เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 149 สำนักพิษโอสถถูกวางเพลิง! +
ตอนที่ 149 สำนักพิษโอสถถูกวางเพลิง! + ตอนที่ 150 อาจารย์ผู้เก่งกาจ!
Ink Stone_Romance
ตอนที่ 149 สำนักพิษโอสถถูกวางเพลิง!
ได้ยินคำพูดนี้ ซูรั่วอวิ๋นเหมือนร่างกายอยู่ในโรงน้ำแข็ง เย็นเยียบไปทั่วร่าง ฝีเท้านางซวนเซถอยไปไม่กี่ก้าว ยากเกินจะยอมรับว่าข่าวเช่นนี้เป็นเรื่องจริง
“ไม่ นี่เป็นไปไม่ได้ เป็นไปไม่ได้…”
ชายวัยกลางคนผู้นั้นถอนหายใจ ปัดลงบนไหล่ที่ถูกบีบเสียจนเจ็บ กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์นัก “อะไรที่เป็นไปไม่ได้? เมื่อเช้านี้ข้าไปดูมาแล้ว ทั้งยอดเขาล้วนเผาไหม้ ไม่มีเหลือรอดเลยสักคน”
“จริงด้วย ข่าวเพิ่งแพร่ออกไปเมื่อเช้านี้เอง หลายตระกูลในเมืองต่างส่งคนเข้าไปดู แต่คล้ายว่าตอนนี้จะยังบอกไม่ได้ว่ากองกำลังใดเป็นคนวางเพลิงกันแน่”
“เป็นไปไม่ได้! ข้าไม่เชื่อหรอก!”
ซูรั่วอวิ๋นตะโกนลั่น แววตาเย็นเยียบกวาดมองคนเหล่านั้นแวบหนึ่ง แล้วก้าวยาววิ่งออกไปทันที
ต้องลองไปดู! ต้องลองไปดูให้ได้! นางไม่เชื่อแน่ว่าที่ทุ่มเทกำลังมาหลายปีจะมอดไหม้หมดสิ้นเช่นนี้!
“ผู้หญิงคนนั้นบ้าไปแล้วรึ? คนในสำนักพิษโอสถก็ไม่ได้มีอะไรดี ตายซะได้ก็ดี นางกำลังกระวนกระวายอะไรกัน?”
“ไม่ต้องไปสนใจหรอก แค่หญิงบ้าคนหนึ่ง บีบไหล่ข้าเจ็บแทบตายเลย”
ชายวัยกลางคนลูบๆ ไหล่พลางพูด ก่อนจะเอ่ยอีกว่า “แต่ที่สามารถทำลายกองกำลังหนึ่งลงได้ในชั่วข้ามคืน นี่ก็น่าเหลือเชื่อเกิน พวกเจ้าว่า เรื่องนี้ภูตหมอจะเป็นคนทำหรือไม่?” เมื่อพูดถึงครึ่งประโยคหลัง น้ำเสียงเขามีความระแวดระวังอยู่บ้าง และกดเสียงเบาลงอย่างชัดเจน
“เจ้าพูดเช่นนี้ได้อย่างไร? ภูตหมอจะทำลายสำนักพิษโอสถโดยไม่มีเหตุผลได้เช่นไรเล่า?”
“หมอยาพิษถือเป็นศัตรูไม่ใช่หรือ? ทำลายสำนักพิษโอสถจะแปลกอะไรนัก? อีกอย่าง เจ้าว่าหากไม่ใช่ฝีมือภูตหมอแล้วใครเล่าจะกล้าทำเช่นนี้? ก็ภูตหมอนั่นมีฝีมือพอจะทำลายหนึ่งตระกูลหรือหนึ่งกองกำลังได้ภายในคืนเดียวไม่ใช่รึ?”
ได้ยินคำพูดนี้ น้ำเสียงคนอื่นๆ ที่เหลือก็ลดเบาลงมาบ้าง “เจ้าหมายความว่าที่ตระกูลสวี่ถูกฆ่าล้างเป็นฝีมือภูตหมอ ทำลายสำนักพิษโอสถก็เป็นฝีมือภูตหมอด้วยรึ? ข้าบอกกับเจ้าแล้วไง เรื่องนี้อย่าพูดซี้ซั้วนักจะดีที่สุด ระวังปากจะพาภัย สุดท้านแล้วก็ไม่มีใครรู้เห็นไม่ใช่หรือ?”
หลังจากได้ยินคำพูดว่าปากจะพาภัย พวกเขามองหน้ากันแวบหนึ่ง และไม่เอ่ยถึงเรื่องนี้อีก แต่หลังจากดื่มชาไม่กี่ถ้วยก็กลับบ้านของแต่ละคน
เมื่อซูรั่วอวิ๋นมาถึงยอดเขาที่ไฟไหม้กลายเป็นเถ้าถ่าน คนพวกนั้นที่เข้ามาดูกันคึกคักต่างแยกย้าย มองยอดเขาที่โล่งเตียนด้วยสองตาแดงก่ำ กระอักเลือดออกมาอย่างโมโหแทบขาดใจ แล้วทั้งร่างก็ทรุดนั่งลงไป
“เป็นไปได้ยังไง… เป็นไปได้ยังไง…”
นางพึมพำเสียงเบา ร่างกายราวกับสูญสิ้นวิญญาณ นี่เป็นสถานที่ที่นางทุ่มเทกำลังทั้งหมด เป็นกองกำลังที่นางวางแผนจะขยายตัว ทว่าตอนนี้ กลับถูกทำลายเพียงชั่วข้ามคืน…
เลือดลมที่หมุนตลบทำให้หัวใจคับแน่นเจ็บปวด นางนั่งอยู่บนพื้นนานนักถึงจะยืนขึ้นมา สองดวงตาที่เหม่อลอยมีประกายดำมืดชั่วร้ายขึ้นมาอีกครั้ง สองมือกำหมัดแน่น
“ข้าจะไม่ปล่อยพวกเจ้าไปแน่! ไม่มีทางแน่นอน!”
ขบกัดฟันแน่น นางหมุนตัวจากไปอย่างเด็ดขาด ไม่มีสำนักพิษโอสถแล้ว งั้นนางจะยึดครองกององครักษ์ตระกูลเฟิ่งมา! กำลังพลองครักษ์ตระกูลเฟิ่งเป็นกำลังหลักของจวน และเป็นกองกำลังหนึ่งที่แม้แต่เจ้าแคว้นแสงสุริยันยังต้องเกรงกลัว!
ขอแค่ยึดกององครักษ์ตระกูลเฟิ่งกลายเป็นผู้นำตระกูล ไม่ต้องพูดถึงสองพี่น้องคู่นั้น ต่อให้อยากทำลายตระกูลระดับกลางสักตระกูลก็แค่ออกคำสั่ง!
เดิมทีคิดจะรอเวลาอีกสักพัก อันที่จริงเฟิ่งชิงเกอคนก่อนก็คลุกคลีกับกององครักษ์น้อยนัก ที่พวกนางพบปะด้วยเป็นแค่องครักษ์นายสองนายที่ถูกส่งมาอารักขา ส่วนคนอื่นๆ แม้แต่หน้าก็ยังไม่เคยเจอมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว
แต่ตอนนี้ นางต้องกลายเป็นผู้นำตระกูลเฟิ่ง! และต้องได้กองกำลังนั้นมาให้จงได้!
……………………………
ตอนที่ 150 อาจารย์ผู้เก่งกาจ!
สองวันต่อมา
เฟิ่งจิ่วประคองท่านผู้เฒ่าเดินอยู่ในสวน พลางเอ่ยถาม “ท่านปู่ ท่านรู้สึกว่าร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง? ไม่สบายบ้างหรือไม่เจ้าคะ?”
“เหอะๆ ดีขึ้นแล้ว หากยอมให้ปู่ดื่มเหล้าสักหน่อย เดาว่าหลานไม่ต้องพยุง ปู่คงเดินได้คล่องเหมือนบินเลย” ท่านผู้เฒ่าหรี่ตายิ้ม หลังจากรักษาตัวอยู่ที่นี่สองวันพละกำลังก็กลับมา
แต่ว่า ไม่ได้ดื่มเหล้าหลายวัน พอร่างกายฟื้นฟู ก็อยากดื่มอยู่นิดหน่อยจริงๆ
“ตอนนี้ยังไม่ได้เจ้าค่ะ รอผ่านไปอีกสองสามวันท่านจะดื่มเท่าไหร่ค่อยดื่มนะเจ้าคะ” เธอประคองเขามานั่งที่ข้างโต๊ะหินในสวน ก่อนจะรินน้ำให้
“แม่หนูเฟิ่ง พวกเราจะกลับบ้านเมื่อไหร่รึ? พักอยู่ด้านนอกนี้ไปก็ทำอะไรไม่ได้ ซ้ำยังไม่ได้จัดการเจ้าซูรั่วอวิ๋นในบ้านนั่น พ่อผู้ฟั่นเฟือนของหลานยังถูกหลอกปั่นหัวโดยไม่รู้ตัวอีก!”
เขาพูดพลางส่ายหน้า ถอนหายใจอีกครา กล่าวว่า “พูดถึงพ่อหลานก็น่าสงสารนัก ที่ไม่รู้เรื่องอะไรเลย”
เธอบอกเรื่องที่ผ่านมาในไม่กี่วันนี้แก่เขา โชคดีที่เธอยังรอดชีวิต โชคดีที่ได้พบกันบนถนน และยังจำเธอได้ แต่ยังไงก็นึกไม่ถึง ว่าหญิงสาวใจมารในจวนนั่นจะเป็นซูรั่วอวิ๋นที่ติดตามอยู่ข้างกายแม่หนูเฟิ่งอย่างเชื่อฟังเสมอมา ซ้ำยังสนิทสนมดั่งพี่น้อง
ใจคนยากแท้หยั่งถึง ช่างรู้หน้าไม่รู้ใจเสียจริง!
“ร่างกายท่านปู่ดีขึ้นบ้างแล้ว พวกเราจะกลับไปเวลาไหนก็ได้เจ้าค่ะ” เธอยิ้มเบาๆ คิดว่าถึงเวลากลับบ้านตระกูลเฟิ่งแล้ว
ท่านผู้เฒ่าได้ยินก็ดีใจอย่างมาก จึงตบมือนางพลางพูดติดกันสามครั้งว่า “ดีๆๆ”
“เสี่ยวจิ่ว”
กวนสีหลิ่นเร่งฝีเท้าเดินเข้ามาจากด้านนอก ท่าทางลนลาน เมื่อเห็นท่านผู้เฒ่าจึงขานเรียก “ท่านปู่”
เพราะความสัมพันธ์กับเฟิ่งจิ่ว หลังจากท่านผู้เฒ่ารู้เรื่องที่ขอถอนตัวจากตระกูล จึงให้เขาเรียกตนว่าท่านปู่ บอกว่าถึงเวลากลับจวน จะให้คารวะเฟิ่งเซียวเป็นพ่อบุญธรรม
เห็นท่าทางร้อนใจมีความเป็นกังวล เฟิ่งจิ่วจึงเอ่ยปากถาม “พี่ชาย เกิดอะไรขึ้นรึ?”
“ท่านปู่ เสี่ยวจิ่ว พวกท่านรีบกลับบ้านเถิด ตระกูลเฟิ่งเกิดเรื่องแล้วขอรับ!”
พอท่านผู้เฒ่าฟัง ก็รีบร้อนถามว่า “เกิดเรื่องอะไรรึ?”
“ข้าเพิ่งกลับมาจากด้านนอก ได้ยินว่าพ่อบุญธรรมล้มป่วยเพราะกังวลที่ท่านปู่หายตัวไป เหมือนต้องยกกององครักษ์ตระกูลเฟิ่งให้ซูรั่วอวิ๋นมาดูแล ทำให้นางตามหาที่อยู่ท่านได้เต็มกำลัง คนจากหลายตระกูลในเมืองต่างถูกเชิญตัวไป เพื่อพิธีประกาศตัวเที่ยงวันนี้ บอกทุกคนว่า ลูกสาวเขาจะเป็นนายหญิงของกององครักษ์ตระกูลเฟิ่ง แต่ปัญหาคือพ่อบุญธรรมรู้ว่าเฟิ่งชิงเกอในจวนเป็นตัวปลอม! หากยกกององครักษ์ให้นาง จะเป็นปัญหาใหญ่นะขอรับ!”
แม้เขาไม่ใช่คนตระกูลเฟิ่ง แต่ก็รู้ว่ากำลังกององครักษ์ตระกูลเฟิ่งแม้แต่เชื้อพระวงศ์ยังต้องยำเกรง กองกำลังเช่นนี้ หากหญิงอสรพิษนั่นได้ไป จะปล่อยไปได้รึ?
“เจ้าซูรั่วอวิ๋นนี่! ก็แค่หมาป่าขี้ขลาด!”
ท่านผู้เฒ่าด่ากราดอย่างโกรธจัด “สุขภาพพ่อหลานมักจะแข็งแรงอย่างกับวัว พอปู่หายไปจะร้อนใจจนล้มป่วยได้อย่างไรเล่า? เป็นเพราะหมาป่าตาขาวนั่นใช้ยาพิษทำร้ายแน่ๆ!”
เฟิ่งจิ่วฟังคำพูดนี้ก็กระตุกมุมปากอย่างอดไม่ได้ แข็งแรงราวกับวัวรึ? ท่านปู่เปรียบเทียบได้เหมาะเสียจริงเชียว
“แต่ท่านปู่ ทำไมกององครักษ์ตระกูลเราแม้แต่เชื้อพระวงศ์ยังต้องยำเกรง? คืนนั้นที่หลานไปพาท่านออกมา รู้สึกว่ากำลังองครักษ์พวกนั้นที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก็ไม่เท่าไหร่เลยนะเจ้าคะ!”
“นั่นเป็นเพราะ หลานยังไม่เคยพบอาจารย์ผู้เก่งกาจในหมู่องครักษ์ของเราน่ะสิ”
ท่านผู้เฒ่ายืนขึ้นมา มือหนึ่งไพล่หลังไว้ อีกมือก็ลูบเครา “กององครักษ์ตระกูลเฟิ่งเราแบ่งแยกกันตามระดับ กองของอาจารย์ผู้เก่งกาจนั้นสิ ถึงจะเป็นไพ่ตายของตระกูลเฟิ่ง”
……………………………