เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1689 จั๊กจั่นลอกคราบ ตอนที่ 1690 แผนการ
ตอนที่ 1689 จั๊กจั่นลอกคราบ / ตอนที่ 1690 แผนการ
ตอนที่ 1689 จั๊กจั่นลอกคราบ
หลังจากหานหรงจากไปไม่นาน ชายชุดดำอีกคนก็เข้ามา ยื่นจดหมายที่ส่งกลับมาให้เขา ครั้นคนข้างในอ่านสารในจดหมาย ก็แค่นเสียงขึ้นจมูก
“เฟิ่งเซียวเก็บเรื่องนี้ไว้เองงั้นหรือ? ช่างเหนือความคาดหมายจริงๆ!”
เขาขยำกระดาษในมือ ไม่นานก้อนกระดาษก็กลายเป็นผุยผงหายไปกลางฝ่ามือ “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ งั้นก็ช่วยสงเคราะห์พวกเขาสักหน่อยก็แล้วกัน! กำจัดศัตรูอย่าให้เหลือซาก ข้ากลับอยากรู้นัก เฟิ่งจิ่วคนนี้จะใช่เฟิ่งซิงหรือไม่!”
ทว่าเรื่องราวมักเหนือความคาดหมายเสมอ หนึ่งเดือนต่อมา คนทางนี้ก็ได้รับข่าวสารอีกครั้ง
“นายท่าน คืนหนึ่งในหนึ่งเดือนก่อน มีกลุ่มอำนาจหนึ่งโจมตีราชวงศ์เฟิ่งหวง สังหารพวกเขายกตระกูลในชั่วข้ามคืน แม้แต่ราชวังก็กลายเป็นผุยผง ไม่มีใครรอดชีวิตสักคนขอรับ”
“คนตระกูลเฟิ่งตายหมดแล้วงั้นหรือ?” นายท่านผู้นั้นถามด้วยความประหลาดใจ “ไม่ใช่คนของเราลงมือ? แล้วจะเป็นใครกัน?”
“ไม่เห็นใครรอดชีวิตออกมาได้ จากที่คนของเรารายงานมา ตอนนั้นราชวังถูกร่ายเขตอาคมไว้ คนข้างในหนีออกมาไม่ได้ อีกอย่างก็ไม่ใช่คนของเราด้วยขอรับ” ชายชุดดำรายงาน
“เฟิ่งจิ่วก็ตายแล้วหรือ? เห็นศพหรือไม่? หงส์ไฟสัตว์เทวะโบราณของนางเล่า?” คนผู้นั้นถามอีก รู้สึกว่าเรื่องนี้ไม่ชอบมาพากล เหตุใดจึงตายง่ายดายเช่นนี้?
“ในคืนนั้นมีคนเห็นหงส์ไฟสัตว์เทวะโบราณออกมาสู้รบ เพียงแต่สุดท้ายถูกธนูยิง ร่างท่วมไฟ ตกลงไปในกองเพลิงและหายไปอย่างไร้ร่องรอย” ชายชุดดำบอก หยุดพูดไปครู่หนึ่ง แล้วรายงานต่อว่า “ทั้งหมดนี้คนของเราเห็นมากับตา น่าจะไม่ผิดแล้วขอรับ แต่มีเรื่องหนึ่งที่น่าแปลก”
“อ้อ? เรื่องใดหรือ?”
“ก่อนหน้าเหตุการณ์นี้ เฟิ่งเซียวเคยมีราชโองการ องครักษ์ประจำตระกูลเฟิ่งล้มตายไปมาก แล้วบอกว่าพวกเขาได้มีเรื่องบาดหมางกับศัตรูแข็งแกร่งจนไม่อาจปกป้องราชวงศ์ไว้ได้ ในวันที่ประกาศราชโองการก็ได้ล้มล้างราชวงศ์ ภายหน้าให้มีเพียงตระกูลใหญ่และกลุ่มอำนาจต่างๆ เท่านั้น ไม่มีการปกครองระบอบกษัตริย์อีกต่อไป”
ได้ยินอย่างนั้น นายท่านผู้อยู่เบื้องหลังเงียบงัน นิ้วมือเคาะบนโต๊ะ เกิดเป็นเสียงกึกๆ เนิ่นนาน จึงค่อยเอ่ยว่า “น่าสนใจ คิดจะทิ้งก็ทิ้ง ช่างทำใจทิ้งทุกอย่างที่สู้อุตส่าห์สร้างมาอย่างยากลำบากได้อย่างง่ายดาย เพียงแต่ คนตระกูลเฟิ่งตายแล้วจริงหรือ? หากไม่เห็นศพ ข้ากลับไม่เชื่อ”
“นายท่านสงสัยว่าพวกเขาใช้กลยุทธ์จักจั่นลอกคราบหรือขอรับ?” ชายชุดดำถาม
“หรือไม่ใช่?”
ชายชุดดำเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วบอกว่า “คืนนั้นได้ยินเสียงร้องโหยหวนดังมาจากข้างใน หนำซ้ำเปลวเพลิงก็แผดเผาทุกอย่างจนมอดไหม้แล้วค่อยดับไป คนพวกนั้น จะมีความสามารถหนีจากสถานการณ์เช่นนั้นได้อย่างไรกันขอรับ?”
“ช่างเถิด ในเมื่อตายแล้วก็ตายแล้ว ช่างพวกเขาว่าจะหนีออกไปได้หรือไม่ เจ้าเพียงส่งข่าวให้หานหรงรู้ก็พอแล้ว เป็นเรื่องจริงหรือเท็จ หานหรงย่อมจะไปตรวจสอบเอง” เขาโบกมือ เป็นเชิงบอกให้ชายชุดดำออกไปได้
“ขอรับ” ชายชุดดำคารวะแล้วถอยออกไปอย่างนอบน้อม
ในจักรวรรดิเซวียนหยวน เซวียนหยวนโม่เจ๋อฟังเริ่นเสียงรายงานสถานการณ์ แล้วถมว่า “แล้วอย่างไรต่อ ตอนนี้พวกเขาอยู่ที่ใด? ทุกอย่างราบรื่นดีหรือไม่?”
เริ่นเสียงยิ้มๆ บอกว่า “นายท่านวางใจ ภูตหมอวางแผนทุกอย่างไว้แล้ว แล้วก็หลบสายตาของคนพวกนั้นไปได้แล้ว ตอนนี้พวกเขาน่าจะไม่อยู่ในอาณาเขตราชวงศ์เฟิ่งหวงแล้ว ภูตหมอบอกว่ารอให้นางพาท่านพ่อกับท่านแม่ของนางไปยังที่ปลอดภัยก่อน แล้วจะให้คนส่งข่าวมาบอกนายท่าน”
ได้ยินอย่างนั้น เซวียนหยวนโม่เจ๋อพยักหน้า พักนี้มีเรื่องราวเกิดขึ้นมากมาย แม้แต่เขาก็ยังนึกไม่ถึงว่าสุดท้ายเธอจะจุดไฟเผาราชวงศ์เฟิ่งหวงเพื่อใช้กลยุทธ์จั๊กจั่นลอกคราบ
………………………………………..
ตอนที่ 1690 แผนการ
แต่เป็นอย่างนี้ก็ดีเหมือนกัน อย่างน้อยก่อนที่จะรู้ตัวศัตรู พวกเขาจะได้ไม่ต้องตกอยู่ในสถานการณ์อันตรายอย่างการที่ศัตรูอยู่ในที่ลับตัวข้าอยู่ในที่แจ้งอีก
“นายท่าน นี่เป็นยาที่ภูตหมอให้ข้าเอากลับมาด้วย นางบอกว่าสามารถรักษาแก่นพลังในที่ถูกทำลายของท่านผู้ครองแคว้นได้ นางยังบอกว่าแม้วรยุทธ์ถูกทำลาย ก็สามารถฝึกฝนได้ใหม่ ยาในนี้ให้ท่านผู้ครองแคว้นกินให้ตรงเวลา เมื่อใดนางมาที่นี่ จะช่วยดูอาการของท่านผู้ครองแคว้นให้ขอรับ”
เริ่นเสียงยื่นยาให้เขา หัวใจอันตึงเครียดผ่อนคลายลงหลังจากที่กลับมาถึงที่นี่ เขารู้อยู่แล้ว ด้วยความสามารถของนายท่าน ขอเพียงเขาขึ้นสั่งการ จะต้องสามารถทำให้จักรวรรดิเซวียนหยวนสงบมั่นคง ศัตรูข้างนอกไม่กล้ากล้ำกรายเข้ามาอย่างแน่นอน
ในอีกด้าน เฟิ่งจิ่วแบ่งคนที่มีอยู่เป็นหลายกลุ่ม และแยกย้ายกันเคลื่อนไหว พวกเธอไม่ได้รั้งอยู่ในราชวงศ์เฟิ่งหวงต่อ แต่กลับเคลื่อนไหวไปยังฐานทัพอีกที่ ซึ่งก็คือหุบเขาที่พวกไป๋เสี่ยวเคยรวมตัวกันอยู่
เธอตั้งใจไว้ว่าจะพาท่านพ่อกับท่านแม่ของเธอไปอยู่ที่นั่น รวมถึงองครักษ์ประจำตระกูลเฟิ่งด้วย ด้านหนึ่งให้พวกเขาฝึกฝนเพิ่มพลัง อีกด้านที่แห่งนั้นก็ปลอดภัยกว่า
“นายท่าน พวกหลัวอวี่ถึงหุบเขาก่อนแล้วขอรับ” ตู้ฝานก้าวเข้ามารายงานเฟิ่งจิ่ว กลุ่มของพวกเขามีคนค่อนข้างนอก นอกจากฮูหยินเฟิ่งเซียว ก็มีแค่เฟิ่งจิ่วนายท่านของพวกเขาและกวนสีหลิ่น รวมถึงพวกเหลิ่งหวาเหลิ่งซวงเท่านั้น
ในรถม้า เฟิ่งจิ่วชะโงกหน้าออกมาดูท้องฟ้า แล้วบอกว่า “ฟ้าเริ่มมืดแล้ว คืนนี้หาที่พักแถวนี้ พรุ่งนี้ค่อยเดินทางต่ออีกวันก็น่าจะถึงแล้ว”
“ขอรับ” ตู้ฝานรับคำ คุยกับเหลิ่งหวาสองสามประโยค ทั้งสองออกไปหาที่พักข้างหน้า เพื่อให้พวกเขาหยุดพักผ่อน
พวกเขาจุดกองไฟแล้วนั่งล้อมวงกัน พวกตู้ฝานออกไปหาสัตว์ป่ามาย่างกิน เห็นท่านพ่อของเธอเงียบงันไม่ค่อยพูดมาตลอดทาง เฟิ่งจิ่วจึงถาม “ท่านพ่อ ท่านอาลัยบ้านของเราหรือเจ้าคะ?”
เฟิ่งเซียวถอนหายใจ บอกว่า “ที่ที่ข้าเกิดและเติบโตมา ยามนี้กลับต้องจากบ้านเกิดเมืองนอน บ้านแตกสาแหรกขาด เรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงที่ผ่านมา พ่อจะทำใจในเวลาสั้นๆ ได้อย่างไรเล่า? หากบอกว่าไม่อาลัย หากบอกว่าไม่ทุกข์ใจ นั่นคงเป็นเรื่องโกหก”
ซั่งกวนหวั่นหรงที่อยู่ข้างๆ ตบมือเขาเบาๆ “ท่านอย่าคิดมากไปเลย ที่ใดมีครอบครัวอยู่ที่นั่นจึงเรียกว่าบ้าน ยิ่งไปกว่านั้น ใช่ว่าพวกเราจะไม่กลับไปที่นั่นอีกเสียเมื่อใร ภายหน้าหากมีโอกาส พวกเราก็ยังกลับไปได้ไม่ใช่หรือ?”
“ข้ารู้” เฟิ่งเซียวพยักหน้า แล้วพูดด้วยน้ำเสียงหนักแน่น “ภายหน้า ครอบครัวเราจะต้องได้กลับไปอีกครั้งแน่!”
เห็นอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วฉีกเนื้อชิ้นหนึ่งแล้วยื่นให้เขา “ท่านพ่อ กินหน่อยเถิด!” พูดจบ ก็ฉีกเนื้ออีกชิ้นให้ท่านแม่ของเธอ “พวกท่านกินเสร็จก็พักผ่อนสักหน่อย พรุ่งนี้เดินทางต่ออีกหนึ่งวันก็ถึงแล้ว”
“ได้” ทั้งสองรับคำ พลางฉีกเนื้อย่างกิน
เฟิ่งจิ่วกับกวนสีหลิ่นกินเสร็จก็เดินตรวจตรารอบๆ กวนสีหลิ่นมองเฟิ่งจิ่วที่เดินอยู่ข้างกาย แล้วถามว่า “เสี่ยวจิ่ว เมื่อถึงหุบเขาแห่งนั้นแล้วเจ้าจะเก็บตัวฝึกวิชาก่อนหรือ?”
“อื้ม ข้าตั้งใจจะทะลวงขั้นเป็นผู้ฝึกตนระดับเซียนเหินแล้ว เมื่อใดที่พลังมั่นคงแล้วค่อยออกไป”
เธอตอบ พลางทอดมองออกไปไกลๆ “ท่านพี่ ท่านไม่รู้หรอก ข้าหวังมาตลอดว่าจะปกป้องคนในครอบครัว แต่พอเกิดเรื่องกับพวกท่านปู่ แล้วก็เกิดเรื่องกับเสี่ยวเฟิ่งเย่กับหยางหยาง ข้าถึงเพิ่งตระหนักได้ ว่าไม่ว่าข้าจะมีพลังแข็งแกร่งเพียงใด ข้าก็ไม่อาจอยู่เคียงข้างคอยปกป้องพวกเขาได้ตลอด ฉะนั้น ขณะเดียวกับที่ข้าฝึกฝนตนเอง ข้าก็หวังว่าคนข้างกายข้า กระทั่งองครักษ์ประจำตระกูลเฟิ่งจะสามารถพัฒนาพลังของตนเองไปพร้อมกันได้ด้วย”
………………………………