เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1267 ด้านที่น่าสนใจ + ตอนที่ 1268 บุรุษเป็นเหตุนำภัย
ตอนที่ 1267 ด้านที่น่าสนใจ + ตอนที่ 1268 บุรุษเป็นเหตุนำภัย
ตอนที่ 1267 ด้านที่น่าสนใจ
“นั่งเถิด!” เซวียนหยวนโม่เจ๋อพยักพเยิด ไม่ได้เอ่ยสิ่งใดต่อ
องค์หญิงสามมีนามว่าอิ๋งเสวี่ย เป็นทั้งองค์หญิงผู้สูงศักดิ์ ทั้งได้รับฉายานามว่าเป็นหญิงงามอันดับหนึ่งของจักรวรรดินทีแดง ยามนี้เห็นเซวียนหยวนโม่เจ๋อเหลียวมองมาแค่หางตา แววตาเฉยชาดุจสายน้ำ ไร้ซึ่งคลื่นอารมณ์ใดๆ กระทั่งแววตื่นตะลึงในความงามสักนิดก็ไม่มี นางจำต้องหลุบตาต่ำลง แล้วก้าวเดินไปด้านหน้า
ทว่าเมื่อเห็นนางก้มหน้าก้มตา เผยให้เห็นใบหน้าด้านข้างอันงดงาม อิริยาบถอ่อนหวาน เยื้องย่างแผ่วเบา ชายกระโปรงขยับเบาๆ เลอโฉมน่าหลงใหลดุจนางสวรรค์ เฟิ่งจิ่วที่ยืนมองอยู่ด้านหนึ่งอดอุทานในใจไม่ได้ สตรีนางนี้งดงามดุจนางฟ้าจริงๆ
ครั้นหันมองไปทางเซวียนหยวนโม่เจ๋อ เห็นเขานั่งทำหน้าไม่บ่งบอกอารมณ์ ไม่แม้แต่จะชายตามององค์หญิงสักนิด เธอก็รู้สึกขำอย่างห้ามไม่ได้ นี่เขาไม่กล้าชายตามองหญิงงามที่นี่งั้นเหรอ? เธอก็ไม่ได้ห้ามเขาเสียหน่อยนี่!
แววตาไหวระริก เธอก้าวมาหยุดยืนข้างโต๊ะ หยิบกาสุราขึ้นมารินใส่แก้วให้คนทั้งสอง
เมื่อเห็นดังนั้น เซวียนหยวนโม่เจ๋อเหลียวมองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง ยามสายตาจับจ้องบนตัวนาง ในดวงตาดำขลับลึกล้ำคู่นั้น หากไม่ใช่รอยยิ้มที่พาดผ่านก็คงเป็นความรักใคร่
ครั้งนี้ แม้แต่องค์หญิงอิ๋งเสวี่ยที่นั่งอยู่ตรงนั้นก็ยังจับสังเกตได้ อดไม่ได้ที่จะชำเลืองดูเล็กน้อย มองตามสายตาของเซวียนหยวนโม่เจ๋อไปยังข้ารับใช้ชายที่กำลังรินสุราอยู่ด้านข้าง มองดูเช่นนี้ ข้ารับใช้ผู้นี้ก็ไม่ได้มีตรงไหนโดดเด่นเป็นพิเศษ
แต่เมื่อวานตอนที่เสด็จพี่รัชทายาทของนางคิดจะใช้ข้ารับใช้ชายผู้นี้ ไปล่อเซวียนหยวนโม่เจ๋อออกมา การแสดงออกของข้ารับใช้คนนี้กลับออกจะเหนือความคาดหมาย รอบตัวเขาไม่มีคลื่นพลังวิญญาณ แต่ก็น่าจะเป็นยอดฝีมือคนหนึ่งกระมัง! ไม่เช่นนั้นจะหลบหลีกกรงเล็บคว้าคอของเสด็จพี่ของนางไปได้อย่างไร
เพียงแต่ รัชทายาทเซวียนหยวนผู้ไม่เหลียวมองโฉมตรูที่อยู่ตรงหน้าเช่นนางสักนิด กลับหันไปมองข้ารับใช้ชายหน้าตางดงามคนหนึ่งแทน? หรือว่านางเทียบกับข้ารับใช้ชายคนหนึ่งไม่ได้ด้วยซ้ำ?
หยางหย่งที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหนึ่งเห็นสถานการณ์ของทั้งสามคน ก็อดรู้สึกขำไม่ได้ เมื่อก่อนแค่เคยได้ยินเรื่องของนายท่านกับภูตหมอ ฮุยหลางกับอิ่งอีบอกว่าเพื่อภูตหมอแล้ว นายท่านทำเรื่องที่ทำให้พวกเขาปากอ้าตาค้างหลายต่อหลายครั้งนัก ทีแรกยังนึกว่าพวกเขากล่าวเกินจริง เพราะอย่างไรในภาพจำของเขา นายท่านเป็นคนเย็นชาและสูงสง่ามาโดยตลอด ยากจะจินตนาการได้ว่าเขาจะเอาอกเอาใจสตรีนางหนึ่งอย่างไร
แต่แค่เห็นภาพเหตุการณ์ตรงหน้านี้ เขาก็รู้แล้วว่าตอนเขาไม่ได้อยู่ข้างกายนายท่าน ต้องพลาดเรื่องน่าสนุกไปแล้วไม่น้อยแน่นอน
“ได้ยินว่าองค์รัชทายาทแห่งชื่อสุ่ยไม่ค่อยสบายนัก ยามนี้ดีขึ้นบ้างหรือไม่?” ยามนี้เซวียนหยวนโม่เจ๋อเพิ่งหันหน้ามา มององค์หญิงอิ๋งเสวี่ยที่นั่งอยู่ตรงข้าม
“อาจเป็นเพราะไม่ค่อยคุ้นเคยกับต่างถิ่น ทว่าก็ดีขึ้นแล้วเพคะ ทำให้พระองค์ต้องเป็นห่วงแล้ว” นางเอ่ยเสียงเบา นัยน์ตาคู่งามอ่อนโยนดุจสายธาร กำลังมองบุรุษที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายชายชาตรีเบื้องหน้า
เซวียนหยวนโม่เจ๋อพยักหน้า กล่าวตามมารยาทว่า “เดิมทีข้าควรไปเยี่ยมเยือนสักครั้ง เพียงแต่มีกิจธุระพัวพัน จึงไม่ได้ทำหน้าที่เจ้าบ้านให้ดี หากองค์หญิงรู้สึกเบื่อที่ต้องอยู่ในจวน ก็ให้หยางหย่งพาไปท่านเดินเล่นในเมืองหลวงได้”
เมื่อได้ยินประโยคนี้ หยางหย่งที่อยู่ด้านข้างก้มหน้าลงเล็กน้อย ปิดบังรอยยิ้มในดวงตา
ส่วนเฟิ่งจิ่วที่ยืนถือกาสุราอยู่ด้านข้างเซวียนหยวนโม่เจ๋อ ลอบกลอกตามองฟ้าเล็กน้อย
องค์หญิงอิ๋งเสวี่ยได้ยินแล้ว รอยยิ้มบนใบหน้ากลับแข็งค้าง ให้พ่อบ้านพานางออกไปเดินเล่นหรือ? เช่นนั้นเขาที่เป็นเจ้านายเล่า? เพียงบอกว่าราชกิจพัวพันก็ปัดความรับผิดชอบพ้นตัวได้แล้วหรือ หรือนางไม่เข้าตาเขาเลยจริงๆ ไม่นึกว่าจะไม่สนใจอยากไปเดินเล่นกับนางเลยสักนิด?
ชั่วขณะหนึ่ง ในอกนางสุมไปด้วยเพลิงโทสะและความไม่ยอมแพ้ แต่ใบหน้ากลับไม่แสดงอารมณ์ใด เพียงหลุบตาต่ำลง สองมือกำชายกระโปรงไว้เบาๆ
………………………………….
ตอนที่ 1268 บุรุษเป็นเหตุนำภัย
“นทีแดงกับเซวียนหยวนสองจักรวรรดิมีประสงค์จะแต่งงานผูกมิตรกัน ไม่ทราบพระองค์ทรงทราบหรือไม่?” นางเงยหน้าไถ่ถาม น้ำเสียงยังคงนุ่มนวลชวนหลงใหล ดุจสายน้ำอันแผ่วเบา
แววตาของเฟิ่งจิ่วที่อยู่ด้านข้างไหวระริกเล็กน้อย หันไปมององค์หญิงผู้นั้น
เซวียนหยวนโม่เจ๋อยกสุราขึ้นจิบหนึ่งอึก เสียงทุ้มต่ำมีเสน่ห์น่าดึงดูดเอ่ยขึ้นอย่างไม่เร่งไม่ช้า “องค์หญิงต้องตาองค์ชายองค์ใดในราชวงศ์เซวียนหยวนเรางั้นหรือ?”
หลังได้ยิน องค์หญิงอิ๋งเสวี่ยยิ้มเล็กน้อย ดุจบุปผาแย้มบานในพริบตานั้น งดงามจนไม่อาจละสายตาได้ “หม่อมฉันรู้ว่านอกจากองค์รัชทายาทเซวียนหยวนแล้ว ยังมีองค์ชายอีกหลายพระองค์ แต่อิ๋งเสวี่ยอยากทูลว่า หากต้องแต่งงานเชื่อมสัมพันธ์ อิ๋งเสวี่ยจะแต่งกับพระองค์เท่านั้น”
นี่คือสารภาพความรู้สึกกันตรงๆ เลยหรือ?
เฟิ่งจิ่วมององค์หญิงอิ๋งเสวี่ยด้วยสีหน้าประหลาดใจ กล้าพูดต่อหน้าเช่นนี้ องค์หญิงอิ๋งเสวี่ยผู้นี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ! หากเปลี่ยนเป็นชายอื่น เดาว่าคงดีใจจนหมดสติหากได้ยินประโยคนี้แล้ว แต่โชคดี ชายที่เธอหมายตาไม่ใช่คนที่จะถูกหว่านเสน่ห์ได้ง่ายๆ
ฉะนั้นเธอจึงอยากจะพูดนัก ‘องค์หญิงอิ๋งเสวี่ยเอ๋ย ต้องขออภัยด้วย เจ้ามาช้าไปก้าวหนึ่งแล้ว คนผู้นี้ข้าจองไว้ก่อนแล้ว’
“ข้าไม่สนใจองค์หญิง”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำแฝงแววเย็นชา ไร้ซึ่งความอ่อนโยนด้วยซ้ำ ครั้นเปิดปากก็กล่าวความในใจชัดเจน ไม่สนใจว่าใบหน้าเลอโฉมราวบุปผาขององค์หญิงอิ๋งเสวี่ยจะซีดขาวในพริบตา
“ในเมื่อองค์รัชทายาทแห่งชื่อสุ่ยไม่สบาย องค์หญิงก็กลับไปดูแลเขาก่อนเถิด! หากอาการแปลกถิ่นไม่ดีขึ้น ข้าให้คนส่งพวกท่านกลับนทีแดงก่อนก็ได้ ร่างกายของรัชทายาทจะได้ไม่มีปัญหา”
พอได้ฟังวาจาไร้ความเกรงใจเช่นนั้น องค์หญิงอิ๋งเสวี่ยจ้องเขาแน่นิ่ง “องค์รัชทายาททรงปฏิบัติตนเป็นเจ้าบ้านเช่นนี้หรือเพคะ หรือนี่คือธรรมเนียมการต้อนรับขับสู้ของราชวงศ์เซวียนหยวน?”
“มิได้ องค์หญิงเข้าใจผิดแล้ว นี่เป็นธรรมเนียมการรับแขกของข้าผู้เดียวเท่านั้น สำหรับองค์หญิงและรัชทายาทแห่งชื่อสุ่ย ข้าได้ต้อนรับอย่างดีที่สุดแล้ว”
เสียงของเขาเว้นช่วงเล็กน้อย แววตาลึกล้ำแฝงไว้ด้วยความเย็นเยือก “หากเป็นคนอื่นกล้าลงมือกับคนของข้าในจวนของข้า ข้าคงฆ่าคนพวกนั้นตายคาที่ไปแล้ว!”
น้ำเสียงทุ้มต่ำและน่าเกรงขามแฝงความเย็นเยียบเอาไว้ เขากำลังบอกนางว่า หากไม่ใช่เพราะพวกนางเป็นองค์รัชทายาทและองค์หญิงแห่งราชวงศ์ชื่อสุ่ย เช่นนั้นเมื่อวานคงไม่ปล่อยไปง่ายๆ อย่างนั้น
อิ๋งเสวี่ยถูกดวงตาดำขลับลึกล้ำคู่นั้นจ้องมอง หัวใจก็สั่นสะท้าน แววตาที่โหดเหี้ยมไร้ปรานีนั้น นางเห็นอย่างชัดเจน แล้วก็รู้ดีด้วยว่าเขาไม่ได้พูดส่งเดชแน่ แต่พูดจริง!
ชั่วขณะนี้ หัวใจของนางเย็นวาบ เซวียนหยวนโม่เจ๋อผู้นี้ทำให้นางสะเทือนใจอย่างที่ไม่เคยเป็นอีกครั้งแล้ว
หากเปลี่ยนเป็นคนอื่น ไม่มีทางเอ่ยวาจาเช่นนี้ออกมาได้แน่ ไม่ว่าอย่างไรก็ต้องเห็นแก่ความสัมพันธ์ของสองจักรวรรดิสักหน่อย แต่เขากลับพูดจาเช่นนี้ นี่เท่ากับกำลังบอกพวกเขาอย่างชัดแจ้งว่า เรื่องที่คนอื่นไม่กล้าทำ เขากล้าทำ! เรื่องที่คนอื่นใส่ใจ เขาไม่ใส่ใจ!
ผ่านไปเนิ่นนาน นางถึงค่อยลุกขึ้นแล้วย่อตัวเล็กน้อย “อิ๋งเสวี่ยทูลลา”
นางหันกายเดินไปข้างนอก ยามก้าวเท้าผ่านธรณีประตู ฝีเท้าชะงักเล็กน้อย ก่อนกล่าวว่า “ต้องมีสักวัน หม่อมฉันจะทำให้พระองค์มาสู่ขอหม่อมฉันด้วยความเต็มใจให้ได้” เอ่ยจบจึงค่อยสาวเท้าเดินจากไป
เฟิ่งจิ่วเม้มปาก เหล่มองชายหนุ่มที่มองมาหาด้วยหางตา กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “บุรุษเป็นเหตุนำภัยแท้ๆ”
ได้ยินเช่นนั้น เซวียนหยวนโม่เจ๋อหัวเราะแผ่วเบา “แม้จะนำภัย ข้าก็นำภัยมาให้เจ้าคนเดียว”
………………………………….