เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1231 เล่าเรื่องในตำหนัก + ตอนที่ 1232 หงส์ไฟที่เติบใหญ่แล้ว
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1231 เล่าเรื่องในตำหนัก + ตอนที่ 1232 หงส์ไฟที่เติบใหญ่แล้ว
ตอนที่ 1231 เล่าเรื่องในตำหนัก + ตอนที่ 1232 หงส์ไฟที่เติบใหญ่แล้ว
ตอนที่ 1231 เล่าเรื่องในตำหนัก
ครั้นเห็นอีกฝ่ายยิ้มหยอกล้อมองมาที่ตน เยี่ยจิงอดรู้สึกร้อนผ่าวที่พวงแก้มไม่ได้ “เจ้ามองหน้าข้า ยามพูดทำไมกัน เรื่องนี้เจ้าควรไปบอกกับพี่ชายเจ้าสิ”
“ใช่ๆ ข้าจะบอกกับพี่ชายข้าเอง” เฟิ่งจิ่วหัวเราะคิกคัก จากนั้นพาเยี่ยจิงเดินชมรอบจวนตระกูลกวน แล้วจึงค่อยกลับจวนตระกูลเฟิ่ง
“หลังจากพวกท่านพ่อของข้าย้ายไปอยู่ในวัง ที่นี่ก็กลายเป็นจวนของข้า ข้าให้คนของข้าอยู่ที่นี่ทั้งหมด บ้านนี้อย่างไรก็ต้องมีคนอาศัย หากไม่มีคนอาศัยนานๆ ทีกลับมาสักครั้งจะเปลี่ยวร้างได้
อีกอย่าง จวนของข้ามีพ่อครัวฝีมือยอดเยี่ยมอยู่คนหนึ่งด้วย” เฟิ่งจิ่วพานางเข้าไปในจวนตระกูลเฟิ่ง ให้นางทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม ก่อนจะจัดแจงบ้านพักให้นางพักผ่อน
คนในจวนเฟิ่งเห็นเฟิ่งจิ่วกลับมาก็ตื่นเต้นดีใจกันถ้วนหน้า เสียงขานเรียกนายท่านดังขึ้นเป็นระยะภายในจวน โดยเฉพาะเมื่อคนในครัวรู้ว่าเจ้านายกลับมา ก็เริ่มยุ่งเป็นพัลวัน ตั้งใจจะทำของเลิศรสให้เจ้านายได้กิน
ทั้งสองคนพักในจวน กระทั่งยามพลบค่ำ เฟิ่งจิ่วนึกขึ้นได้ว่ายังมีเรื่องหนึ่งไม่ได้บอกบิดา จึงมุ่งหน้าเข้าวังหลวง
หลังจากหาบิดาที่กำลังสะสางงานต่างๆ พบ เธอกันคนอื่นในตำหนักออกไป แล้วเดินเข้าไปขานเรียก “ท่านพ่อ”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋ย สองวันนี้เจ้าหายไปไหนไม่เห็นเงา เมื่อครู่พ่อได้ยินองครักษ์ตระกูลเฟิ่งบอกว่าเจ้ากลับจวนเฟิ่งแล้ว นี่ไม่คิดจะอยู่ในวังหรือ?” เฟิ่งเซียววางงานในมือลง เงยหน้าขึ้นมองเธอ
“ถึงแม้ในวังจะไม่เลวเลย ทว่าข้าก็ยังชอบอยู่ในจวน อยู่ที่นั่นแล้วข้ารู้สึกดี อุตส่าห์ได้กลับมาทั้งที ย่อมต้องอยากกลับไปอยู่ในบ้านที่เคยอยู่สิเจ้าคะ!” เธอยิ้มเดินมายืนข้างเขา แล้วยกมือคล้องแขนเขา
เมื่อได้ฟัง เฟิ่งเซียวส่ายหน้าอย่างจนใจ “ก็ได้ๆๆ ตามใจเจ้าเถอะ แต่เจ้าออกจากวังไปแล้ว ยังกลับเข้ามาหาพ่ออีก มีเรื่องใดงั้นหรือ?”
“เจ้าค่ะ ข้ามีเรื่องจะบอก” เธอปรับสีหน้า กล่าวว่า “ความจริงข้ายังไม่ได้บอกท่านพ่อ ข้าเคยให้คนในตลาดมืดสืบข่าวของท่านแม่”
ครั้นได้ยินประโยคนี้ เฟิ่งเซียวชะงักเล็กน้อย หัวใจเต้นรัว ถามด้วยความตื่นเต้นว่า “แล้วอย่างไร? มีข่าวหรือไม่?” บุตรสาวกลับมาคราวนี้ บอกพวกเขาว่านางฝึกตนจนเข้าสู่ระดับกำเนิดวิญญาณแล้ว อีกทั้งหงส์ไฟก็เข้าสู่วัยผู้ใหญ่แล้ว เรื่องนี้เขาดีใจมาก
นั่นหมายความว่าพลังของนางแข็งแกร่งขึ้นอีก แม้พวกเขาไม่ได้ติดตามไปปกป้องนางถึงข้างนอกนั่น แต่นางก็สามารถรับมือกับอันตรายมากมายได้
ก่อนหน้านี้เขาเคยบอกนางว่า หากพลังยังไม่กล้าแกร่งก็ห้ามกระทำการใดด้วยความวู่วามเด็ดขาด แต่ตอนนี้ไม่เหมือนเดิมแล้ว ไม่ใช่เพียงราชวงศ์เฟิ่งหวงของพวกเขาจะแข็งแกร่งมั่งคั่งขึ้นเท่านั้น แม้แต่พลังอำนาจของพวกเขาก็ยกระดับขึ้นมาก อีกทั้งอิทธิพลก็ยังขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
โดยเฉพาะฉายาภูตหมอของเสี่ยวจิ่วที่ดังสะท้านไปทั่วทุกแคว้น นางยังเด็กเพียงนี้ก็ฝึกฝนจนเข้าสู่ระดับกำเนิดวิญญาณ จัดเป็นผู้แข็งแกร่ง พลังเช่นนี้ไม่จำเป็นต้องเกรงกลัวตระกูลกลั่นยาอายุวัฒนะร้อยปีอย่างตระกูลซั่งกวนที่ทรงอิทธิพลในแคว้นระดับหนึ่งอีกแล้ว
ครั้นนึกถึงคนรักที่จากกันไปหลายปี หัวใจของเขาบีบรัด ทั้งหมดต้องโทษเขาที่ไร้ความสามารถ ทำให้ภรรยาพลัดพรากไปหลายปีเช่นนี้
เมื่อเห็นสีหน้าตื่นเต้นดีใจของบิดา เฟิ่งจิ่วลอบถอนหายใจ ถ้าพาท่านแม่กลับมาได้เร็วๆ พวกเขาก็อาจได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากันเร็วขึ้น นึกถึงตรงนี้ เธอเก็บงำอารมณ์ในใจไว้และกล่าวว่า “คนของตระกูลซั่งกวนขังท่านแม่ไว้ตลอดหลายปีที่ผ่านมา จำกัดการเคลื่อนไหวและอิสระของท่านแม่ แล้วใช้ประโยชน์จากนางมาตลอด ให้นางหลอมยาให้พวกเขา สิบกว่าปีมานี้ หากมิใช่ข้าวานให้คนตลาดมืดสืบข่าวให้ ก็คงไม่มีทางรู้ว่าท่านแม่ถูกพวกนั้นกักขังไว้”
………………………………….
ตอนที่ 1232 หงส์ไฟที่เติบใหญ่แล้ว
“พวกเขาน่าชังเกินไปแล้ว!” พอได้ยินวาจาของบุตรสาว เฟิ่งเซียวกำหมัดแน่น ชกลงบนโต๊ะแรงๆ น้ำเสียงเต็มไปด้วยความโกรธแค้น สายตาคมปลาบ อารมณ์โกรธเดือดพล่าน
เมื่อนึกถึงเรื่องที่เขาถูกผนึกความทรงจำ หญิงคนรักกลับถูกคุมขัง เพลิงโทสะในใจเขาก็ลุกโชนขึ้นมา ตระกูลซั่งกวนจะรังแกผู้อื่นเกินไปแล้ว! กับเขาไม่เท่าไร แต่กระทั่งบุตรสาวของพวกเขาเองก็ยังไร้ความปรานีได้ถึงขนาดนั้น เขาโศกเศร้าแทนหวั่นหรงยิ่งนักที่มีครอบครัวเลือดเย็นเช่นนี้
“ยังมีอีกเรื่องเจ้าค่ะ” เฟิ่งจิ่วกล่าว พลางมองบิดาที่กำลังเคียดแค้น “คนตระกูลซั่งกวนรู้ตัวตนของท่านพ่อแล้ว และก็รู้ว่าข้าคือบุตรสาวของพวกท่าน ตอนอยู่ที่นั่น พวกเขายังอยากทำความรู้จักกับข้ากลางที่สาธารณะด้วย แต่ข้าไม่สนใจพวกเขา”
“พวกเขารู้แล้วหรือ?” เฟิ่งเซียวถามพลางขมวดคิ้ว “พวกเขาไม่ทำอะไรเจ้าหรือ”
“พวกเขาทำอะไรข้าไม่ได้ วันนี้ที่ข้ามาหาท่านพ่อก็เพราะต้องการบอกแผนของข้าให้ท่านทราบ” เธอกล่าวเสียงแช่มช้า “ท่านแม่ไม่ได้อยู่ที่ตระกูลซั่งกวนแล้ว นางถูกนักเล่นแร่แปรธาตุผู้หนึ่งชื่อตานหยางจื่อรับเป็นลูกศิษย์ปิดสำนัก เขาเป็นคนของสำนักโอสถตะวันที่อยู่ในแปดจักรวรรดิใหญ่
อย่าว่าแต่ท่านแม่ไม่อยู่ที่ตระกูลซั่งกวนแล้ว ถึงแม้อยู่ ตระกูลและครอบครัวเช่นนั้นก็ไม่มีสิทธิ์อะไรมานับญาติกับเรา แต่ข้าคิดว่าคนของตระกูลซั่งกวนไม่ยอมหยุดเท่านี้แน่ และน่าจะมาหาท่านพ่อ พวกเขาไม่รู้ว่าท่านจำทุกอย่างได้แล้ว ฉะนั้นเมื่อถึงเวลา…”
“เจ้าหมายความว่า แม่ของเจ้าไม่ได้อยู่ที่นั่นแล้ว? นางถูกนักเล่นแร่แปรธาตุชื่อตานหยางจื่อพาตัวไปแล้วอย่างนั้นหรือ”
เฟิ่งเซียวตะลึงงัน ชั่วขณะหนึ่งไม่รู้ว่าในใจรู้สึกเช่นไร สิบกว่าปีผ่านไป นางยังจำเขาได้หรือไม่ นางยังเหมือนเช่นตอนแรกหรือไม่ ไปอยู่แปดจักรวรรดิใหญ่แล้ว นางจะยังกลับมาอีกหรือไม่?
“เจ้าค่ะ”
เฟิ่งจิ่วรับคำ กล่าวว่า “ท่านพ่อไม่ต้องเป็นห่วง ข้ากลับมาครานี้เพราะต้องการแจ้งเรื่องนี้ให้ทราบ ให้ท่านระวังคนของตระกูลซั่งกวนไว้หน่อย ไปแปดจักรวรรดิใหญ่รอบนี้ข้าจะไปตามหาท่านแม่ที่สำนักโอสถตะวัน ท่านพ่อวางใจเถอะเจ้าค่ะ! ข้าจะพาท่านแม่กลับมาหาท่านพ่อให้ได้”
“พ่อรู้แล้ว ทางฝั่งตระกูลซั่งกวนเจ้าไม่ต้องห่วง” เฟิ่งเซียวพยักหน้า ในใจเริ่มใคร่ครวญแล้วว่าจะรับมือกับเรื่องนี้เช่นไรดี
เห็นดังนั้น เฟิ่งจิ่วจึงไม่พูดมากความอีก ปล่อยให้เขาอยู่ในตำหนักเงียบๆ ส่วนตนเองออกจากวัง มุ่งหน้ากลับจวน
วันเวลาต่อจากนั้น เมื่อเรื่องที่ภูตหมอคือองค์หญิงแห่งราชวงศ์เฟิ่งหวงแพร่กระจายออกไป แคว้นต่างๆ ก็ส่งคนมามอบของขวัญสูงค่าให้ไม่ขาดสาย ไม่เพียงแคว้นต่างๆ จะส่งคนมามอบของขวัญล้ำค่าให้ แม้แต่ตระกูลใหญ่บางตระกูลก็ยังตั้งใจส่งคนนำของขวัญมามอบให้เพื่อจะผูกมิตรด้วย
เรื่องพวกนี้เฟิ่งเซียวเป็นคนจัดการทั้งหมด ส่วนเฟิ่งจิ่วหลังจากกลับมาก็ตามเยี่ยจิงไปเที่ยวทั่วทิศ จากนั้นก็เตรียมพร้อมออกเดินทาง
เธอจัดแจงเหล่าองครักษ์ตระกูลเฟิ่งก่อน กำชับพวกเขาว่าระหว่างที่เธอไม่อยู่ต้องปกป้องราชวงศ์เฟิ่งหวงให้ดี อย่าได้ให้ใครมารุกรานแคว้นของพวกเขาเป็นอันขาด
เพราะจากไปหนนี้ไม่รู้เมื่อใดจะได้กลับมาอีก ราชวงศ์เฟิ่งหวงในตอนนี้จะว่าแข็งแกร่งก็แข็งแกร่ง จะว่าอ่อนแอก็อ่อนแอ หากมีเรื่องใดเกิดขึ้นจริง เธอไม่อยู่ทางนี้คิดอยากช่วยก็ช่วยไม่ได้ ฉะนั้นในใจจึงเกิดความคิดหนึ่ง
“หงส์ไฟ”
หนึ่งเสียงขานเรียก รัศมีแสงเส้นหนึ่งก็ฉายวาบกลางอากาศ ก่อนลงมาเบื้องหน้าเธอ
สิ่งนั้นคือเด็กหนุ่มสวมชุดคลุมยาวสีแดงเพลิงผู้หนึ่ง ท่าทางอายุราวสิบเจ็ดสิบแปด หน้าตางดงามกว่าคนทั่วไป เส้นผมสีแดงสดดุจเปลวไฟสะดุดตายิ่งนัก กลิ่นอายโบราณที่แก่กล้าแผ่กระจายอยู่รอบกาย
…………………………………………..