เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 849 ตาผู้ทรงอำนาจ
บทที่ 849 ตาผู้ทรงอำนาจ
ในตอนนี้ซูอันไม่สนใจคะแนนความโกรธแค้นเหล่านี้ เขาเฝ้าดูเพ่ยเหมียนหมานจากไปด้วยความรู้สึกหงุดหงิด
“หยุดมองได้แล้ว นางไปแล้ว…” ฉู่ชูเหยียนเดินมาที่ด้านข้างของเขา เสียงของนางไม่สงบเหมือนปกติ
ซูอันหัวเราะ “เจ้าหึงเหรอ?”
“ใครหึง?” ฉู่ชูเหยียนพ่นลมหายใจและจากไป
จูเซี่ยฉือซินเดินเข้ามา “ได้เวลาเดินทางแล้ว ใช้โซ่เกี่ยววิญญาณล่ามเขาซะ”
ฉู่ชูเหยียนที่เพิ่งจะจากไปย้อนกลับมายืนข้างสามีของนางทันที “เขามอบตัวโดยสมัครใจ เห็นได้ชัดว่าไม่มีความตั้งใจจะหลบหนี ทำไมถึงต้องล่ามโซ่ด้วย?”
จูเซี่ยฉือซินขมวดคิ้ว “ข้าแค่ไม่อยากประมาทเพราะเราไม่สามารถเฝ้าดูแลเขาได้ตลอดเวลา”
ฉู่ชูเหยียนไม่ยอมแพ้ “เขามีโอกาสที่จะหนีไปแล้ว หากท่านยืนกรานที่จะล่ามเขาด้วยโซ่เกี่ยววิญญาณ เช่นนั้นเราจะขอสู้ตาย! ไม่ว่าอย่างไรเขาก็ต้องตายเมื่อไปถึงเมืองหลวงอยู่ดี มีอะไรที่แตกต่างกัน!”
จูเซี่ยฉือซินขมวดคิ้ว อ๋องเหลียงก้าวเข้ามาไกล่เกลี่ย “ผู้บัญชาการจูเซี่ย เรายังต้องเผชิญกับอันตรายมากมายระหว่างทาง หากมีคนพยายามฆ่าเขาอีกโดยที่เขาไม่มีโอกาสปกป้องตนเอง เรื่องจะไม่เป็นผลดีกับเราเลย”
พูดตามตรง การที่ซูอันหลบหนีไปได้สำเร็จมันยังดีกว่าถูกฆ่าตายในระหว่างที่พวกเขาเป็นคนรับผิดชอบขบวนส่งนักโทษ ถ้านักโทษหนีไปพวกเขาก็ยังมีโอกาสที่จะจับตัวกลับมาได้ แต่ถ้าซูอันตายไปแล้วจักรพรรดิจะหาวิชาวัฏจักรหงส์อมตะได้อีกที่ไหน?
จูเซี่ยฉือซินพ่นลมหายใจ “ตอนนี้มีข้าอยู่ใกล้ ๆ แล้ว มันจะไปมีอะไรเกิดขึ้นอีกได้อย่างไร!”
แม้จะพูดอย่างนี้ เขาก็ไม่ได้ยืนกรานที่จะล่ามซูอันอีกต่อไป
ในที่สุดซูอันก็ถูกนำตัวเข้าไปในรถม้าพิเศษ แม้ว่ามันจะไม่ได้สวยงามเท่ารถม้าของหลิวเหย่าแต่ก็ดีกว่ารถม้าคุมขังมาก
หลังจากเกิดเหตุลอบสังหารหลายครั้ง พวกเขาไม่กล้าที่จะขังเขาไว้ในรถม้าที่ไร้การป้องกัน ผนังของรถม้านี้ถูกจารึกด้วยอักขระพิเศษที่สามารถป้องกันลูกธนูได้
ฉู่ชูเหยียนต้องการเข้าไปอยู่ในรถม้ากับซูอันด้วย แต่จูเซี่ยฉือซินรีบปฏิเสธ
นี่มันเรื่องตลกอะไรกัน?
นักโทษจะได้รับอนุญาตให้อยู่ร่วมกับผู้อื่นได้อย่างไร?
ยิ่งไปกว่านั้น เมื่อจูเซี่ยฉือซินรู้ว่าเจิ้งตานและซูอันเคยใช้รถม้าที่ปิดทึบนั่งร่วมกันมาก่อนหน้านี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกหงุดหงิดเป็นอย่างยิ่ง
นี่มันไร้สาระที่สุด! ให้ชายหญิงอยู่ด้วยกันอย่างนั้น…หากมีอะไรเกิดขึ้นคงอับอายกันไปหมด!
ทว่าเมื่อเห็นบุคลิกที่เย็นชาของฉู่ชูเหยียน เขาคิดว่าเรื่องน่าอับอายแบบนั้นคงไม่ใช่เรื่องที่เขาต้องห่วงอะไรมาก อย่างไรก็ตามเนื่องจากจักรพรรดิเองได้สั่งการจับกุมครั้งนี้ด้วยพระองค์เอง ดังนั้นจึงเป็นการดีที่สุดที่จะป้องกันไม่ให้ผู้อื่นมีปฏิสัมพันธ์กับซูอัน
แต่แล้วจู่ ๆ ซูอันก็เอะอะโวยวาย เขาคร่ำครวญว่านี่เป็นการเดินทางครั้งสุดท้ายของเขาและเป็นเรื่องที่ไร้มนุษยธรรมที่จะไม่ยอมให้สามีภรรยาใช้ช่วงเวลาสุดท้ายร่วมกัน เขาขู่ว่าจะสู้ตายแทนที่จะปล่อยให้ตัวเองถูกพาไปที่เมืองหลวงโดยการนั่งรถม้าไปเพียงลำพัง
จูเซี่ยฉือซินรู้สึกปวดหัว ในที่สุดเขาก็เข้าใจสถานการณ์ก่อนหน้านี้ของอ๋องเหลียงและหลิวเหย่าด้วยตัวเอง
“ข้าสามารถปกป้องเขาได้และทำหน้าที่เป็นแนวป้องกันสุดท้ายได้” ฉู่ชูเหยียนกล่าว
จูเซี่ยฉือซินครุ่นคิดและในที่สุดก็ตกลง แม้เขาจะเชื่อว่าเขาได้พาทหารมามากพอที่จะรับมือกับสถานการณ์ใด ๆ ก็ตามแล้ว แต่รอบคอบเอาไว้ดีกว่าเสียใจภายหลัง
เขารู้ด้วยว่าอาจมีหนอนในกลุ่มของพวกเขา หากพวกมันพบช่องโหว่และโจมตีซูอัน สิ่งต่าง ๆ จะกลายเป็นหายนะอย่างแท้จริง
เขาอาจสงสัยคนอื่น แต่ไม่มีทางที่ฉู่ชูเหยียนจะสมรู้ร่วมคิดกับใครเพื่อทำร้ายสามีของนางเอง…
…
ในที่สุดทุกคนได้ออกเดินทาง ด้านนอกรถม้ามีทหารเฝ้าระแวดระวังอย่างยิ่ง ตรงกันข้ามกับข้างในรถม้าที่สงบสุขกว่ามาก
“มองหน้าข้าทำไม?” ฉู่ชูเหยียนถาม นางสัมผัสใบหน้าของตนเอง รู้สึกอึดอัดเล็กน้อยภายใต้สายตาสามีของนาง นางคิดว่ามีอะไรติดอยู่บนใบหน้าตนเองหรือเปล่า ไม่อย่างนั้นทำไมเขาจึงเอาแต่จ้องมองนางเช่นนี้
“ภรรยาของข้า ไม่ได้เจอกันตั้งนานเจ้าสวยขึ้นนะ” ซูอันพูดพร้อมกับหัวเราะคิกคัก
ใบหน้าของฉู่ชูเหยียนยังคงสงบนิ่ง “เจ้าเรียกใครว่าภรรยา? เราหย่ากันแล้ว”
นางไม่ต้องการสร้างปัญหาในขณะที่เพ่ยเหมียนหมานอยู่ด้วย แต่ตอนนี้พวกนางอยู่กันตามลำพังแล้ว นางไม่จำเป็นต้องกังวลอะไรอีก
ซูอันไม่สะทกสะท้าน “ถึงเจ้าจะพูดอย่างนี้ ข้าก็รู้ว่าเจ้ายังห่วงใยข้า ภรรยาของข้าโน้มน้าวจูเซี่ยฉือซินให้นางมาอยู่กับข้า!”
ฉู่ชูเหยียนถอนหายใจ นางรู้เช่นกันว่าตอนนี้ไม่ใช่เวลามาหึงหวง นางพูดคุยกับเขาผ่านกระแสพลังชี่ “เพราะข้าต้องการหาโอกาสให้เจ้าหลบหนี ข้าจะช่วยเจ้าเอง”
ซูอันมองนาง “แต่ถ้าเราทำอย่างนั้น แล้วเจ้าล่ะ? แล้วตระกูลฉู่ล่ะ?”
หลังจากเงียบไปนาน นางกล่าวว่า “ตอนนี้ข้าไม่จำเป็นต้องสนใจเรื่องทั้งหมดนั้นแล้ว จักรพรรดิไม่สามารถทำลายตระกูลของเราได้ แม้ว่าเขาจะต้องการก็ตาม ตระกูลของเรายังคงมีเส้นสายอยู่บ้าง เราไม่มีทางล่มสลายไปแบบง่าย ๆ ได้แน่นอน”
ซูอันส่ายหัว “ไม่จำเป็น ข้าไม่ต้องการให้เจ้าหรือตระกูลฉู่มาเสี่ยงด้วย ข้าจะไปเมืองหลวง ข้าพอจะมีทางรอดอยู่บ้าง”
ฉู่ชูเหยียนอยากรู้ “เจ้ามีแผนอะไรกันแน่?”
ซูอันส่ายหัว “อันที่จริงข้าไม่มีความมั่นใจมากนัก และถ้าข้าบอกเจ้า โอกาสสำเร็จอาจจะน้อยลงอีก”
“เช่นนั้นข้าจะไม่ถามเรื่องนี้อีก” ฉู่ชูเหยียนกัดริมฝีปาก “เมื่อเราไปถึงเมืองหลวงข้าจะไปหาคนผู้หนึ่ง ถ้าเขาเต็มใจจะช่วย เจ้าจะยิ่งมีโอกาสรอดพ้นเงื้อมมือของจักรพรรดิได้”
ซูอันตกใจและรีบพูดว่า “ได้โปรดเจ้าอย่าทำอะไรโง่ ๆ! เจ้าห้ามเสียสละเรือนร่างของตัวเองเพื่อข้า!”
ละครโทรทัศน์โง่ ๆ ที่เขาเคยดูหลายเรื่องในโลกก่อนหน้านี้ทำให้เขาปวดตับอยู่บ่อย ๆ เพื่อประโยชน์ของฝ่ายชาย ฝ่ายหญิงจะขอความเมตตาจากผู้ร้ายและผู้ร้ายย่อมเรียกร้องให้นางเสนอตัวเป็นค่าตอบแทนอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ซึ่งนางก็ยินยอม…
ผู้เขียนสร้างบทขยะแบบนั้นขึ้นมาเพราะมันเป็นบทที่ได้รับความนิยมหรือว่าเพื่อจรรโลงสังคม?
แก้มขาวของฉู่ชูเหยียนแดงขึ้นเมื่อนางเข้าใจว่าเขาหมายถึงอะไร
“ฮึ่ม! เจ้าคิดเรื่องไร้สาระแบบไหนอยู่ในหัวสมอง? ข้าจะไปขอความช่วยเหลือจากตาของข้า!”
ซูอันรู้สึกประหลาดใจ “ใครเป็นตาของเจ้า? เขามีอำนาจมากเหรอ?”
ท้ายที่สุดจักรพรรดิต้องการให้เขามอบความลับสู่ความเป็นอมตะ เขานึกภาพไม่ออกเลยว่าตาของฉู่ชูเหยียนมีอำนาจขนาดไหนถึงสามารถโน้มน้าวให้จักรพรรดิยอมปล่อยเขาไปได้
หลังจากลังเลเล็กน้อยฉู่ชูเหยียนกล่าวว่า “ตอนนี้ไม่มีประโยชน์ที่จะปิดบังเจ้า ท่านตาน้อยของข้าคือฉินเจิ้ง ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทัพด่านหน้า และท่านตาใหญ่ของข้าคือฉินเสอ เขาคือแม่ทัพใหญ่รักษามาตุภูมิ”
ฉินเจิ้ง? ฉินเสอ?