เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1045 ข้าขอคารวะท่านหนึ่งแก้ว + ตอนที่ 1046 มอมเหล้า
ตอนที่ 1045 ข้าขอคารวะท่านหนึ่งแก้ว + ตอนที่ 1046 มอมเหล้า
ตอนที่ 1045 ข้าขอคารวะท่านหนึ่งแก้ว
ลั่วเฟยกวาดมองเฟิ่งจิ่ว แค่นเสียงหยันก่อนหันไปกล่าว “ข้าไม่คิดจะตามพวกเขาไปฝึกวิชา อีกอย่าง เขาบอกว่าเป็นอาจารย์ก็เป็นอาจารย์แล้วหรือ?”
สิ้นเสียง ดวงตาของเขาแวววาวเล็กน้อย หันมามองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง จากนั้นบอกบิดามารดาของเขาต่อว่า “ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านคงไม่รู้เรื่องสินะ! เฟิ่งจิ่วคนนี้เดิมทีไม่ใช่อาจารย์ที่สำนักศึกษาจ้างมา”
เขาเชิดคางขึ้นเล็กน้อย มองเฟิ่งจิ่วอย่างปลุกปั่น คิดว่าตนเองกระชากหน้ากากที่อีกฝ่ายสวมไว้แล้ว อีกทั้งเอ่ยต่อว่า “เดิมทีเขาเป็นแค่นักเรียนของสำนักศึกษาหกดารา มาเข้าร่วมงานจัดอันดับวายุเมฆาของสำนักศึกษา เพียงแต่โชคดีบรรลุขั้นกลายเป็นผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังในพื้นที่ศักดิ์สิทธิ์ จึงโดนถอดสิทธิ์เข้าแข่งขัน เจ้าสำนักศึกษายกเว้นให้นักเรียนสำนักศึกษาหกดาราเช่นเขามาเป็นอาจารย์ แต่เหล่านักเรียนในสำนักศึกษาสองดาราต่างไม่เห็นชอบเรื่องเขา”
นักเรียนสำนักศึกษาสองดาราอย่างพวกเขา คนไหนๆ ก็เป็นผู้โดดเด่นที่สุดในตระกูล โดยเฉพาะพวกเขาสี่คน แม้แต่เหล่าอาจารย์ในสำนักศึกษายังต้องไว้หน้าให้ ไม่กล้าล่วงเกินพวกเขาโดยง่าย ต่อให้พวกเขาไม่ไปสำนักศึกษา พวกอาจารย์ก็ไม่กล้าว่าอะไรพวกเขา
ทว่า เจ้าเด็กจากสำนักศึกษาหกดาราที่จู่ๆ ได้เลื่อนขั้นกลับกลายเป็นอาจารย์ของพวกเขาสี่คน? ช่างน่าขันเสียจริง! พวกเขายอมรับได้อย่างไร?
เอาเถอะ! ถึงแม้ต้วนเยี่ยกับหนิงหลางรวมถึงซ่งหมิงทั้งสามคนยินยอม เขาก็ยอมไม่ได้แน่นอน สติปัญญาของเขาชาญฉลาดมากกว่าพวกเขาสามคนนัก จึงจะไม่หวั่นไหวโดยง่าย
ผู้นำตระกูลลั่วได้ยินคำพูดนี้ก็มีสีหน้าทะมึน จ้องมองลูกชายของตนเอง มือหนึ่งตบหน้าโต๊ะอย่างแรงทันทีจนเกิดเสียงดังปัง ขณะเดียวกันยังตะโกนว่า “เรื่องนี้คุณชายเฟิ่งบอกพวกเราไว้แต่แรกแล้ว เขามาจากสำนักศึกษาหกดาราแล้วอย่างไร? เจ้ามีพละกำลังระดับหลอมแก่นพลังเช่นเขาหรือ หรือว่าฉลาดทำการใหญ่กว่าเขา? ไม่เข้าใจอะไรก็ไม่ต้องพูดจาส่งเดช ไร้ระเบียบจริงๆ!”
ลั่วเฟยขยับริมฝีปาก สีหน้าตะลึงค้าง ไม่นึกว่าจู่ๆ จะโดนบิดาของตัวเองสั่งสอน นี่ทำให้เขาตะลึงงันพร้อมกับที่ไฟโทสะปะทุขึ้นมา อยากจะพูดอะไรบางอย่างก็เห็นมารดาของเขาส่ายหน้าน้อยๆ มาทางเขา จึงได้แต่จำใจอดทนไว้
“เหอะๆๆ คุณชายเฟิ่ง ลูกชายของข้าคนนี้เสียนิสัย เรื่องที่เสียมารยาทไป หวังว่าจะไม่ถือสา” เขากล่าวจบก็ลุกขึ้นยืน ยิ้มเอ่ยว่า “คุณชายเฟิ่ง ท่านทั้งหลาย เชิญไปร่วมมื้ออาหารที่เรือนด้านหลัง หลังรู้ว่าพวกเจ้าจะมากัน ฮูหยินของข้าจึงสั่งให้คนเตรียมงานเลี้ยงรับรองพวกเจ้าอย่างดี ภายหน้าลูกชายของข้าต้องรบกวนทุกคนดูแลให้มากๆ แล้ว”
พวกเขาลุกขึ้นยืนเช่นกัน ยิ้มรับคำแล้วถึงจะออกไปพร้อมกับสองสามีภรรยา แม้ในใจลั่วเฟยไม่ยอมรับ แต่หากบิดามารดาของเขาอยู่ตรงนี้ด้วยก็ไม่กล้าบุ่มบ่ามสร้างเรื่อง ดังนั้นจึงตามหลังไปด้วย
ตอนไปถึงที่นั่น เขากลอกตาขบคิด จากนั้นไปห้องเก็บเหล้ายกเหล้าไหหนึ่งเข้ามาด้วยตนเอง เมื่อมาถึงงานเลี้ยงทุกคนนั่งลงคุยเล่นกันเรียบร้อย เหล้าก็รินไว้แล้ว เขาจึงวางกาเหล้าไว้ข้างๆ
ระหว่างงานเลี้ยง ทุกคนยิ้มแย้มพูดคุย เครื่องดื่มถูกรินไม่ขาดสาย จนกระทั่งยามดึกดื่น เขาถึงยกกาเหล้าเข้าไปรินให้พวกเฟิ่งจิ่วด้วยตนเองพลางบอกว่า “อาจารย์เฟิ่ง ก่อนหน้านี้ข้าล่วงเกินท่านไปมาก ข้าขออภัยท่านไว้ ณ ที่นี้ด้วย ท่านโปรดดื่มกับข้าสักสามแก้ว”
เฟิ่งจิ่วมองเขาที่ถือกาเหล้ายืนอยู่เบื้องหน้า ยิ้มเอ่ยว่า “แก้วเหล้าเล็กๆ จะพอได้อย่างไร ไม่อย่างนั้นก็เช่นนี้แล้วกัน! พวกเราใช้ชามดื่มสักสามชามเป็นอย่างไร?”
“หา?” ลั่วเฟยนิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นค่อยหัวเราะร่า “ได้! รื่นเริงดี ข้าชอบ!” กล่าวจบก็บอกสาวใช้ว่า “เอาชามเหล้ามา!”
………………………………………………….
ตอนที่ 1046 มอมเหล้า
ชามเหล้าปากกว้างก้นหนา ใช้สำหรับดื่มเหล้า เพียงแต่ปกติจะใช้ชามเหล้าน้อยนัก ยามนี้เมื่อเขาตะโกนไป สาวใช้ก็รีบร้อนไปหยิบชามเหล้าสองใบเข้ามา วางเรียงตรงหน้าคนทั้งสอง
ลั่วเฟยวางกาเหล้าลง เดินไปข้างที่นั่งและยกกาเหล้ามารินเหล้าให้คนทั้งสองทันที “เชิญ” เขาวางกาเหล้าลง ก่อนจะยกชามเหล้าขึ้นมาเป็นนัย
เฟิ่งจิ่วยกชามเหล้าขึ้นคารวะเขา แล้วดื่มเหล้าภายในชาม เมื่อเหล้าเข้าปาก นัยน์ตาของเธอวาววับเล็กน้อย ตรงริมฝีปากเผยรอยยิ้มที่เหมือนมีเหมือนไม่มี
“มาอีก!” ลั่วเฟยเริงร่าในใจ ตะโกนเสียงดัง รินเหล้าอีกชามแล้วค่อยดื่มต่อ
คนอื่นเห็นพวกเขาสองคนดื่มกันเรื่อยๆ อยู่ตรงนั้น หนำซ้ำยังดื่มรวดเดียวหมด ก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้ ลั่วฮูหยินค่อนข้างกังวล กล่าวว่า “ดื่มเช่นนี้จะทำลายสุขภาพเกินไป”
“ไม่เป็นไรขอรับ ไม่ได้ดื่มเช่นนี้กันบ่อยๆ”
ลั่วเฟยโบกๆ มือ เหล้าสองชามผ่านไปก็เมามายแล้วเล็กน้อย แต่ยังคงรินเหล้าชามที่สาม “อาจารย์เฟิ่ง ชามนี้ข้าขอคารวะท่าน ภายหน้าหากข้าทำไม่ดีตรงไหน เหอะๆๆ ขอท่านโปรดอภัยให้ด้วย!”
เฟิ่งจิ่วยกริมฝีปาก “ไม่มีปัญหา” แล้วดื่มเหล้าชามที่สามลงไป
พวกของต้วนเยี่ยมองหน้ากัน คิดว่าลั่วเฟยไม่น่ากำราบเฟิ่งจิ่วได้จริงๆ เหล้าชามที่สามนี้เดาว่าข้างในคงมีอุบายอะไร แต่แม้เป็นเช่นนี้ ทั้งสามคนก็ไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวด้วย
คำพังเพยกล่าวไว้ว่า คนชั่วย่อมแพ้ภัยคนที่ชั่วกว่า เอาเถอะ! แม้รู้สึกว่าใช้คำพูดเช่นนี้มาเปรียบเทียบทั้งสองเหมือนจะไม่ดีเท่าไร แต่จิ้งจอกน้อยลั่วเฟยมาเจอเฟิ่งจิ่วคนสองหน้า เช่นนั้นก็มีแต่ต้องยอมรับในความโชคร้ายของตัวเอง
หากเขาไม่ยอม เฟิ่งจิ่วย่อมมีวิธีทำให้เขาเชื่อฟัง ดั่งที่เฟิ่งจิ่วพูดไว้ก่อนหน้านี้ว่าเขาจัดการคนน่าเป็นห่วงได้เก่งนัก
หลังจากงานเลี้ยงผ่านไป ทุกคนมึนเมาด้วยฤทธิ์เหล้า จึงพากันเผยอาการเมามายและแยกย้ายกันไป ภายใต้คำสั่งของลั่วฮูหยิน พวกเขาถูกประคองกลับห้องไปพักผ่อน
งานเลี้ยงครั้งนี้ผู้นำตระกูลลั่วกับลั่วฮูหยินสนุกสนานอย่างใจจริง ส่วนต้วนเยี่ยหนิงหลางซ่งหมิงสามคนมาที่นี่พร้อมเฟิ่งจิ่ว จะรอชมละครปาหี่ ด้วยเหตุนี้บอกว่าเมาไม่สู้เรียกว่าแกล้งเมา
ส่วนลั่วเฟยวางแผนจะมอมเหล้าเฟิ่งจิ่ว เพียงแต่ไม่คิดว่าสุดท้ายกลับมอมเหล้าตัวเอง เฟิ่งจิ่วเห็นว่าเขาจะมอมเหล้าเธอ จึงให้เขาได้สมหวังดั่งใจ ดื่มเหล้าไปทีละแก้วๆ จนสุดท้ายสายตาก็พร่ามัวหลายส่วน ใบหน้าแดงก่ำไม่น้อย ฝีเท้าตอนเดินค่อนข้างล่องลอย โซซัดโซเซ ก่อนจะได้สาวใช้ประคองกลับไป
ทว่าเมื่องานเลี้ยงสิ้นสุด ทุกคนแยกย้ายกลับห้องตัวเอง ทางลั่วเฟยที่กลับถึงที่พัก หลังจากดื่มน้ำแกงสร่างเมาที่เด็กรับใช้ยกมาให้ อาการมึนเมาก็ค่อยๆ หายไปและตื่นขึ้นมา
“คุณชาย” เด็กรับใช้มองเขาพลางเผยรอยยิ้มให้
“ข้ากลับมานานแค่ไหนแล้ว” เขานวดหน้าผาก รู้สึกปวดเล็กน้อย
“คุณชายสั่งข้าเตรียมน้ำแกงสร่างเมารอไว้ ตั้งแต่กลับมาดื่มน้ำแกงสร่างเมาจนคุณชายตื่นยังไม่ถึงครึ่งชั่วยามเลยขอรับ”
“อืม” เขาขานรับ ให้เด็กรับใช้ประคองลุกขึ้นมา ครั้นเดินออกไปด้านนอกกจึงร้องเรียก ผู้ฝึกตนสองคนปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าเขา
“คุณชาย” ทั้งสองคนคารวะด้วยความเคารพ
“ไป หลังจากจับเจ้าเด็กสวมชุดแดงในห้องรับรองใส่ถุงกระสอบให้เอาไปโยนไว้โรงค้าเด็กหนุ่ม สั่งพวกเขาให้รับรองเขาอย่างดีด้วย” ลั่วเฟยเผยรอยยิ้มมุ่งร้าย หัวเราะเสียงเบาขึ้นมา คิดว่าหากพรุ่งนี้ฝ่ายนั้นสร่างเมาตื่นมารู้ว่าตัวเองอยู่โรงค้าเด็กหนุ่ม ใบหน้านั้นจะยอดเยี่ยมเพียงใดกัน?
ทว่ายามนี้เขายังไม่รู้ มีร่างชุดแดงกำลังนั่งอยู่บนหลังคาเรือนเขา…
………………………………………………….