เซียนคีย์บอร์ด [陆地键仙] - บทที่ 972 การสอบสวน
บทที่ 972 การสอบสวน
กู่เยว่อีตั้งสติได้ “ข…เขาคือใคร? มาที่นี่ทำไม!?”
โกวซือถอนหายใจด้วยความโล่งอก “มันไม่ใช่เรื่องของเจ้า สิ่งที่เจ้าต้องรู้คือเขาเป็นคนที่น่าเชื่อถือ รีบสารภาพมาซะ!”
“อืม” กู่เยว่อีตอบ “ข้าแค่อยากจะบอกว่า เจ้าไม่ควรทุบตีพวกเรา เราได้พูดไปหมดแล้วว่าเป็นราชันลมปราณที่สั่งการพวกเรา!”
โกวซือโกรธมากจนหัวเราะ “เจ้ากล้าล้อข้าเล่นเหรอ?”
นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่เขาคาดว่าจะได้ยิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อชายคนนี้ขอพบเขาเป็นการส่วนตัว เขาโกรธมากจนฟาดแส้ใส่กู่เยว่อีอย่างรุนแรง
“เราบอกทุกอย่างแล้วจริง ๆ! ทำไมเจ้าไม่เชื่อเรา!”
“ยังจะปากแข็งอยู่อีกเหรอ!”
“โอ๊ย…! อา…!”
ขณะที่ซูอันดูกู่เยว่อีกรีดร้องอย่างต่อเนื่อง สายตาของกู่เยว่อีจ้องกลับมาเป็นครั้งคราว ซูอันรู้ว่ามันถึงเวลาแล้ว เขากระแอมเบา ๆ และพูดว่า “แม่ทัพโกว ทำไมท่านไม่ให้ข้าคุยกับนักโทษล่ะ?”
“ท่าน?” โกวซือไม่เชื่อ เขาสอบปากคำคนเหล่านี้มาหลายวันแล้วโดยไม่ได้รับข้อมูลที่มีประโยชน์อะไร และเพิ่งถูกล้อเล่นไปหมาด ๆ ด้วย เขาไม่เชื่อว่าซูอันจะทำได้ดีกว่านี้
“ลองดูก็ไม่เสียหาย” ซูอันพูดด้วยสีหน้าที่จริงใจ
นี่คือเหตุผลที่องค์หญิงรัชทายาทส่งเขามาตั้งแต่แรก โกวซือยื่นแส้ในมือให้ “ท่านสามารถตีพวกมันได้มากเท่าที่ท่านต้องการ…อันที่จริงตีจนตายก็ไม่เป็นไร!”
เมื่อโกวซือออกไป ซูอันก็พากู่เยว่อีที่เดินกะเผลกกลับเข้าไปในห้องขัง ในเวลานี้ คนอื่น ๆ ในห้องขังจำนวนมากถูกตรึงร่างอยู่บนราวไม้
หนึ่งในนั้นสูงผอมและมีผมสีแดง ไม่ใช่ใครอื่นนอกจากเพลิงเดียวดาย ซึ่งเขาได้พบระหว่างทางมาเมืองหลวง
มีอีกคนที่โดดเด่นอยู่ด้านข้าง แม้ว่าจะอยู่หลังลูกกรง แต่เขาก็ยังมีบรรยากาศรอบตัวที่กล้าหาญและทรงพลัง นี่น่าจะเป็นผู้อาวุโสสำนักที่อวิ้นเจียนเยว่พูดถึง ‘ซุนหลูเจิ้น’
นักโทษอีกหลายคนนอนเกลื่อนกลาดไปทั่วห้องขังอีกห้องหนึ่ง ร่างกายชุ่มโชกไปด้วยเลือด และไม่สามารถบอกได้ว่ายังมีชีวิตอยู่หรือตายไปแล้ว
ซูอันค่อนข้างชื่นชมพวกเขา แม้ว่าจะเคยนึกเย้ยหยันสำนักมารว่าเป็นเหล่าฆาตกรที่ไร้จิตใจ แต่คนเหล่านี้ก็ยังไม่ขายอวิ้นเจียนเยว่ แม้จะถูกทรมานอย่างน่าสยดสยองก็ตาม พวกเขายังคงยึดถือในความเชื่อมั่นของตนเอง
“ไอ้คนทรยศ เจ้ายังกล้ากลับมาอีกเหรอ! ผู้เฒ่าผู้นี้จะไม่ยกโทษให้แม้เจ้าจะกลายเป็นผี!” ซุนหลูเจิ้นโกรธมากเมื่อเห็นกู่เยว่อี เขาพยายามกระโจนเข้าใส่ แต่โซ่ที่รั้งเขาไว้ส่งเสียงดังราวกับจะหลุดได้ตลอดเวลา
“หยุดสร้างความวุ่นวายได้แล้ว!” แส้ของผู้คุมฟาดใส่เขา และซุนหลูเจิ้นก็กรีดร้องอย่างน่าสังเวช การดิ้นรนของเขาสงบลงในทันที แต่สายตายังคงจ้องมองกู่เยว่อีอย่างเคียดแค้น
กู่เยว่อีกำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ลังเล เขาเหลือบมองซูอัน จากนั้นเดินไปที่ผู้คุมใกล้ ๆ แล้วเลือกที่จะเงียบ
ซูอันตรวจสอบแส้ของผู้คุมด้วยความสงสัย มันดูคล้ายกับแส้ของฮวนเจา ซึ่งสามารถเพิ่มความเจ็บปวดได้ ไม่น่าแปลกใจเลยที่แม้แต่ผู้บ่มเพาะที่แข็งแกร่งอย่างซุนหลูเจิ้นก็ทนไม่ได้
เพลิงเดียวดายค่อย ๆ ลืมตาขึ้น เมื่อเห็นซูอัน ดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความตกใจ “เจ้า…! เจ้า…!”
“มองข้าทำไม? ไม่เคยเห็นคนหล่อขนาดนี้มาก่อนเหรอ?” ซูอันกวัดแกว่งแส้ที่โกวซือมอบให้เขา และเพลิงเดียวดายก็กลืนสิ่งที่เขากำลังจะพูดลงคอทันที
ซูอันหันไปหาผู้คุมที่อยู่ถัดจากเขา “ออกไปก่อน ข้าอยากคุยกับพวกเขาเป็นการส่วนตัว”
“รับทราบ!” ผู้คุมรับทราบและถ่ายทอดคำสั่งไปยังผู้คุมคนอื่น ๆ ให้ถอนตัวออกไปเช่นกัน
เมื่อผู้คุมทั้งหมดออกไปแล้ว เพลิงเดียวดายก็พ่นน้ำลายปนเลือดออกมาเต็มปาก “ถุย! แย่จริง ๆ! ข้าไม่คิดว่าโชคชะตาจะขึ้น ๆ ลง ๆ แบบนี้ สุดท้ายข้ากลับจะต้องตายภายใต้น้ำมือของเจ้า เอาเลย ตอนนี้เชิญตามสบาย จะฆ่าก็ฆ่า หรือจะทรมานข้าก่อนก็ตามใจเจ้า!”
—
ท่านยั่วยุเพลิงเดียวดายสำเร็จ
ได้รับคะแนนความโกรธแค้น + 999!
—
เพลิงเดียวดายเชื่อว่าซูอันมาที่นี่เพื่อแก้แค้นในสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างทางมายังเมืองหลวง
กู่เยว่อีพูดขึ้นอย่างรวดเร็ว “เจ้าเข้าใจผิดแล้ว เพลิงเดียวดาย! เขาไม่ใช่ศัตรู แต่เป็นคนที่บุตรีสวรรค์ส่งมา!”
สาเหตุที่รู้เช่นนี้ เป็นเพราะจี้หยกที่ซูอันห้อยนั้นเป็นของชิวฮัวเล่ย ซึ่งเป็นเหตุผลว่าทำไมเขาเปลี่ยนความคิดในทันใด
“บุตรีสวรรค์?” เพลิงเดียวดายตกตะลึง เขาจำได้ว่าบุตรีสวรรค์นั้นเป็นมิตรกับชายคนนี้จริง ๆ และสับสนไปชั่วขณะ
ซุนหลูเจิ้นที่ถูกมัดไว้กับราวไม้จ้องไปที่กู่เยว่อีด้วยความโกรธ “ไอ้โง่!! เจ้าพูดบ้าอะไร? บุตรีสวรรค์เป็นใคร? ข้าไม่เคยได้ยิน! ไม่เคยรู้จัก!”
ซูอันอดไม่ได้ที่จะหัวเราะ “ท่านซุนเป็นคนที่น่านับถือจริง ๆ แม้แต่ในสถานการณ์เช่นนี้ ท่านก็ยังไม่ยอมปล่อยให้อะไรเล็ดลอดออกมาจากปาก”
ซุนหลูเจิ้นรู้สึกหายใจไม่ออกเมื่อได้ยินซูอันเรียกชื่อเขา เขามองที่ซูอัน “เจ้าเป็นใครกันแน่?”
เพลิงเดียวดายพูดขึ้น “นี่คือซูอัน ชายที่มีวิชาวัฏจักรหงส์อมตะ”
ซุนหลูเจิ้นพยักหน้าอย่างเข้าใจ เขาเคยได้ยินมาบ้างเกี่ยวกับเรื่องนี้
ซูอันนั่งสบาย ๆ บนเก้าอี้ใกล้เคียง “แท้จริงแล้วฮัวเล่ยเป็นคนที่ขอร้องให้ข้ามา เราเป็นเพื่อนกัน ข้าจึงเสนอที่จะส่งข้อความให้นาง”
กู่เยว่อีรู้สึกอิจฉาเล็กน้อยเมื่อได้ยินซูอันเรียกชิวฮัวเล่ยอย่างสนิทสนม เขาชื่นชมศิษย์น้องของเขามาเป็นเวลานาน แต่นางก็ปฏิบัติต่อเขาอย่างเย็นชาเสมอ ตอนนี้นางถึงกับมอบจี้หยกของนางให้กับชายผู้นี้
อย่างไรก็ตาม เขารู้ว่าชายผู้นี้มีอำนาจกำหนดอนาคตของเขาได้ ดังนั้นเขาจึงบรรเทาความหึงหวงลง
“นางต้องการจะบอกอะไรเรา?” ซุนหลูเจิ้นถามด้วยความสงสัย
“ท่านรู้ไหมว่า ทำไมไม่ว่าพวกท่านจะยืนยันว่าราชันลมปราณเป็นผู้บงการอย่างไร แต่คนพวกนี้ก็ไม่ยอมเชื่อ?” ซูอันถามและตอบ “นี่เป็นเพราะท่านทุกคนรู้วิธีกล่าวโทษโจมตีราชันลมปราณด้วยวาจาเท่านั้น ไม่ได้ให้รายละเอียดหลักฐานอะไร คนพวกนี้จะกล้ารายงานเรื่องที่ดูโป้ปดอย่างชัดแจ้งต่อเบื้องบนได้ยังไง? ดังนั้นที่ข้ามาที่นี่วันนี้ก็เพื่อสอนวิธีทำให้แผนการแนบเนียนมากขึ้น…”
“เป็นเหตุผลนี้เอง!” ซุนหลูเจิ้นถอนหายใจ “ไม่น่าแปลกใจที่พวกมันไม่ยอมเชื่อเราและยังคงทุบตีเราทุกวัน แม้แต่กระดูกของข้าเองก็ยังเกือบจะหักไม่ว่ามันจะแข็งแกร่งแค่ไหนก็ตาม!”
เพลิงเดียวดายมองไปที่ซูอันอย่างสงสัย “รายละเอียดที่ว่าคืออะไร? เราควรจะพูดยังไง?”
ซูอันอธิบายให้พวกเขาฟังว่า เฉิงซยงสั่งการเฉิงกังลูกชายของเขาและส่งไปที่หอคณิกาหลวงเพื่อขายข้อมูลให้กับส่วงเยว่ ซูอันอธิบายทุกอย่างให้พวกเขาฟังอย่างละเอียดและชัดเจน
คนอื่น ๆ พยักหน้า มีกู่เยว่อีเพียงคนเดียวที่ถามคำถามสำคัญขึ้นมา “นายน้อยซู เราสามารถพูดสิ่งเหล่านี้ได้ แต่เมื่อเราพูดแล้ว เราจะหมดประโยชน์ทันที จักรพรรดิอาจจะประหารชีวิตเราในตอนนั้น ท่านมีวิธีช่วยชีวิตพวกเราบ้างไหม?”
เขามองซูอันด้วยสายตาบีบคั้น