เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1415 สิบคนหนึ่งกลุ่ม + ตอนที่ 1416 รังเกียจ
ตอนที่ 1415 สิบคนหนึ่งกลุ่ม + ตอนที่ 1416 รังเกียจ
ตอนที่ 1415 สิบคนหนึ่งกลุ่ม
“กุ๊กๆๆ!”
พลันนั้นมีเสียงไก่ร้องดังมา ทุกคนอดตกตะลึงไม่ได้ หันไปมองตามเสียงนั้น
เฟิ่งจิ่วเองก็ตกใจเช่นกัน ก้มหน้าไปมอง ก็เห็นเจ้าขนเขียวที่ถูกทิ้งไว้ข้างหลังแล้วแท้ๆ ไม่รู้ว่าตามมาตั้งแต่เมื่อไร มันกำลังยืนยืดอกยืดคอมองผู้คนรอบกายอยู่ข้างๆ เฟิ่งจิ่ว ซ้ำยังเปล่งเสียงร้องเป็นระยะด้วย
“เอ๊ะ? นี่มันสัตว์วิญญาณระดับเจ็ดไม่ใช่หรือ?”
“เป็นสัตว์วิญญาณระดับเจ็ดไม่ผิดแน่ แต่ปกติมันต้องหนีห่างเวลาเจอคนไม่ใช่หรือ? แล้วนี่เหตุใดยังมุดเข้ามาอยู่กลางฝูงชนเช่นนี้?”
“เจ้าสัตว์วิญญาณระดับเจ็ดตัวนี้ดูอ้วนพีดีจริงๆ!”
“เจ้าขนเขียวตัวนี้ข้ารู้จัก พักนี้มันชอบเดินเล่นอยู่บนยอดเขาซานหยาง คล้ายว่าจะเป็นไก่ที่ศิษย์ชั้นล่างคนหนึ่งเลี้ยงไว้” หนึ่งในนั้นพูดขึ้น กวาดสายตามองหา สุดท้ายก็พยักเพยิดมาทางเฟิ่งจิ่ว “นั่นไง เขานั่นแหละ แต่ทำไมศิษย์ชั้นล่างคนนั้นก็มาด้วยเล่า?”
ได้ยินประโยคนั้น สายตาของทุกคนก็จับจ้องมาที่เฟิ่งจิ่วที่สวมใส่ชุดสีเขียวทั้งตัว เมื่อต้องเผชิญหน้ากับสายตาของทุกคนที่มองมา เฟิ่งจิ่วเพียงยิ้มเหยเก ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าจริงใจใสซื่อ แสร้งทำเหมือนไม่ได้ยินคำพูดของคนคนนั้น สอดส่ายสายตาไปทั่ว พิจารณาสภาพแวดล้อมรอบๆ
“มองอะไร? ข้าเป็นคนพาเขามาเอง? ทำไม? มีปัญหาอะไรหรือ?” เฉินเต้าถลึงตาใส่บรรดาศิษย์ที่อยู่รอบกาย
เห็นเป็นเขา ทุกคนจึงไม่มีใครใส่ใจอีก เฉินเต้าผู้นี้ ไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่รู้ มีผู้อาวุโสท่านหนึ่งในสำนักเป็นผู้หนุนหลังเขา หากไม่มีเรื่องกับเขาได้ พวกเขาย่อมไม่อยากมีเรื่อง ด้วยฐานะของเฉินเต้า พาศิษย์ชั้นล่างมาด้วยคนหนึ่งก็ไม่ใช่ว่าเป็นไปไม่ได้
“เจ้าขนเขียว รีบกลับไปเลย”
เฟิ่งจิ่วพยักเพยิด โบกมือไล่เจ้าขนเขียวให้มันรีบกลับไปที่ถ้ำ นึกไม่ถึง เจ้าขนเขียวเอียงคอมองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง ร้องกุ๊กๆ จากนั้นก็ทิ้งตัวนั่งลงข้างเท้าเธอ ตัวอ้วนกลมนั่งอยู่ตรงนั้นเหมือนลูกบอลลูกหนึ่ง ดูสะดุดตาจนยากจะทำให้ผู้คนมองข้ามไปได้
“ไม่เป็นไร พาไปด้วยก็ได้ หิวเมื่อไรยังเอามาย่างกินได้ด้วย” เฉินเต้าจ้องเจ้าขนเขียวที่นั่งยองๆ อยู่ข้างเท้าเฟิ่งจิ่วแล้วบอก พลางลูบคอ เมื่อเช้ารีบร้อนไปหน่อย ยังไม่ได้กินอะไรเลย!
เฟิ่งจิ่วมุมปากกระตุก นึกเอือมระอาเล็กน้อย ตอนแรกเธอก็เคยคิดจะจับเจ้าขนเขียวมาย่างหรือไม่ก็ตุ๋นเสีย นึกไม่ถึงพอจับตัวมันกลับลูบไปโดนไข่ที่ยังไม่ฟักเป็นตัว จึงได้หยุดความคิดจะฆ่ามันไว้
นึกไม่ถึงว่าพอเธอไม่คิดจะกินมันแล้ว ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไรมันกลับเอาแต่วนเวียนอยู่รอบตัวเธอ ทุกคนต่างรู้กันหมดว่าเจ้าขนเขียวเป็นไก่ที่เธอเลี้ยงไว้ ความจริงเธอเลี้ยงมันแบบปล่อยมาโดยตลอด ตนเองยังกินไม่อิ่ม ย่อมไม่มีอะไรจะเอามาเลี้ยงมันได้อยู่แล้ว เพียงแค่บางครั้งก็โยนยาให้มันกินบ้างเท่านั้น กินไปกินมา เจ้าขนเขียวก็อ้วนขึ้นหนึ่งเท่า แต่ที่น่าแปลกคือไข่ฟองนั้นยังไม่ฟักเป็นตัวสักที
“ศิษย์ของยอดเขาซานหยางมารวมตัวกันตรงนี้!”
ทันใดนั้น มีเสียงทุ้มต่ำเสียงหนึ่งดังมา เฉินเต้าที่อยู่ข้างๆ บอกว่า “มาเร็ว อาจารย์อาต้วนกำลังเรียกรวมศิษย์ในยอดเขาซานหยางอยู่”
เฟิ่งจิ่วพยักหน้า ตอนนี้เอง คนจากยอดเขาอื่นเองก็ตะโกนเรียกเสียงดัง ให้ศิษย์แต่ละยอดเขามารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว
ด้านหน้าสุด เธอเห็นท่านแม่ของเธอที่ใส่ชุดสีขาวทั้งตัวยืนอยู่ตรงนั้น และข้างกายของนางก็มีชายวัยกลางคนหลายคนยืนอยู่ ดูท่าทางแล้ว น่าจะเป็นลูกศิษย์คนอื่นๆ ของซานหยางจื่อ
นึกถึงเรื่องที่ซานหยางจื่อมอบหมายให้ท่านแม่ของเธอเมื่อคืน เธอลอบสงสัยในใจ เป็นยาทิพย์ชั้นดีชนิดใดกันแน่? หากสำคัญจริงๆ เหตุใดซานหยางจื่อจึงไม่เข้าไปเด็ดในดินแดนลับด้วยตนเอง?
“กลุ่มละสิบคน พวกเจ้ารีบจับกลุ่มกันเองให้เร็ว!”
………………………………….
ตอนที่ 1416 รังเกียจ
สิ้นเสียงนั้น ศิษย์นับร้อยรอบตัวรีบตามหาสมาชิกร่วมกลุ่มกันจ้าละหวั่น สิบคนหนึ่งกลุ่ม สมาชิกแต่ละคนล้วนสำคัญมาก หากมีพลังแข็งแกร่งหน่อย ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะเจออันตรายอะไรในดินแดนลับ
เฟิ่งจิ่วเดินตามเฉินเต้า สายตากลับจับจ้องไปที่เงาร่างสีขาวที่ยืนอยู่ด้านหน้าฝูงชน นึกในใจ หากนางต้องไปตามหายาทิพย์ชั้นดีอะไรนั่น เช่นนั้นเมื่อเข้าไปในดินแดนลับแล้วนางต้องเคลื่อนไหวตามลำพังหรือไม่?
“อืม พวกเราสามคนอยู่กลุ่มเดียวกันเถิด! แล้วค่อยหาคนอื่นมาอยู่ด้วย” ลั่วเหิงเดินมาหยุดข้างกายพวกเขาแล้วเสนอ พลางจ้องมองคนรอบกาย เมื่อเห็นคนรู้จัก ก็หัวเราะเสียงดัง “ศิษย์พี่หลิว ท่านยังไม่มีกลุ่มกระมัง? ไม่สู้มาอยู่รวมกลุ่มกับเราเป็นอย่างไร?”
ชายแซ่หลิวผู้นั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังขั้นสูงสุด ยามนี้ได้ยินลั่วเหิงตะโกนเรียก มองเฉินเต้ากับเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง แล้วตอบว่า “ไม่ล่ะ ข้าอยู่กลุ่มอื่นแล้ว” พูดจบ ก็หมุนตัวเดินจากไป
เห็นเช่นนั้น ลั่วเหิงชะงักเล็กน้อย เมื่อเห็นคนรู้จักอีกคนก็ตะโกนเรียกอีกครั้ง “ศิษย์พี่เจียง มาอยู่รวมกลุ่มกับพวกเราเถิด!”
“ไม่ล่ะ ศิษย์พี่หลินที่อยู่ทางนั้นเชิญข้าเข้าร่วมกลุ่มแล้ว” คนผู้นั้นตอบ ไม่สนใจพวกลั่วเหิงแม้แต่น้อย
ลั่วเหิงตะโกนเรียกอีกหลายครั้งอย่างไม่ยอมแพ้ ถึงขั้นเข้าไปดึงแขนคน ทว่าคนพวกนั้นหลังจากมองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง ก็พากันส่ายหน้าปฏิเสธ ไม่ยอมร่วมกลุ่มกับพวกเขาทั้งสามคน
“น่าแปลก คนพวกนี้เป็นอะไรกันไปหมด? ร้ายดีอย่างไรข้าก็เป็นผู้มีพลังระดับหลอมแก่นพลังเชียวนะ เหตุใดจึงมองข้ามข้าเช่นนี้?” ลั่วเหิงพูดด้วยความโมโห พลางเดินไปหาเฟิ่งจิ่วกับเฉินเต้า
เฟิ่งจิ่วหัวเราะแห้งๆ แล้วพูดด้วยความรู้สึกผิด “ศิษย์พี่ลั่ว ล้วนโทษข้า เพราะพวกท่านอยู่กลุ่มเดียวกับข้า พวกเขาคิดว่าข้าพลังอ่อนแอ จึงไม่อยากอยู่กลุ่มเดียวกับพวกเรา ข้าทำให้พวกท่านต้องลำบากไปด้วย ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ขอรับ”
เห็นเฟิ่งจิ่วขอโทษขอโพย ลั่วเหิงกลับไม่รู้จะตำหนิอย่างไร เมื่อเห็นผู้คนรอบกายมองข้ามพวกเขา เขาก็อดร้อนใจไม่ได้ ถ้าหากจับกลุ่มสิบคนไม่ได้ เช่นนั้นก็ทำได้เพียงรอพวกเศษเหลือที่ไม่มีใครเชิญเข้ากลุ่มมารวมกลุ่มด้วยน่ะสิ
“ไม่เห็นจะเป็นเรื่องใหญ่? ไม่มีใครอยู่กลุ่มเดียวกับเรา พวกเราอยู่กันสามคนก็ได้ เข้าไปในนั้นแล้วจะได้ไม่ยุ่งยากเพราะความเห็นไม่ตรงกันอีก” เฉินเต้าพูดอย่างไม่แยแส เขายกมือลูบหนวดเลขแปด กวาดมองรอบตัว จากนั้นก็พูดกับเฟิ่งจิ่วว่า “เฟิ่งจิ่วเอ๋ย เจ้ารู้จักอาจารย์อาซั่งกวนหรือ? เจ้าดูสิ นางกำลังมองเจ้าอยู่ล่ะ!”
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วหันไปมองข้างหน้า แล้วก็เห็นท่านแม่ของเธอคล้ายสังเกตเห็นเธอท่ามกลางฝูงชน และกำลังเดินมาหา เห็นเช่นนั้น เธอคลี่ยิ้ม ยกมือโบกมือให้นาง
ซั่งกวนหวั่นหรงมองดูเงาร่างเล็กผอมใส่ชุดสีเขียวท่ามกลางฝูงชน สายตาไหวระริกเล็กน้อย บังเอิญเหลือบมองโดยไม่ตั้งใจ แล้วเห็นว่าเป็นศิษย์ชั้นล่างที่ชื่อเฟิ่งจิ่ว ขณะที่นางกำลังขมวดคิ้วมองเด็กหนุ่ม และคิดว่าเขามาทำอะไรที่นี่ ก็เห็นเด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกว้าง รอยยิ้มเบิกบานและยินดีนั่น ทั้งบริสุทธิ์และเป็นธรรมชาติ เบ่งบานอยู่บนใบหน้าละเอียดอ่อนของเด็กหนุ่ม ดูจนหัวใจนางสั่นไหว
วันนั้นยังบอกอยู่ ว่าเขาเป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐานไม่มีทางเข้าดินแดนลับได้ นึกไม่ถึงว่าวันนี้จะได้เจอเขาที่นี่ แต่เขาที่เป็นเพียงผู้ฝึกตนระดับสร้างรากฐาน เรียกได้ว่าพลังอ่อนด้อยที่สุดแล้วท่ามกลางคนหลายร้อยคน เขาไม่กลัวหรือ? ไม่กลัวว่าเข้าไปในดินแดนลับแล้วจะเจออันตราย?
เมื่อรู้ตัวว่าตนเองอดเป็นห่วงความปลอดภัยของเด็กหนุ่มคนนั้นไม่ได้ นางก็นึกประหลาดใจขึ้นมา มองเด็กหนุ่มคนนั้นแวบหนึ่งจากนั้นก็ละสายตาออกไป
………………………………….