เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1691 เป้าหมายคือเทพนักรบ ตอนที่ 1692 ไม่เป็นไรหรอก
ตอนที่ 1691 เป้าหมายคือเทพนักรบ / ตอนที่ 1692 ไม่เป็นไรหรอก
ตอนที่ 1691 เป้าหมายคือเทพนักรบ
เธอนิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วกล่าวว่า “ข้าไม่อยากเห็นคนรอบตัวตายอีกแล้ว ข้าอยากเห็นพวกเขามีชีวิตอย่างมีความสุข”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น กวนสีหลิ่นบอกว่า “เจ้าวางใจ ข้าจะช่วยเจ้าเอง ข้าจะช่วยเจ้าฝึกฝนพวกเขา ทำให้พลังของพวกเขาพัฒนาขึ้นอีก” เขาเป็นผู้ฝึกพลังเร้นลับ อีกทั้งตอนนี้เขาก็อยู่ในระดับสูงสุดของการฝึกพลังเร้นลับแล้ว กอปรกับเขายังมีทักษะวรยุทธ์และท่าไม้ตายมากมาย การฝึกฝนองครักษ์ประจำตระกูลเฟิ่งน่าจะไม่ใช่เรื่องยากสำหรับเขา
เฟิ่งจิ่วพยักหน้า บอกว่า “อืม เช่นนั้นพอไปถึงหุบเขา องครักษ์ประจำตระกูลเฟิ่งคงต้องมอบให้ท่านดูแล ส่วนเรื่องยาไม่ต้องเป็นห่วง ข้าจะเตรียมยาให้พวกท่านใช้อย่างเพียงพอ ทำให้ทุกคนทะลวงขั้นพลังได้เร็วที่สุด”
พวกเขาพักผ่อนที่นี่หนึ่งคืน วันต่อมาเมื่อฟ้าสาง พวกเขาก็ออกเดินทางไปยังจุดหมายปลายทาง
“ผู้นำตระกูล ฮูหยิน นายท่าน!”
พวกหลัวอวี่ที่ถึงหุบเขาก่อนพวกเขามารอต้อนรับอยู่ระหว่างทาง เห็นพวกเขาก็รีบประสานมือคารวะ บอกว่า “ทุกอย่างในหุบเขาถูกจัดเตรียมไว้หมดแล้ว ผู้นำตระกูล ฮูหยิน เชิญไปพักผ่อนข้างในขอรับ”
“ท่านพ่อ ท่านแม่ พวกท่านไปพักผ่อนก่อนเถิด!” เฟิ่งจิ่วบอก กำชับให้เหลิ่งหวากับเหลิ่งซวงดูแลพ่อแม่ของเธอ
“แล้วเจ้าเล่า? เจ้าไม่ไปพักก่อนหรือ? หรือยังมีเรื่องต้องรีบไปสะสางอีก?” เฟิ่งเซียวถามเฟิ่งจิ่ว ตลอดเส้นทางเธอเฝ้าระวังอยู่เสมอ คอยปกป้องพวกเขาเพราะกลัวจะมีคนจับตาดูอยู่ในที่ลับ เขารู้ว่าเธอไม่ได้พักผ่อนเต็มที่
“ข้ากับตู้ฝานจะไปเพิ่มความแข็งแกร่งให้ค่ายกลกับเขตอาคมรอบๆ หน่อย” เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ “ไม่เป็นไรเจ้าค่ะ ข้าไม่เหนื่อย ข้าวางค่ายกลใหม่เสร็จก็จะกลับมา พวกท่านเข้าไปก่อนเถิดเจ้าค่ะ!”
“เช่นนั้นก็ได้!” เฟิ่งเซียวพยักหน้า กำชับว่า “หากเหนื่อยมากพรุ่งนี้ค่อยทำก็ยังไม่สาย”
“เจ้าค่ะ ข้ารู้แล้ว” เธอมองท่านแม่ของเธอ ก่อนจะกล่าว “ท่านแม่ ท่านเข้าไปกับท่านพ่อก่อนเถิดเจ้าค่ะ!”
ซั่งกวนหวั่นหรงยิ้มอ่อนโยน “เข้าใจแล้ว เจ้าเองก็อย่หักโหมมากไป” เอ่ยจบ ก็เดินเข้าไปข้างในกับเฟิ่งเซียว
เห็นพวกเขาเข้าไปข้างในแล้ว เธอหันไปสั่งงานพวกหลัวอวี่ บอกตู้ฝานว่า “เจ้าตามข้ามา!”
“ขอรับ” ตู้ฝานรับคำ เดินตามหลังเธอไป
วันนี้ พวกองครักษ์ประจำตระกูลเฟิ่ง รวมถึงพวกเฟิ่งเซียวล้วนมากันครบแล้ว แม้ว่าจะผ่านเรื่องราวมามากมาย แต่ยามนี้เมื่อมีคำสั่ง เหล่าองครักษ์ประจำตระกูลเฟิ่งก็รวมตัวกันอย่างพร้อมหน้า และฮึกเหิมมีขวัญกำลังใจ
หลังจากร่ายเขตอาคมและค่ายกลใหม่เสร็จ ก็เป็นเวลาพลบค่ำแล้ว เฟิ่งจิ่วไม่ได้ไปพัก แต่พาตู้ฝานมาในป่าบนหุบเขา
เวลาประมาณครึ่งก้านธูปก่อนหน้านี้ พวกหลัวอวี่ได้รับคำสั่งจากเฟิ่งจิ่วให้มารออยู่ที่นี่ ด้วยเหตุนี้ พอเฟิ่งจิ่วมาถึง เหล่าองครักษ์ประจำตระกูลเฟิ่งก็ยืนเรียงแถวกันอย่างพร้อมหน้าอยู่ที่นั่น
“คารวะนายท่าน!” ทุกคนคุกเข่าลงอย่างพร้อมเพรียง
เฟิ่งจิ่วยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา มองเหล่าองครักษ์ที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้า บอกไม่ถูกว่าในใจรู้สึกเช่นใน ตระกูลเฟิ่งเคยมีองครักษ์มากมาย ยามนี้ เหลือเพียงแปดสิบแปดคนนี้เท่านั้น
เรียกได้ว่าองครักษ์ประจำตระกูลเฟิ่งที่อยู่ในวังตอนนั้นไม่มีใครรอดมาได้เลย ส่วนองครักษ์เหล่านี้ที่รอดมาได้ เป็นพวกที่คอยดูแลจวนตระกูลเฟิ่งของเธอ รวมถึงพวกที่กระจายตัวอยู่ข้างนอกเพื่อคอยสืบข่าว
“พวกเจ้าคือความหวังของตระกูลเฟิ่ง แล้วก็เป็นความหวังขององครักษ์เฟิ่งทุกคน แคว้นที่สูญเสียไป ทุกอย่างที่สูญเสียไป สักวันจะต้องได้กลับคืนมา! ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ข้าจะทำให้พลังของพวกเจ้าทุกคนพัฒนาขึ้น ทำให้พวกเจ้าทุกคนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเทพนักรบ! พวกเจ้าเชื่อมั่นในตัวข้าหรือไม่!”
………………………………….
ตอนที่ 1692 ไม่เป็นไรหรอก
“เชื่อมั่นขอรับ!”
เสียงทรงพลังดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียง ที่ผ่านมา พวกพ้องและสหายข้างกายของพวกเขาล้มหายตายจาก แต่พวกเขากลับรอดชีวิตมาได้ ทุกครั้งที่นึกถึงเรื่องที่ตนเองไม่อาจช่วยชีวิตพวกพ้องไว้ได้ พวกเขาก็แค้นใจที่ตนเองไร้ความสามารถ
มีเพียงพลังเท่านั้น มีเพียงพลังที่จะสามารถทำให้พวกเขาปกป้องคนที่พวกเขาอยากปกป้องได้! ไม่มีนาทีใดเลยที่พวกเขาจะไม่อยากแข็งแกร่งขึ้น! ทว่า ลำพังตัวพวกเขาเอง จะทำอย่างนั้นได้คงยากนัก แต่หากมีนายท่านของพวกเขาช่วย พวกเขาเชื่อว่าจะต้องทำได้แน่นอน!
“ลุกขึ้นมาเถิด!”
เธอบอก หลังจากที่ทุกคนรับคำแล้วลุกขึ้น เธอก็พูดว่า “ยาทะลวงขั้นของพวกเจ้าข้าจะจัดเตรียมให้ และระหว่างนี้ท่านพี่ของข้าก็จะฝึกฝนพวกเจ้า ข้าหวังว่าจะเห็นพวกเจ้าแต่ละคนพัฒนาอย่างก้าวกระโดด” เธอมองพวกเขา แล้วหันไปกำชับกวนสีหลิ่นที่อยู่ข้างๆ หลายประโยค ก่อนจะหมุนตัวเดินจากไป มอบหมายเหล่าองครักษ์ให้เขาดูแลต่อ
หลายวันหลังจากนั้น เฟิ่งจิ่วเอายาทิพย์ในห้วงมิติออกมาหลอมยาทะลวงขั้นทั้งหมด หลังจากหลอมยาออกมาหนึ่งชุด ก็เห็นว่ายาในห้วงมิติมีค่อนข้างน้อย เดิมตั้งใจจะให้พวกตู้ฝานออกไปหา แต่สุดท้ายพอใคร่ครวญอีกครั้ง เธอก็ตัดสินใจจะออกไปด้วยตนเอง
ขณะที่เธอตั้งใจจะออกเดินทางหลังจากบอกพ่อแม่ของเธอเรียบร้อยแล้ว ก็เจอกวนสีหลิ่นรอเธออยู่ที่ลานบ้าน
“ท่านพี่ มีอะไรหรือ?”
“ข้าได้ยินว่าเจ้าจะออกไปรึ?” กวนสีหลิ่นถามเธอ
“ใช่ ข้าจะไปเด็ดยาทิพย์ในเมืองสักหน่อย ทำไมหรือ? ท่านมีอะไรที่อยากซื้อหรือไม่? ข้าจะได้ซื้อกลับมาให้ท่านด้วยเลย” เฟิ่งจิ่วถาม
“ข้าจะมีอะไรอยากซื้อได้เล่า? ข้าเพียงเป็นห่วง เจ้าออกไปคนเดียวไม่ปลอดภัย เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน! ข้าไปกับเจ้าด้วย”
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ โบกมือบอกว่า “ไม่ต้องๆ ข้าตั้งใจจะปลอมตัวเป็นขอทานน้อยเข้าไปในเมือง” เธอปัดเสื้อสีแดงบนตัว แล้วบอกว่า “เสื้อผ้าสีสะดุดตาชุดนี้ใส่ไม่ได้แล้ว ข่าวล่าสุดน่าจะกระจายออกไปแล้ว ไม่แน่อาจมีหลายคอยจับตาดูอยู่ในที่ลับก็ได้! ข้าปลอมตัวเป็นขอทานน้อยเข้าไปในเมืองสะดวกและปลอดภัยที่สุดแล้ว”
“แต่เจ้าไปคนเดียวก็ไม่ปลอดภัยอยู่ดี!” เขาบอก “เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน! ในเมื่อเจ้าจะปลอมตัวเป็นขอทาน เช่นนั้นข้าก็จะปลอมตัวเป็นขอทานเข้าเมืองไปกับเจ้าด้วย!”
“ท่าน?” เธอมองเขาด้วยความแปลกใจ จากนั้นก็หัวเราะเสียงดังพร้อมกับโบกมือ “ไม่ได้ๆ ท่านไม่เหมาะปลอมตัวเป็นขอทาน”
“ไม่เหมาะอะไรกัน? เจ้าทำได้ เหตุใดข้าทำไม่ได้?” กวนสีหลิ่นแย้งอย่างไม่เห็นด้วย พูดจบ ก็เห็นเธอยกมือตบแผงอกของเขา
“ท่านดูตัวเองสิ ร่างกายกำยำล่ำสันถึงเพียงนี้ หนำซ้ำทั้งสูงทั้งตัวใหญ่ เหมือนขอทานเสียที่ไหน? เอาล่ะๆ ตกลงตามนี้แหละ ไม่คุยกับท่านแล้ว ข้ายังต้องไปเตรียมตัวเข้าเมืองอีก” เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ แล้วหมุนตัวเดินจากไป ตั้งใจจะกลับไปแปลงโฉมที่ห้อง
ได้ยินนางว่าอย่างนั้น กวนสีหลิ่นอดก้มหน้ามองร่างกายกำยำของตนเองไม่ได้ เขาขมวดคิ้ว “ก็จริงขอนาง บอกว่าเป็นอันธพาลยังพอได้ เป็นขอทานน่าจะไม่มีใครเชื่อจริงๆ”
เพียงแต่ ปล่อยให้เธอเข้าเมืองไปคนเดียวอย่างไรเขาก็ไม่ค่อยวางใจ
“เป็นห่วงนายท่านหรือขอรับ?” ตู้ฝานไม่รู้เดินมาตั้งแต่เมื่อใด รู้อีกทีก็ปรากฏตัวอยู่ข้างกายเขาแล้ว
กวนสีหลิ่นมองเขาแวบหนึ่ง ตอบว่า “จะไม่ห่วงได้หรือ? ไม่มีราชวงศ์เฟิ่งหวงแล้ว ตระกูลเฟิ่งก็ไม่มีแล้ว จากบ้านเกิดเมืองนอนมาอยู่ที่นี่ ข้างนอกก็ไม่รู้มีคนต้องการชีวิตนางตั้งเท่าไร ปล่อยให้เธอออกไปลำพัง ข้าจะวางใจได้อย่างไรเล่า?”
ได้ยินอย่างนั้น ตู้ฝานยิ้มๆ “วางใจเถิดขอรับ! นายท่านไม่เป็นไรหรอก”
………………………………….