เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1029 เป็นดั่งเทพสังหาร + ตอนที่ 1030 ถือครองคมพยับ
ตอนที่ 1029 เป็นดั่งเทพสังหาร + ตอนที่ 1030 ถือครองคมพยับ
ตอนที่ 1029 เป็นดั่งเทพสังหาร
หนิงหลางที่อยู่ข้างๆ กันลูบท้องกลมก่อนฉีกยิ้ม “ใช่ อย่างไรข้าก็เป็นผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐาน จัดการตัวประหลาดเฒ่าระดับกำเนิดวิญญาณพวกนั้นไม่ได้ แต่ยังรับมือผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐานได้ หากต้านไม่ไหวจริงๆ ก็จะวิ่ง! และจะไม่ยืนโง่ตรงนั้นให้คนฆ่า”
ได้ยินคำพูดนี้ เฟิ่งจิ่วพลันยิ้ม “ดี! ตามข้าไปเถอะ” กล่าวจบก็มุ่งไปยังเรือนหลักพร้อมพวกเขา
ผู้คนในพื้นที่ตรงนี้ถูกช่วยเหลือ คนอีกทางหนึ่งแทบพูดได้ว่ายังไม่รู้เรื่อง เมื่อพวกของเฟิ่งจิ่วสามคนมาถึงด้านหน้า คนที่เห็นพวกเขาถามอย่างสงสัย “ทำไมพวกเจ้ามาอยู่ที่นี่ สองคนนั้นที่นำทางให้พวกเจ้าเล่า?”
“พวกนางบอกว่ามีธุระ ให้พวกเราไปเดินเล่นกันเอง” เฟิ่งจิ่วยิ้มน้อยๆ มือขยับเบาๆ เวลาต่อมาต้วนเยี่ยกับหนิงหลางสองคนข้างกายก็พลันพุ่งออกไป กระบี่ยาวอาบประกายหนาวเย็นจู่โจมไปยังผู้ฝึกวิชามารพวกนั้นด้วยความเร็วปานสายฟ้า
เงากระบี่ยกขึ้น แสงดาบปรากฏ จิตสังหารมากล้น
ทุกคนโดยรอบตกใจ ตามมาด้วยเสียงตะโกนเกรี้ยวกราดแต่ละเสียง “พวกเจ้าช่างกล้านัก!” ผู้ฝึกตนสิบกว่าคนล้อมเข้ามาโจมตี ตอนจู่โจมไปทางพวกเขาสามคน ต้วนเยี่ยแผดเสียงทุ้มว่า “สิงโตไฟ!”
เมื่อเอ่ยสั่ง สิงโตไฟระดับอสูรศักดิ์สิทธิ์ก็โผล่พรวดออกมาจากห้วงมิติสัตว์วิญญาณของเขา สี่เท้าเหยียบเปลวไฟกระโจนไปหาผู้ฝึกวิชามารพวกนั้น
“เฟิ่งจิ่ว คนพวกนี้ยกให้พวกเราเถอะ” ต้วนเยี่ยเอ่ยขึ้น ขณะเหวี่ยงกระบี่โจมตีก็ฟันลงบนศีรษะของผู้ฝึกวิชามารคนหนึ่ง เลือดสดสาดกระเซ็นออกไป ความโหดเหี้ยมของเขาแสดงออกมาอย่างเต็มที่ในยามนี้
เฟิ่งจิ่วมองทางทั้งสองคน ก่อนจะพยักหน้า “ส่วนใหญ่พวกเจ้าแค่ค้ำยันไว้ รอให้ยาออกฤทธิ์เป็นพอ” ขณะเดินไปข้างหน้ายังจัดการผู้ฝึกตนบางส่วนแทนพวกเขา
ความเคลื่อนไหวทางนี้สะเทือนไปถึงคนเบื้องบน โดยเฉพาะผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณสามคนนั้นบนยอดเขาหลัก การนองเลือดครั้งใหญ่พร้อมด้วยกลิ่นคาวเลือดกระจายเช่นนี้ ทำให้พวกนางสามคนทั้งตกใจและโกรธเกรี้ยว
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่! ใครกล้ามาก่อเรื่องถึงสำนักร่วมเริงรมย์ของเรา!”
ลูกศิษย์คนหนึ่งด้านนอกลนลานเข้ามารายงาน “เป็นพวกของเฟิ่งจิ่ว! พวกเขาปล่อยคนที่เราจับมาไปหมด ลูกศิษย์ของเราในพื้นที่คุมขังหลูติ่งถูกฆ่าทิ้งหมดสิ้น แม้แต่ผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐานยังตายไปสามคน”
ทั้งสามคนได้ยินแล้วตกใจยกใหญ่ “เป็นไปได้อย่างไร? พวกเขาฆ่าผู้ฝึกตนสร้างรากฐานโดยไร้เสียงได้อย่างไร?” พวกนางเร่งฝีเท้าพุ่งตัวออกไป มาถึงด้านนอกก็มองด้านล่างภูเขา มองไปครานี้เพียงรู้สึกตื่นตระหนก
“นี่…พวกเขาโดนวางยากันหมดไม่ใช่หรือ ไม่มียาแก้ แล้วพวกเขารวมกลิ่นอายพลังวิญญาณได้อย่างไร?”
ตรงเชิงภูเขา สิ่งที่เด่นสะดุดตาที่สุดคือร่างสีแดงนั้น เขาเดินมาด้านบนนี้ประหนึ่งรอบข้างไม่มีใคร ลูกศิษย์ที่เข้าปะทะเพื่อหยุดยั้งเมื่อเจอเขาล้วนถูกฆ่าในเสี้ยวพริบตา โดยเฉพาะเมื่อพวกนางเห็นกระบี่คมส่องประกายหนาวเยือกสีดำที่เฟิ่งจิ่วถืออยู่ก็ยิ่งสั่นสะท้าน
“กระบี่คมพยับ!”
“ไม่นึกว่าจะเป็นกระบี่คมพยับ!”
“ทำไมเขาถึงมีกระบี่คมพยับได้! เขาเป็นใครกันแน่?”
เสียงอุทานตกใจสามเสียงเปล่งออกจากปากคนทั้งสาม พวกนางมองกระบี่คมพยับที่ร่างสีแดงถือไว้ในมือ นั่นเป็นถึงกระบี่เทวะในตำนาน หายสาบสูญไปตั้งหลายปีแล้ว เขามีได้อย่างไร?
เด็กหนุ่มชุดแดงถือกระบี่คมพยับเดินมา ตลอดทางเดินมาไม่เหลือรอดสักคนราวกับเทพสังหาร บริเวณที่เดินผ่านมีศพกองระเกะระกะเต็มพื้น หัวใจหญิงทั้งสามสั่นสะท้าน ได้สติกลับมาโดยพลัน
หากเป็นเช่นนี้ต่อไป ลูกศิษย์ของพวกนางที่นี่ต้องโดนเขาฆ่าหมดแน่!
คนทั้งสามนึกถึงข้อนี้จึงเรียกพลังพุ่งออกไป ตรงไปหาร่างสีแดงที่เดินมานั้น
………………………………………………….
ตอนที่ 1030 ถือครองคมพยับ
ด้านล่าง ต้วนเยี่ยกับหนิงหลางสองคนที่เงยหน้ามองไปโดยไม่ตั้งใจก็ใจสั่นแวบหนึ่ง ประกายสีดำหนาวเหน็บแหลมคมวาววับจับตาอย่างไม่รู้ตัว
กระบี่คมพยับ!
ที่แท้เป็นกระบี่คมพยับ! นึกไม่ถึงว่าเฟิ่งจิ่วจะถือครองกระบี่คมพยับ เขายังมีอีกกี่เรื่องกันแน่ที่พวกเขาไม่รู้?
ยามนี้ พวกเขารู้สึกว่าตอนที่นึกว่าตนเองเข้าใจเฟิ่งจิ่วมากแล้ว อีกฝ่ายกลับเผยด้านที่อย่างไรก็นึกไม่ถึงออกมาอีกโดยไม่ทันตั้งตัว ทำให้พวกเขารู้สึกว่าสิ่งที่เห็น รู้จัก และรับรู้มาก่อนหน้านี้เป็นเพียงมุมหนึ่งของภูเขาน้ำแข็ง
“เฟิ่งจิ่ว! เจ้าเป็นใครกันแน่!”
ร่างหญิงทั้งสามมายังเบื้องหน้าของเฟิ่งจิ่ว พวกนางเหวี่ยงลูกศิษย์ที่พุ่งเข้ามาพวกนั้นถอยไป พลางมองเด็กหนุ่มตรงหน้าที่เผยวรยุทธ์ระดับหลอมแก่นพลังขั้นกลาง ในดวงตาเผยความเคร่งขรึม
อายุกระดูกของเด็กหนุ่มแค่สิบเจ็ดสิบแปดปี กลับมีวรยุทธ์ระดับหลอมแก่นพลังขั้นกลางแล้ว พละกำลังที่น่าเหลือเชื่ออย่างนี้ แม้เป็นตระกูลใหญ่ยังชุบเลี้ยงปีศาจเช่นนี้ออกมาไม่ได้เลย มิหนำซ้ำเขาถือครองกระบี่คมพยับ เผยแรงกดดันและกลิ่นอายดุดันบนร่างอย่างเต็มที่ กลิ่นอายข่มขวัญคนอันน่าสะพรึงและความน่าเกรงขามเช่นผู้เหนือกว่ายิ่งทำให้พวกนางหวาดกลัว
เขาไม่ใช่นักเรียนสำนักศึกษาสองดาราทั่วไปเป็นแน่!
เฟิ่งจิ่วได้ยินเช่นนี้ก็กวัดแกว่งกระบี่คมพยับในมือ ลำแสงสีดำวาดผ่านเป็นเส้นโค้งครึ่งวงกลม แล้วฟันไปที่ขาของคนทั้งสาม เธอมองผู้หญิงสามคนนั้นพลางยกริมฝีปากยิ้ม “ตอนนี้อยากถามว่าข้าเป็นอะไรๆ แล้ว? พวกเจ้าไม่คิดว่าสายเกินไปหรือ”
“เฟิ่งจิ่ว เจ้าเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังขั้นกลาง นึกว่าตนเองเป็นคู่ต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งระดับกำเนิดวิญญาณเช่นพวกเราได้หรือ?” ผู้หญิงหนึ่งคนในนั้นแค่นเสียงหยัน เมื่อเสียงของนางเปล่งออกไป แรงกดดันระดับกำเนิดวิญญาณก็จู่โจมไปทางเฟิ่งจิ่ว
ทว่าสิ่งที่ทำให้ทั้งสามคนมีสีหน้าไม่น่ามองคือ ถึงจะเผชิญหน้าแรงกดดันของผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณ นึกไม่ถึงว่าสีหน้าของเฟิ่งจิ่วจะไม่เปลี่ยนไปสักนิด จุดนี้ที่ทำให้พวกนางตะลึงและก็ยิ่งผวา
หรือว่าวรยุทธ์ของเขาไม่ใช่แค่ระดับหลอมแก่นพลังขั้นกลาง? เขายังเก็บซ่อนวรยุทธ์ไว้อีกหรือ ใช่แล้ว ก่อนหน้านี้เขาสะกดวรยุทธ์ไว้ ทำให้พวกนางนึกว่าเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐานไม่ใช่หรือ
แต่ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณอายุสิบกว่าปี? เป็นไปได้หรือ
“ข้าชอบคุยด้วยพละกำลังมากกว่า” สิ้นเสียงเฟิ่งจิ่ว กระบี่คมพยับในมือแวววาว ร่างสีแดงพุ่งไปทางผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณคนหนึ่งเบื้องหน้า
ความเร็วที่สูงยิ่งล้ำหน้ากว่าความเร็วของผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลัง จิตสังหารบนร่างของเธอพลุ่งพล่าน แรงกดดันทรงพลังกระจายออกมา นั่นเป็นแรงกดดันที่เธอเก็บไว้มาตลอด มีกลิ่นอายสัตว์เทวะโบราณ รัศมีอำนาจน่าพรั่นพรึง แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง
คนทั้งสามรู้สึกถึงแรงกดดันที่ถาโถมมาเบื้องหน้าก็ตกใจ นัยน์ตาฉายแววตื่นตะลึง
แรงกดดันของสัตว์เทวะโบราณ!
ไม่ผิดแน่ กลิ่นอายที่แฝงอยู่ในแรงกดดันนั้นทำให้พวกนางตกใจกลัวจนหัวใจหยุดนิ่งไปแวบหนึ่ง ความเร็วที่เดิมทีควรจะหลบไปได้ตั้งแต่แรกชะลอลงบางส่วนเพราะเหตุนี้ จนกระทั่งประกายสีดำเย็นยะเยือกบีบเข้ามาเบื้องหน้า กลิ่นอายแห่งความตายตรงไปยังหว่างคิ้ว ทั้งสามคนถึงจะตกใจ กัดปลายลิ้นจนเลือดออกเพื่อตั้งสติไว้ให้มั่น แล้วหลบออกไปด้วยความรวดเร็ว
“ฟิ้ว!”
พลังกระบี่ที่ดุดันรุนแรงวาดผ่านข้างกาย ถึงแม้ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณคนนั้นจะหลบการโจมตีถึงชีวิตไป ตรงแก้มก็ยังคงบาดเจ็บจากพลังกระบี่น่ากลัวนั้น รอยเลือดซึมออกมา ไหลลงจากแก้ม
ผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณสองคนที่เหลือเห็นภาพเช่นนี้จิตใจก็สั่นสะท้าน ยากจะเชื่อว่าเฟิ่งจิ่วทำร้ายผู้แข็งแกร่งระดับกำเนิดวิญญาณในหนึ่งกระบี่ เดิมทียังสบประมาทในใจ คิดว่าเขาไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของพวกนางได้ แต่ตอนนี้เพียงเขาลงมือ ความเร็วที่ไม่ด้อยไปกว่ากันกลับทำให้พวกนางอกสั่นขวัญแขวน
………………………………………………….