เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1671 น้ำตาที่ไร้เสียง ตอนที่ 1672 เป็นคนของตระกูลเฟิ่งตลอดไป
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 1671 น้ำตาที่ไร้เสียง ตอนที่ 1672 เป็นคนของตระกูลเฟิ่งตลอดไป
ตอนที่ 1671 น้ำตาที่ไร้เสียง / ตอนที่ 1672 เป็นคนของตระกูลเฟิ่งตลอดไป
ตอนที่ 1671 น้ำตาที่ไร้เสียง
เด็กตัวน้อยๆ ที่ฝึกวรยุทธ์ตามเขาอยู่ข้างหลัง ไม่เคยกลัวความลำบาก ยามถูกคนอื่นล้อเลียนว่าไม่มีแม่ ก็วิ่งกลับมาถามเขาว่า แม่ของนางเล่า?
เมื่อค่อยๆ เติบโต กลายเป็นหญิงสาว นางแอบกระซิบบอกเขาว่านางชอบมู่หรงอี้เซวียน อนาคตนางจะแต่งงานกับเขา และเป็นเจ้าสาวของเขา จากนั้น…
ภาพในอดีตมากมายผุดขึ้นมาในสมอง ราวกับเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน ชัดเจน ลึกซึ้ง และสะเทือนใจเขาถึงเพียงนั้น
ลูกสาวของเขา ชิงเกอของเขา คงตายเพราะแผนชั่วของซูรั่วอวิ๋นกระมัง ส่วนลูกสาวที่กลับมาอีกครั้ง ทั้งแข็งแกร่งพึ่งพาตนเองได้ มั่นใจผึ่งผาย บางเวลาเย็นชาเย่อหยิ่ง บางเวลาซุกซนเจ้าเล่ห์ บางเวลาก็น่ารักไร้เดียงสา บางเวลาก็ฉลาดเยือกเย็น
สิ่งเหล่านี้ล้วนเป็นสิ่งที่ชิงเกอไม่เคยมี ความเปลี่ยนแปลงหลังจากนางกลับมา พวกเขาไม่ใช่ไม่รู้สึก เพียงแต่พวกเขาไม่เคยสงสัย เพราะอย่างไรนั่นก็เป็นลูกสาวของเขา
ไม่ใช่เพียงรูปร่างหน้าตาที่ใช่ แม้แต่ความรู้สึกก็ใช่ ความสัมพันธ์ทางสายเลือดของครอบครัวเช่นนั้นทำให้พวกเขาไม่เคยสงสัย และไม่เคยคิดจะสงสัย แต่จู่ๆ วันหนึ่งมีคนบอกเขาว่าลูกสาวของเขาตายไปแล้ว ส่วนลูกสาวในตอนนี้ไม่ใช่ลูกสาวคนเดิมของเขาอีกต่อไปแล้ว
ความรู้สึกเช่นนี้ จะมีใครเข้าใจบ้าง?
ทว่า เสี่ยวจิ่วไม่ใช่ซูรั่วอวิ๋น ซูรั่วอวิ๋นแปลงโฉมเป็นลูกสาวของเขา เพราะต้องการผลประโยชน์จากตระกูลเฟิ่งของพวกเขา เพื่อต้องการครอบครองทุกสิ่งทุกอย่างของพวกเขา เพื่อหลอกใช้พวกเขา ซูรั่วอวิ๋นไม่เคยเห็นพวกเขาเป็นครอบครัวที่แท้จริง
แต่เสี่ยวจิ่วไม่ใช่ เขารู้เรื่องนี้ดีไม่ใช่หรือ?
หลายปีมานี้ นางปฏิบัติต่อคนในครอบครัวอย่างไร เขาเห็นมันเต็มตา และรู้สึกได้อย่างชัดเจน นางเห็นพวกเขาเป็นเหมือนพ่อแม่ที่แท้จริง ปู่ที่แท้จริง เห็นพวกเขาเป็นเหมือนครอบครัวของนาง นางปกป้องพวกเขา ยามตระกูลเฟิ่งมีอันตราย เป็นนางที่ก้าวออกมาปกป้องตระกูลเฟิ่ง
เป็นนางที่แบกรับทุกอย่างไว้เพียงลำพัง เป็นนางที่ปัดป้องอันตรายออกไปเพื่อพวกเขา เป็นนางที่สร้างราชวงศ์เฟิ่งหวงขึ้นมา แม้กระทั่งตอนนี้ที่พวกเขาสามีภรรยาได้อยู่พร้อมหน้ากัน ก็เป็นเพราะนางเหมือนกัน
เพราะนางจากราชวงศ์เฟิ่งหวงไป และมุ่งหน้าไปยังแปดจักรวรรดิใหญ่ที่มีผู้แข็งแกร่งพลุกพล่านดุจต้นไม้ในป่าเพียงลำพัง เป็นนางที่เผชิญหน้ากับอันตรายมากมาย ช่วยหวั่นหรงออกมาจากเงื้อมมือของซานหยางจื่อ
เขามีสิทธิ์อะไรไปตำหนินาง เขามีสิทธิ์อะไรไปว่านางไม่ใช่ลูกสาวของเขา แล้วเขามีสิทธิ์อะไรไปปฏิเสธทุกอย่างที่นางทำเพื่อตระกูลเฟิ่งกัน?
หรือเพียงประโยคเดียวของคนชุดดำคนนั้น เขาก็จะล้มล้างเหตุผลทุกอย่าง แล้วไม่ยอมรับลูกสาวคนนี้งั้นหรือ?
ไม่!
แม้ว่าดวงวิญญาณของนางจะไม่ใช่ลูกสาวของเขานานแล้ว แต่นางก็เป็นลูกสาวคนที่สองที่สวรรค์ส่งมาให้ตระกูลเฟิ่งของพวกเขา สวรรค์ต้องรู้แน่ว่าลูกสาวของเขาไม่อยู่แล้ว จึงได้ส่งเสี่ยวจิ่วมาอยู่กับพวกเขา ให้นางเป็นตัวแทนชิงเกอ คอยทดแทนบุญคุณอยู่ข้างกายพวกเขา ให้นางมาแทนที่ลูกสาวของพวกเขา กลายเป็นลูกสาวของพวกเขา
เฟิ่งจิ่วกับซั่งกวนหวั่นหรงมองหน้ากัน ลอบกังวลใจ เพราะเฟิ่งเซียวเอาแต่นั่งเหม่ออยู่ตรงนั้น มองเฟิ่งจิ่วแล้วน้ำตาไหลเงียบๆ ความเจ็บปวดเช่นนั้น ทำให้หัวใจของพวกเธอหนักอึ้ง
“ท่านพ่อ? ท่านเป็นอะไรเจ้าคะ ไม่สบายตรงไหนหรือ?” เฟิ่งจิ่วถามเสียงเบา ในแววตา ในน้ำเสียง ล้วนสะท้อนแววเป็นห่วงอย่างปิดไม่มิด
“สามีข้า? ท่านเป็นอะไรไป”
ซั่งกวนหวั่นหรงเองก็ถามด้วยความเป็นห่วง นางเข้าไปกุมมือเขา แล้วเขย่าเขาเบาๆ เพื่อดึงสติของเขากลับมา “สามีข้า? ท่านเป็นอะไรไป? ท่านพูดสิ! อย่าทำให้ข้าตกใจ” นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? เหตุใดจู่ๆ เขาก็เป็นเช่นนี้?
………………………………….
ตอนที่ 1672 เป็นคนของตระกูลเฟิ่งตลอดไป
เฟิ่งเซียวสงบสติอารมณ์ มองลูกสาวที่อยู่ตรงหน้าผ่านม่านน้ำตา พลันดึงเธอเข้ามากอดแล้วพูดเสียงสะอื้นว่า “เสี่ยวจิ่ว ขอโทษนะ พ่อไม่ดีเอง ขอโทษนะ ชิงเกอ พ่อขอโทษนะลูก ขอโทษ…”
เขาพึมพำซ้ำไปซ้ำมา เขากำลังขอโทษเฟิ่งจิ่ว เพราะเขาหวั่นไหวไปชั่วขณะ ความสงสัยเพียงชั่ววูบที่ไม่ควรมีนั่น เธอทำเพื่อพวกเขามากมายขนาดนี้ เธอทุ่มเทความจริงใจมากมายขนาดนั้น แต่เขา กลับสงสัยเธอขึ้นมาชั่ววูบหนึ่ง กระทั่งเกิดความหวั่นชั่วขณะ
เขาขอโทษเธอ แล้วก็ขอโทษชิงเกอลูกสาวของเขาด้วย เพราะจนถึงตอนนี้ เขาเพิ่งมารู้ว่าลูกสาวของเขาตายไปนานแล้ว เขาปล่อยให้นางจากไปอย่างโดดเดี่ยว เป็นเพราะเขาที่เป็นพ่อไม่ได้ปกป้องนางให้ดี ทำให้นางต้องมาตายทั้งที่ยังเด็กอย่างนี้
เพราะพ่ออย่างเขาไม่ได้ทำหน้าที่ให้ดี ไม่ได้ปกป้องนางให้ดี ล้วนเป็นความผิดเขา เป็นความผิดเขา…
เฟิ่งจิ่วชะงัก รู้สึกสงสัยระคนเป็นห่วง ท่านพ่อเป็นอะไรกันแน่? เขาเคยบอกว่าลูกผู้ชายเลือดไหลน้ำตาไม่ไหล ชายชาตรีอกสามศอกเช่นเขา ไม่เคยร้องไห้ง่ายๆ เหตุใดตอนนี้ถึงได้ร้องไห้อย่างเจ็บปวดและโทษตนเองเช่นนี้?
เกิดอะไรขึ้นกันแน่?
“ท่านพ่อ เกิดอะไรขึ้นใช่หรือไม่เจ้าคะ? ท่านบอกข้า ข้าจะคิดหาทางแก้” เธอบอกเสียงเบา พลางตบหลังเขาเบาๆ
ซั่งกวนหวั่นหรงที่อยู่ข้างๆ ก็อึ้งงัน เห็นเฟิ่งเซียวร้องไห้อย่างเจ็บปวดถึงเพียงนั้น นางก็อดขอบตาร้อนผ่าวไม่ได้ ในใจร้อนรน ต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ ไม่เช่นนั้นเขาจะร้องไห้ถึงขนาดนี้หรือ?
ผ่านไปครู่หนึ่ง เฟิ่งเซียวถึงสงบลง อารมณ์ค่อยๆ กลับมาเป็นปกติ เขาเช็ดน้ำตาแล้วส่ายหน้า “ข้าคุมอารมณ์ตนเองไม่อยู่เอง ไม่มีอะไร พวกเจ้าไม่ต้องห่วง”
เขาตัดสินใจแล้ว เรื่องนี้เขาจะไม่บอกใครทั้งนั้น เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน! มีเขาเสียใจกับการจากไปของชิงเกอคนเดียวก็พอแล้ว ไม่ต้องให้หวั่นหรงรู้เรื่องจะดีกว่า
เห็นเขาไม่พูด เฟิ่งจิ่วเองก็ไม่ซักไซ้ เพียงบอกว่า “ท่านพ่อ ยาใกล้เย็นแล้ว ดื่มก่อนเถิดเจ้าค่ะ!”
“ได้” เขาสงบใจ แล้วฝังเรื่องนั้นไว้ในใจ มองเธอด้วยสายตาลึกซึ้ง แล้วรับถ้วยยาไปจากมือนาง ก่อนจะดื่มยานั้นหมดในรวดเดียว
เฟิ่งจิ่วสัมผัสได้ทันที แววตาที่ท่านพ่อของเธอมองเธอดูแปลกไป คล้ายสับสน แล้วก็คล้ายทอดถอนใจ สุดท้ายก็ปลงตก ทำให้เธอรู้สึกสงสัยนัก
เมื่อคืนท่านพ่อไปเจอเรื่องใดมากันแน่? เหตุใดฟื้นขึ้นมาแล้วจึงแปลกๆ อย่างนี้?
“ท่านพ่อ เหตุใดท่านมองข้าเช่นนี้? ท่านมีอะไรจะพูดกับข้าหรือเจ้าคะ?” เธออดถามไม่ได้
เฟิ่งเซียวมองเธอ พยักหน้า แล้วยื่นถ้วยยาให้ซั่งกวนหวั่นหรงที่อยู่ข้างๆ จากนั้นก็หันมาพูดกับเฟิ่งจิ่วว่า “เสี่ยวจิ่ว เจ้าต้องจำไว้นะว่าเจ้าเป็นลูกสาวของพ่อ เจ้าเป็นคนของตระกูลเฟิ่ง ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นเจ้าก็เป็นคนของตระกูลเฟิ่ง เป็นลูกสาวของพ่อ พ่อหวังว่าเจ้าจะมีความสุข เบิกบานใจ นี่ไม่ใช่เพียงความหวังของพ่อกับแม่เท่านั้น แต่เป็นความหวังของท่านปู่เจ้าด้วย”
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วรู้สึกอบอุ่นหัวใจ แม้จะไม่รู้ว่าเหตุใดจู่ๆ เขาถึงพูดอย่างนี้กับเธอ แต่เธอก็ยังยิ้มอย่างมีความสุข พยักหน้ารับ “ข้ารู้แล้วเจ้าค่ะท่านพ่อ”
เธอรู้มาตลอดว่าคนในครอบครัวดีกับเธอมาก รู้มาตลอด ฉะนั้น พอรู้ว่าพวกท่านปู่สิ้นใจอยู่ท่ามกลางทะเลเพลิง หัวใจของเธอถึงได้ทุกข์ทรมานขนาดนั้น
เวลานี้ กวนสีหลิ่นที่อยู่ข้างนอกเห็นประตูเปิดอยู่ จึงเดินเข้ามา พลางถามว่า “เสี่ยวจิ่ว? พ่อบุญธรรมฟื้นหรือยัง ร่างกายเป็นอย่างไรบ้าง ไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงกระมัง?”
………………………………….