เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1713 วิหารราตรี ตอนที่ 1714 สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะ
ตอนที่ 1713 วิหารราตรี / ตอนที่ 1714 สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะ
ตอนที่ 1713 วิหารราตรี
พลังเช่นนั้น แรงกดดันที่แผ่กระจายออกมาอย่างมองไม่เห็นนั่น ทำให้พวกเขาต่างอดไม่ได้ที่จะก้มหน้า ไม่กล้ามองหน้านางตรงๆ อีกทั้งนางที่ออกจากการเก็บตัวในครั้งนี้ ก็สร้างความตกตะลึงให้พวกเขาได้อย่างมาก ผู้แข็งแกร่งที่เคยพบเจอในอดีต ไม่มีใครเทียบได้เลยสักคน
ดูท่า นายท่านเก็บตัวฝึกวรยุทธ์มาครึ่งปี จะต้องมีการก้าวข้ามที่ยิ่งใหญ่ในด้านวรยุทธ์แน่ๆ!
นึกมาถึงตรงนี้ ทั้งสองก็อดยิ้มอย่างดีใจไม่ได้ ยิ่งนายท่านแข็งแกร่ง พวกเขาก็ยิ่งดีใจ เพราะมีเพียงนายท่านของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น เรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อครึ่งปีก่อนถึงจะไม่เกิดขึ้นอีก
“ยินดีกับนายท่านที่วรยุทธ์ก้าวหน้าครั้งใหญ่!” ทั้งสองกล่าวแสดงความยินดีพร้อมกัน
เฟิ่งจิ่วยิ้ม บอกว่า “เหลิ่งซวง เตรียมน้ำร้อนที ข้าจะอาบน้ำ เหลิ่งหวา เจ้าเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างนี้ให้ข้าฟังหน่อย”
“เจ้าค่ะ / ขอรับ!”
ทั้งสองรับคำ ก่อนจะแยกย้ายไปทำหน้าที่ เหลิ่งซวงเตรียมน้ำร้อนให้เฟิ่งจิ่วอาบ เหลิ่งหวาเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งในและนอกหุบเขาให้เฟิ่งจิ่วฟังคร่าวๆ
“แคว้นรอบๆ ราชวงศ์เฟิ่งหวงล้วนไม่กล้ารุกราน เหมือนจะเกรงกลัวอยู่บ้าง เพียงแต่ยังคงมีกลุ่มอำนาจบางกลุ่มสืบหาที่อยู่ของนายท่าน ตลาดมืดเองก็ส่งคนสืบข่าวอยู่เช่นกัน เพียงแค่สืบมาไม่ถึงที่นี่ นอกจากนี้ ครอบครัวฝ่ายมารดาขององค์จักรพรรดินีหลวงก็กำลังตามหาพวกเราอยู่ หลังจากรู้ข่าว ผู้นำตระกูลก็ให้คนไปส่งขาวแล้วขอรับ”
เล่ามาถึงตรงนี้ เหลิ่งหวาหยุดพูดไปครู่หนึ่ง เรื่องที่ท่านผู้อาวุโสกับคนอื่นตายถูกส่งข่าวไปทางนั้น ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าพวกเขาได้รับแรงกระทบกระเทือนทางจิตใจมากเพียงใด ไม่เพียงเสียบุตรสาวไปแล้ว แม้แต่หลานชายก็เสียไปด้วย
เฟิ่งจิ่วได้ยินก็นัยน์ตาไหวระริก แม้ผ่านไปครึ่งไปแล้ว แต่ทุกครั้งที่นึกถึงการตายของท่านปู่กับคนอื่นๆ เธอก็รู้สึกทุกข์ใจมาก
“ส่วนเหล่าองครักษ์ตระกูลเฟิ่ง ภายใต้การฝึกฝนของผู้นำตระกูลและคุณชายกวน พลังล้วนพัฒนาขึ้นหนึ่งถึงสองระดับ ในหมู่พวกเขา พวกหลัวอวี่ที่เป็นหัวหน้าหน่วยองครักษ์ทั้งแปดทะลวงขั้นถึงระดับปราชญ์นักรบขั้นสูง และนายท่านก็ทะลวงขั้นถึงระดับเทพนักรบขั้นสูงสุดแล้ว แม้แต่วรยุทธ์ของฮูหยินก็มีพัฒนาการเช่นกันขอรับ”
“นอกจากนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่ง สถานการณ์ของจักรวรรดิเซวียนทางแปดจักรวรรดิใหญ่ไม่ค่อยสู้ดีนัก อีกเจ็ดแคว้นที่เหลือมีสี่แคว้นร่วมมือกันต่อกรกับจักรวรรดิเซวียนหยวน ยามนี้จักรวรรดิเซวียนหยวนเรียกได้ว่าถูกโจมตีรอบทิศ มีปัญหาทั้งภายในและภายนอก แม้จะมีเจ้าตำหนักยมราชนั่งบัลลังก์สั่งการก็ยังยากจะควบคุมสถานการณ์ได้
อีกทั้ง กลุ่มอำนาจที่มองไม่เห็นกลุ่มนั้นก็ยังคอยกดดันจักรวรรดิเซวียนหยวน ตอนนี้มั่นใจได้แล้วว่า กลุ่มอำนาจดังกล่าวก็คือวิหารราตรีที่เป็นกลุ่มอำนาจอันโด่งดังในแถบเหนือแม่น้ำ บิดาของเจ้าตำหนักยมราชถูกคนของพวกเขาทำลายวรยุทธ์ แม้แต่ราชวงศ์เฟิ่งหวงของเรา รวมถึงพวกท่านผู้อาวุโส ก็เป็นฝีมือของพวกเขาขอรับ”
ได้ยินเหลิ่งหวาเล่า นัยน์ตาของเฟิ่งจิ่วมีประกายเย็นเยียบพาดผ่าน มุมปากหยักยกขึ้น “วิหารราตรี? ดีมาก”
เมื่อรู้แล้วว่าเป็นฝีมือของกลุ่มอำนาจใด เช่นนั้นก็รู้แล้วว่าควรเริ่มจากตรงไหน! อยู่เงียบๆ มานานถึงครึ่งปี ตอนนี้ถึงเวลาที่เธอควรออกไปได้แล้ว!
“นายท่าน เตรียมน้ำเสร็จแล้ว นายท่านไปอาบได้แล้วเจ้าค่ะ” เหลิ่งซวงเดินออกมาบอก
“อืม” เธอรับคำ ลุกขึ้นแล้วบอกเหลิ่งหวาว่า “บอกท่านพ่อกับท่านแม่ข้าที อีกเดี๋ยวข้าจะไปหาพวกเขา อีกอย่าง ให้พวกองครักษ์เฟิ่งทุกคนเตรียมตัวให้ดี ข้าจะไปดูผลการฝึกของพวกเขา”
“ขอรับ!” เหลิ่งหวารับคำ หมุนตัวเดินออกไป
เห็นเหลิ่งหวาออกไปแล้ว เฟิ่งจิ่วสาวเดินเข้าไปในห้อง แล้วไปอาบน้ำในห้องด้านใน ถอดเสื้อคลุมสีแดงบนตัวออก แล้วปลดเสื้อด้านใน ก้าวเข้าไปในอ่างอาบน้ำ แช่ตัวลงไปใต้น้ำ…
………………………………….
ตอนที่ 1714 สมแล้วที่เป็นอัจฉริยะ
เฟิ่งจิ่วที่อาบน้ำเสร็จแล้วไปที่เรือนของพ่อแม่ของเธอก่อน เมื่อไปถึงที่นั่น เห็นกวนสีหลิ่นก็อยู่ด้วย จึงยิ้มแล้วขานเรียก “ท่านพ่อ ท่านแม่ ท่านพี่”
ทั้งสามที่รออยู่หน้าลานสวนได้ยินก็หันไปหา เห็นเพียงเฟิ่งจิ่วสวมชุดสีแดง สง่างามผ่าเผย แววมั่นใจและภาคภูมิสะท้อนอยู่กลางหว่างคิ้ว ทั้งที่เป็นคนเดียวกัน แต่กลิ่นอายรอบตัวนาง รวมถึงพลังนั่น คล้ายจะเปลี่ยนแปลงไปอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดิน ทำให้พวกเขาเห็นแล้วก็ลอบตกตะลึงไม่ได้
ก่อนหน้านี้ได้ยินเหลิ่งหวาบอกว่าเสี่ยวจิ่วทะลวงขั้นแล้ว อีกทั้งยังไม่ใช่เพียงระดับเซียนเหิน ยามนี้เมื่อเห็น ถึงได้รู้ว่านี่ใช่แค่เปลี่ยนแปลงไปธรรมดาเสียที่ไหน? เรียกว่าเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เลยต่างหาก
นางในตอนนี้ กลิ่นอายรอบกายราวกับหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียวกับผืนฟ้าและแผ่นดิน กลิ่นอายของนางที่หากไม่สังเกตดีๆ ก็จะสัมผัสไม่ได้นั้น ราวกับได้กลายเป็นเทพเซียนบนสวรรค์ชั้นฟ้าไปแล้ว
ทั้งที่ชุดสีแดงโดดเด่นสะดุดตามาก แต่กลับดูเลือนรางห่างไกลด้วยในขณะเดียวกัน ใบหน้าของนางราวกับถูกซ่อนไว้ในม่านหมอกชั้นหนึ่ง ยากจะมองเห็นชัด
“เสี่ยวจิ่ว ตอนนี้พลังของเจ้าอยู่ระดับใดแล้ว?” เฟิ่งเซียวถามอย่างตกตะลึง เขาเองก็ถือว่าเคยพบผู้คนมามากหน้าหลายตา แต่เหมือนไม่เคยเห็นคนที่มีพลังเหนือกว่าระดับเซียนเหินเหมือนนางเลยกระมัง?
เฟิ่งจิ่วเม้มปากยิ้มๆ บอกว่า “ตอนนี้พลังข้าอยู่ระดับปราชญ์เซียนขั้นสูงสุดแล้วเจ้าค่ะ”
“ปะ ปราชญ์เซียนขั้นสูงสุด?”
เฟิ่งเซียวเบิกตากว้างด้วยความตกใจ ปราชญ์เซียนขั้นสูงสุด นั่นเป็นระดับเหนือระดับเซียนเหินเชียวนะ แต่โดยปกติแล้ว แม้เป็นผู้ฝึกตนที่มีพรสวรรค์อีกแค่ไหน ก็ไม่มีทางทะลวงขั้นจากระดับกำเนิดวิญญาณไปถึงระดับปราชญ์เซียนขั้นสูงสุดได้นี่นา!
ต้องบอกก่อนว่า ระดับพลังยิ่งสูงยิ่งทะลวงขั้นยาก แม้แต่กลุ่มอำนาจเหนือแม่น้ำที่เล่นงานพวกเขา ระดับพลังสูงสุดก็เพียงระดับเซียนเหินเท่านั้น แต่นาง เก็บตัวฝึกครึ่งปี กลับทะลวงขั้นจากระดับกำเนิดวิญญาณขั้นสูงสุดเป็นระดับปราชญ์เซียนขั้นสูงสุด? หากเป็นคนอื่น แม้จะฝึกห้าสิบปี หรือแม้กระทั่งร้อยปีก็ยังทำถึงขนาดนี้ไม่ได้
ซั่งกวนหวั่นหรงมองลูกสาวอย่างเหลือเชื่อ นางพึมพำ “ปราชญ์เซียนขั้นสูงสุด? นั่นเท่ากับพลังต่อสู้ของผู้แข็งแกร่งระดับเซียนเหินร้อยคน…”
หนึ่งคนเท่ากับผู้แข็งแกร่งระดับเซียนเหินร้อยคน เจ้าว่า ต้องเป็นพลังต่อสู้ที่น่ากลัวขนาดไหนกัน? ต้องเป็นผู้ฝึกตนที่แข็งแกร่งขนาดไหนกัน?
นึกมาถึงตรงนี้ หัวใจของนางเต้นรัว เสี่ยวจิ่วมีพลังเช่นนี้ อย่างนั้นก็ไม่จำเป็นต้องกลัวใครอีกแล้ว ยิ่งไปกว่านั้น ตอนนี้นางยังเด็ก เมื่อเวลาผ่านไปพลังของนางจะต้องพัฒนาขึ้นอีกแน่ แม้แต่บางตระกูลในแถบเหนือแม่น้ำก็ยังต้องประเมินกำลัง ว่าจะเป็นศัตรูกับผู้แข็งแกร่งเช่นนี้หรือไม่
นางสูดหายใจลึกๆ พยายามควบคุมความลิงโลด ลูกสาวมีพลังเช่นนี้ได้ แข็งแกร่งเช่นนี้ได้ นางมีความสุขเหลือเกิน เมื่อเป็นอย่างนี้ ภายหน้าแม้นางอยู่ข้างนอก แม้พวกเขาจะไม่อยู่ข้างกายนาง ก็ไม่ต้องกลัวว่านางจะเผชิญอันตรายหรือไม่
เฟิ่งจิ่วในตอนนี้ แม้จะไปถึงแถบเหนือแม่น้ำ ก็เป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่ใช่ว่าใครจะมีเรื่องด้วยก็ได้ ยิ่งไปกว่านั้น นางยังมีความสามรถด้านการหลอมยาและวิชาแพทย์ด้วย นางที่เป็นเช่นนี้ ไม่ว่าไปที่ใดก็ล้วนโดดเด่นสะดุดตาอย่างแน่นอน
“ดีเหลือเกิน! เวลาเพียงครึ่งปีกลับทะลวงขั้นได้ถึงระดับปราชญ์เซียนขั้นสูงสุด เสี่ยวจิ่ว สมแล้วที่เจ้าเป็นอัจฉริยะ!” กวนสีหลิ่นหัวเราะเบิกบาน เขาเองก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ กลับดูสุขุม เธอมองพวกเขาทั้งสาม แล้วบอกว่า “วันนี้ข้ามีเรื่องจะบอกพวกท่าน อีกไม่กี่วันข้าตั้งใจจะพาองครักษ์เฟิ่งออกไปข้างนอกสักครั้ง”
………………………………….