผมแดงอีกครั้ง
ความทนทานของฉู่อวี้เฉิงทำให้ผู้ชมสูดหายใจลึกด้วยความชื่นชม เจ้าอ้วนคนนี้ถูกเตะไปแรงมาก แต่ตอนนี้กลับดูไม่เป็นอะไรเลย!
ซูอันมองสถานการณ์ทั้งหมดอย่างใจเย็น เขาสามารถประเมินได้อย่างคร่าว ๆ ว่าระดับการบ่มเพาะของทั้งฉู่อวี้เฉิงและฉู่ฮงไฉอยู่ระดับที่สี่ขั้นสูงสุด
ทว่า รูปแบบการสู้ของสองคนนี้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คนหนึ่งมีการป้องกันที่แข็งแกร่ง แต่การโจมตีนั้นอ่อนแอ ในขณะที่อีกคนมีพลังการโจมตีที่ทรงพลัง แต่กลับมีการป้องกันที่อ่อนแอ หากจับทั้งสองคนนี้มาสู้กันเอง ฉู่ฮงไฉจำเป็นต้องพยายามฆ่าฉู่อวี้เฉิงในการโจมตีครั้งเดียว ไม่เช่นนั้นหากการต่อสู้ยืดเยื้อนานเท่าไร ฉู่ฮงไฉก็จะยิ่งเสียเปรียบมากเท่านั้น
ซูอันถอนหายใจ จากที่ฉินหว่านหรูได้กล่าวไว้ก่อนหน้านี้ สาขาหลักของตระกูลฉู่มีความสัมพันธ์ที่ไม่ค่อยจะดีเท่าไหร่กับตระกูลสายรองและตระกูลสายที่สาม พวกเขาต้องคอยระวังคนพวกนี้อยู่เสมอ
ความจริงในข้อนี้ถูกยืนยันอีกครั้ง เมื่อซูอันเห็นฉู่อวี้เฉิงและฉู่ฮงไฉต่อสู้ร่วมกันเช่นนี้ เขาสามารถบอกได้เลยว่าสายรองทั้งสองของตระกูลนี้สนิทกันมาก
เฮ้อ…ข้าสงสัยจริง ๆ ว่าการที่มันเป็นแบบนี้ เพราะฉินหว่านหรูล้มเหลวเองหรือมีแผนอะไรแอบแฝงหรือเปล่า
แล้วหนุ่มผมแดงคนนี้มาจากไหนกัน? เขาไม่มีปัญหาในการเผชิญหน้ากับพี่น้องสองคนนี้เลย ระดับการบ่มเพาะของเขาดูสูงกว่าฉู่อวี้เฉิงและ ฉู่ฮงไฉมากอีกต่างหาก!
เขาอยู่ในระดับที่ห้าหรือระดับที่หก? ถึงแม้ว่าชายผมแดงคนนี้ไม่ได้ใช้พลังธาตุใด ๆ แต่ซูอันแน่ใจว่าเขาไม่น่าต่ำกว่าระดับห้าแน่ ๆ เพราะแค่อาศัยเพียงความแข็งแกร่งทางกายภาพ และประสบการณ์การต่อสู้ มันก็เพียงพอที่จะจัดการกับสถานการณ์ที่เผชิญหน้าเขาได้อย่างง่ายดาย
หวางหยวนหลงได้สติกลับมาในที่สุด เขาหยิบพัดออกมาแล้วรีบเข้าร่วมการต่อสู้ “พี่อวี้เฉิง ให้ข้าช่วยท่านด้วย!”
น่าเสียดายที่ระดับการบ่มเพาะของเขานั้นด้อยกว่าพี่น้องตระกูลฉู่มาก ซึ่งหมายความว่ามีช่องว่างของการบ่มเพาะระหว่างเขากับชายผมแดง ดังนั้นจะไปช่วยอะไรมากได้ยังไง?
“อ๊า…”
เสียงร้องที่น่าสังเวชดังขึ้น เนื่องจากหวางหยวนหลงถูกเตะกระเด็นออกมาทันทีที่เขาพุ่งเข้าไป
เขาไม่มีการป้องกันที่ทรงพลังของชั้นไขมันอย่างที่ฉู่อวี้เฉิงครอบครอง การถูกเตะจนกระเด็นของเขา ทำให้หวางหยวนหลงบาดเจ็บไปจนถึงอวัยวะภายใน เขานอนคร่ำครวญอยู่กับพื้นจนไม่สามารถลุกขึ้นมาได้
และต่อมาหลังจากนั้นในที่สุดชายผมแดงก็พบช่องโหว่ เขาใช้สันดาบด้านไร้คมกระแทกไปที่แขนของฉู่ฮงไฉ
ฉู่ฮงไฉรู้สึกเจ็บปวดอย่างรุนแรงจากจุดที่เขาถูกโจมตี และกระบี่เกือบจะร่วงหลุดจากมือ
แม้ว่าชายหนุ่มจะยังคงจับอาวุธได้อยู่ แต่การโคจรของพลังชี่ภายในร่างกายของฉู่ฮงไฉกลับปั่นป่วนอย่างมาก เขารีบสงบใจปรับจังหวะการหายใจทันที แต่มันคงใช้เวลาอีกสักพักกว่าจะสามารถสู้ต่อได้อีกรอบ
ฉู่อวี้เฉิงเข้าใจสิ่งที่เกิดขึ้นกับลูกพี่ลูกน้องของตัวเอง ดังนั้นจึงรีบแทรกแซงตัวเองระหว่างฉู่ฮงไฉกับชายผมแดงเพื่อซื้อเวลา
ชายผมแดงตีฉู่อวี้เฉิงหลายครั้ง ซึ่งถ้าหากเป็นผู้บ่มเพาะทั่วไปเผชิญหน้ากับการโจมตีเช่นนี้ พวกเขาคงจะกระดูกหัก หรือไม่ก็อาจถึงขั้นบาดเจ็บภายในอย่างรุนแรง แต่ฉู่อวี้เฉิงกลับยังดูสบายดี
หลังจากที่โจมตีไปอีกหลายครั้ง และเห็นฉู่อวี้เฉิงยังคงทนได้แบบสบาย ๆ ชายผมแดงจึงเริ่มหงุดหงิด และชี้ดาบของเขาไปที่หน้าของฉู่อวี้เฉิง “ไอ้หมูอ้วน มาดูกันว่าร่างกายของเจ้าจะรับการโจมตีจากด้านคมของดาบข้าได้หรือเปล่า!”
ฉู่อวี้เฉิงหน้าซีดทันที ถ้าพวกเขาไม่สามารถแม้แต่จะเอาชนะคู่ต่อสู้ของพวกเขาได้ ในขณะที่อีกฝ่ายไม่ได้ใช้ด้ามคมของอาวุธ ดังนั้นถ้าอีกฝ่ายคิดจะเอาจริงขึ้นมา พวกเขาทั้งสองคงไม่รอดแน่นอน!
ไม่ว่าร่างกายของเขาจะแข็งแกร่งเพียงใด มันก็ยังเป็นแค่เลือดเนื้อและหนัง มันจะสามารถต้านทานคมมีดของผู้บ่มเพาะได้ยังไง?
อย่างไรก็ตามเนื่องจากเขาเลือกที่จะปกป้องญาติผู้น้อง จึงทำได้เพียงยืนหยัดสู้ต่อไป โดยหวังว่าอย่างน้อยเขาจะสามารถหลบการโจมตีได้อีกสองสามครั้งจนกว่าฉู่ฮงไฉจะฟื้นตัว
น่าเสียดายที่ความแข็งแกร่งของชายผมแดงในตอนที่ใช้คมดาบเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่า ในไม่ช้า ร่างของฉู่อวี้เฉิงก็ตกอยู่ภายใต้คมดาบที่เย็นยะเยือก
ซูอันรู้ว่าเขาต้องก้าวเข้าไปแทรกแซงตอนนี้ก่อนที่ชั้นไขมันของฉู่อวี้เฉิงจะถูกหั่นเป็นชิ้น ๆ
เขามองไปรอบ ๆ แล้วหยิบกาน้ำชาขึ้นปาไปที่หัวของชายผมแดงอย่างรวดเร็ว
หลังจากผ่านการต่อสู้อันหนักหน่วงในมิติลับหยกจรัสและการเสริมพลังกายจากวิชาปฐมบทแรกเริ่ม ความแข็งแกร่งและความเร็วของเขาก็เทียบได้กับผู้บ่มเพาะระดับห้าไปแล้ว
นอกจากนี้ เขายังเลือกวิธีการซุ่มโจมตีจากด้านหลังอย่างกะทันหัน
เมื่อชายผมแดงรู้สึกถึงอันตราย มันก็สายเกินไปแล้วที่จะหลบได้ทัน
เพล้ง!
เสียงแหลมที่ชัดเจนดังขึ้น กาน้ำชาแตกเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย
ชาร้อนลวกชายผมแดงชุ่มไปทั้งตัว
อย่างไรก็ตาม ซูอันไม่มีเวลาที่จะหัวเราะเยาะ สายตาของชายหนุ่มเปลี่ยนเป็นเคร่งขรึมเมื่อมองไปที่ชายผมแดง
มีชั้นแสงโปร่งใสกะพริบอยู่รอบ ๆ ตัวของอีกฝ่าย ในขณะที่ชาร้อน ๆ ไหลไปตามแรงโน้มถ่วงทำให้ม่านพลังชัดเจนเป็นพิเศษ
เมื่อเห็นภาพนี้ผู้คนที่อยู่บนชั้นสองต่างก็พากันส่งเสียงอุทานกันอื้ออึง
และในห้องโถงชั้นแรกก็มีพวกรู้มากอยู่เช่นกัน หนึ่งในกลุ่มคนที่ดูอยู่ตะโกนขึ้นเสียงดัง “ระดับหก เจ้านั่นมันเป็นผู้บ่มเพาะระดับหก!”
เดิมที ผู้ชมคิดว่าอันธพาลผมแดงเป็นเพียงคนบ้านนอกที่หลงทางมา และพวกเขาพอใจที่จะดูเหตุการณ์อย่างสนุกสนาน อย่างไรก็ตาม ตอนนี้เมื่อพวกเขารู้ว่าชายคนนี้อยู่ในระดับที่หก การแสดงออกของคนทั้งหมดก็เปลี่ยนไปอย่างมาก
ผู้บ่มเพาะระดับหกจะได้รับการพิจารณาว่าเป็นผู้บ่มเพาะระดับสูงในเมืองจันทร์กระจ่าง อาจารย์หลายคนในสถาบันจันทร์กระจ่างก็อยู่ในระดับที่หกเช่นกัน
ชายผมแดงหันกลับมามองซูอันด้วยแววตาดุร้าย “การลอบโจมตีจากด้านหลังไม่ใช่สิ่งที่ผู้มีเกียรติจะทำ!”
ซูอันตอบด้วยเสียงหัวเราะ “แล้วการขโมยบัตรเชิญเป็นสิ่งที่ผู้มีเกียรติทำกันงั้นเหรอ? ข้าเป็นคนที่แยกแยะความดีความชั่วได้อย่างชัดเจน ถ้าเจ้าแสดงให้ข้าเห็นว่าเจ้าเป็นคนดี ข้าก็จะปฏิบัติต่อเจ้าเป็นอย่างคนดี! แต่เท่าที่ข้าเห็นตั้งแต่แรก เจ้าทำตัวต่ำต้อยและน่ารังเกียจมาตลอด ดังนั้นข้าจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจำใจใช้วิธีการต่ำช้าจัดการกับเจ้า”
“ฮ่าฮ่า!”
เสียงหัวเราะเกรียวกราวดังขึ้นในทันที ไม่มีใครตื่นเต้นมากไปกว่า เว่ยสั่ว ผู้ซึ่งกำลังส่งเสียงให้กำลังใจซูอันอย่างกระตือรือร้น เว่ยหงเต๋อต้องผลักเขากลับเข้าไปในที่นั่งหลายครั้งเพื่อหลีกเลี่ยงการดึงดูดความสนใจจากผู้คน
“เจ้าเป็นใคร?” ชายผมแดงแสดงสีหน้ามืดหม่น เขาไม่คิดดูถูกชายหนุ่มตรงหน้าแม้แต่น้อย คนผู้นี้เขวี้ยงกาน้ำชามาหาเขาด้วยพละกำลังอันมหาศาลเกินกว่าที่คนทั่วไปจะครอบครองได้ การระแวดระวังเอาไว้ก่อนเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด
“ข้าจะไม่ปิดบังชื่อแซ่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ตาม! แซ่ของข้าคือเซี่ย! และชื่อจริงของข้าคือซิว!” ซูอันทุบหน้าอกของเขาอย่างภาคภูมิใจ น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความมั่นใจ
ทั่วทั้งห้องโถง อ้าปากค้างอย่างไม่เชื่อหู
นี่เจ้าตื่นนอนมาแล้วลืมชื่อแซ่ตัวเองหมดแล้วงั้นเหรอ?
แม้แต่ฉู่อวี้เฉิงและคนอื่น ๆ รอบตัวเขาก็ตกตะลึง