เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1757 เป็นหรือตาย ตอนที่ 1758 คำโกหกเจตนาดี
ตอนที่ 1757 เป็นหรือตาย / ตอนที่ 1758 คำโกหกเจตนาดี
ตอนที่ 1757 เป็นหรือตาย
“โม่เจ๋อมาแล้วหรือ นั่งเร็ว”
เฟิ่งซานหยวนพยักหน้า ให้เขานั่งลง เพียงแต่หลังจากได้ยินคำพูดของแม่หนู่เฟิ่ง หัวใจของเขาบีบแน่น ซู่ซีอาจดูไม่ออก แต่เขากลับดูออกแล้ว
ตอนที่ซู่ซีถามแม่หนูเฟิ่งว่าเย่เอ๋อร์ยังมีชีวิตอยู่หรือไม่ สีหน้าที่เปลี่ยนไปในเสี้ยวนาทีนั้น เขายังคงจับสังเกตได้ทัน ลูกของเขา ประสบเคราะห์กรรมแล้วจริงหรือ? เด็กตัวเล็กแค่นั้น เขายังอายุเพียงสามขวบอยู่เลย…
นึกถึงตรงนี้ ดวงตาของเขาแดงผ่าวอย่างห้ามไม่ได้ ในใจเจ็บปวดรวดร้าว แต่เขาก็ยังคงพยายามข่มกลั้นสุดกำลัง เพราะหลังจากได้ยินคำพูดของแม่หนูเฟิ่ง ซู่ซีที่กังวลมาตลอดทางก็เผยสีหน้าโล่งใจออกมาในที่สุด
เขารู้ นางกดดันตนเองมาตลอด นางตึงเครียดจนเหมือนสายธนูที่ถูกขึงจนตึง หากบอกนางว่าลูกประสบเคราะห์ไปแล้วจริงๆ เกรงว่านางเองก็คงอยู่ต่อไปไม่ไหวเช่นกัน
“เสี่ยวจิ่ว พ่อของเจ้าเล่า? เย่เอ๋อร์อยู่กับเขาหรือ?” เพราะไม่เห็นเฟิ่งเซียว ซู่ซีจึงนึกว่าลูกอยู่กับพวกเฟิ่งเซียว
เฟิ่งจิ่วกุมมือนาง บอกว่า “ท่านย่า ท่านไม่ต้องห่วงนะเจ้าคะ ดื่มชาสงบจิตสงบใจก่อน อาการบาดเจ็บภายในของท่านยังไม่หายดี จะได้รับแรงกระทบกระเทือนมากเกินไปไม่ได้”
เธอนั่งลงข้างๆ แล้วมองท่านปู่แวบหนึ่ง เผยยิ้มออกมา “ท่านปู่ ท่านย่า เสี่ยวเย่เอ๋อร์กับหยางหยางไม่ได้อยู่กับท่านพ่อของข้า พวกเขามีโชคชะตาอื่น”
ได้ยินอย่างนั้น เซวียนหยวนโม่เจ๋อนั่งลงจิบชา ไม่เงยหน้า แต่มู่หรงอี้เซวียนกลับนัยน์ตาไหวระริก สีหน้ายังคงเหมือนเดิม เฟิ่งซานหยวนได้ยินก็พยักหน้า ไม่ได้พูดอะไร มีเพียงซู่ซีที่ชะงักไป ถามว่า “โชคชะตาอะไรหรือ? พวกเขาไม่ได้อยู่กับพ่อของเจ้า แล้วอยู่กับผู้ใดกัน?”
“ตอนนั้นพวกเขาเดินออกไปตามเส้นทางลับ ไปถึงที่ปลอดภัย เพียงแต่เด็กทั้งสองคนยังอายุน้อยนัก องครักษ์เฟิ่งเองก็ไม่รู้ว่ามีเส้นทางลับนั้นอยู่ พอพวกเขากลับไปถึง ก็ผ่านไประยะเวลาหนึ่งแล้ว”
เฟิ่งจิ่วหยุดเล่าครู่หนึ่ง แล้วมองซู่ซีที่ใบหน้าตื่นตระหนก “พวกเขาพบเจอเรื่องราวบางอย่างข้างนอกนั้น ถูกจับตัวไปที่ตลาดขายทาส ต่อมาพวกเขาหนีออกมา เพื่อหลบหนีคนพวกนั้น พวกเขาเข้าไปในป่าเล็กๆ แห่งหนึ่ง”
“จากนั้นเล่า? ป่า? ป่าที่ใด? มีสัตว์ร้ายหรือไม่? พวกเขา…” หัวใจของซู่ซีสั่นคลอน นึกถึงภาพที่เด็กสองคนเข้าไปในป่าตามลำพัง สีหน้าพลันซีดเผือด
หยางหยางแม้จะผ่านการฝึกฝนมาแล้ว แต่อย่างไรก็ยังเป็นเด็กอายุเจ็ดแปดขวบอยู่ดี หากเจอสัตว์ร้ายจริง เขาจะสู้ได้อย่างไร?
เฟิ่งซานหยวนที่ฟังอยู่แอบกำหมัดเงียบๆ เขานึกภาพออกว่าสถานการณ์อย่างนั้นอันตรายแค่ไหน เด็กสองคน น่าจะ…
เฟิ่งจิ่วมองเขาแวบหนึ่ง พยักหน้า “ใช่เจ้าค่ะ พวกเขาเจอสัตว์ร้ายที่นั่น แล้วก็ถูกสัตว์ร้ายโจมตี”
สิ้นเสียง ซู่ซีก็ตัวอ่อนล้มพับลงไป เฟิ่งซานหยวนรีบเข้าไปประคองแล้วปลอบนาง “เจ้าไม่ต้องห่วง แม่หนูเฟิ่งบอกแล้วไม่ใช่หรือ? พวกเขายังอยู่ดี ไม่เป็นไรๆ”
“พวกเขาถูกสัตว์ร้ายโจมตี ได้รับบาดเจ็บ ตอนนั้นพวกข้าก็กำลังตามหาพวกเขาจากเบาะแสที่ได้รับ เพียงแต่พวกข้าก็ยังคงช้าไปก้าวหนึ่ง ตอนที่พวกข้าไปถึง พวกเขาถูกนักพรตเฒ่าผู้หนึ่งช่วยไว้” พูดมาถึงตรงนี้ เฟิ่งจิ่วหลุบตาต่ำ
เธอหวังมาตลอดว่าเด็กสองคนนั้นจะถูกช่วยไปแล้ว แต่ความหวังนั้นช่างริบหรี่ ในสถานการณ์เช่นนั้น จะมีผู้ใดบังเอิญมาช่วยพวกเขาไว้? หากถูกคนช่วยไว้จริงๆ ต่อมาเธอก็ตามหาอยู่ตลอด ก็น่าจะได้ยินข่าวอะไรบ้าง
………………………………….
ตอนที่ 1758 คำโกหกเจตนาดี
แต่ ต่อมาเธอได้ส่งคนออกไปตามหาแล้ว ก็ยังคงไม่ได้ยินข่าวอะไรเลย เช่นนั้น ก็อาจเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาถูกสัตว์ร้ายกินตอนนั้นแล้ว อีกหนึ่งโอกาสอันน้อยนิดที่มีก็คือ ถูกผู้แข็งแกร่งที่ท่องยุทธภพมาช่วยไว้ได้ทันเวลา ไม่เช่นนั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะไม่มีข่าวอะไรเลย
แต่เธอรู้ดี ว่าโอกาสอย่างนี้มีเพียงหนึ่งในหมื่นเท่านั้น และเป็นโอกาสที่ริบหรี่มาก ทว่าในนาทีนี้ เธอทำได้เพียงแต่งเรื่องโกหกมาบอกพวกเขา
“ถูกนักพรตเฒ่าช่วยไว้?” ซู่ซีมองเฟิ่งจิ่วด้วยความตะลึง “อย่างนั้น อย่างนั้นต่อมาเล่า?”
เฟิ่งจิ่วเงยหน้ามองเธอ บอกว่า “ตอนนั้นพวกเราไปถึงพอดี เพียงแต่นักพรตเฒ่าผู้นั้นมีวาสนาต่อเด็กทั้งสอง จะรับพวกเขาเป็นศิษย์และพาพวกเขาไป ตอนแรกข้าไม่เห็นด้วย แต่นักพรตเฒ่าผู้นั้นบอกว่าหากไม่ได้เขายื่นมือช่วยเหลือ เด็กทั้งสองคงตายไปแล้ว ฉะนั้นอย่างไรเขาก็จะพาคนไป เพียงบอกว่า รอเด็กทั้งสองสำเร็จวิชาเมื่อใด จะปล่อยให้พวกเขากลับมาบ้าน”
นาทีนี้ เฟิ่งจิ่วรู้สึกว่าตนเองแต่งเรื่องได้แนบเนียนไร้ช่องโหว่ หากไม่ใช่ว่ารู้เรื่องอยู่แล้ว ก็คงเชื่อกระมัง!
ทว่าเธอในยามนี้กลับไม่มีทางรู้เลย คำโกหกเจตนาดีที่เธอแต่งขึ้นมา กลับใกล้เคียงกับเรื่องจริง กระทั่งในอนาคตยามได้พบกับเด็กทั้งสองอีกครั้ง แม้แต่เธอก็ยังรู้สึกว่านี่ช่างเป็นเรื่องน่าเหลือเชื่อ…
“ที่แท้ก็อย่างนี้เอง…” ซู่ซีพึมพำ เผยรอยยิ้มคลายใจออกมา “ขอเพียงพวกเขาไม่เป็นไรก็ดีแล้ว ขอเพียงพวกเขายังมีชีวิตอยู่ก็พอ…”
เพราะจิตใจผ่านคลื่นมรสุมมามาก กอปรกับช่วงเวลาที่ผ่านมาก็วิตกกังวลมาตลอด ยามนี้พอผ่อนคลาย นางจึงหมดสติไป
“ซู่ซีๆ!” เฟิ่งซานหยวนเรียกด้วยความเป็นห่วง
“ท่านปู่ ไม่ต้องห่วงเจ้าค่ะ ท่านย่าแค่เหนื่อยจนร่างกายรับไม่ไหว ปล่อยให้นางพักสักเดี๋ยวก็ดีขึ้นแล้ว” เฟิ่งจิ่วปลอบเสียงเบา แล้วตะโกนออกไปข้างนอก “เหลิ่งซวง รีบพาท่านปู่กับท่านย่าไปพักผ่อนเร็ว”
“เจ้าค่ะ” เหลิ่งซวงรับคำ เข้ามาช่วยประคองซู่ซี
เฟิ่งซานหยวนมองเฟิ่งจิ่ว ถอนหายใจเบาๆ แล้วบอกว่า “อีกเดี๋ยวปู่มีเรื่องจะถามเจ้า”
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วนัยน์ตาไหวระริก พยักหน้าแล้วรับคำ “เจ้าค่ะ”
ครั้นพวกเขาจากไป เฟิ่งจิ่วนั่งลง แล้วอดถอนหายใจไม่ได้ ความตื่นเต้นดีใจที่พบพวกท่านปู่อีกครั้ง เจือจางลงเมื่อนึกถึงเสี่ยวเฟิ่งเย่กับหยางหยาง ในใจรู้สึกรวดร้าว และจนใจอยู่บ้าง
“ท่านเป็นคนช่วยพวกท่านปู่หรือ?” เฟิ่งจิ่วหันไปถามมู่หรงอี้เซวียน
ได้ยินอย่างนั้น มู่หรงอี้เซวียนที่กำลังดื่มชาอยู่ยิ้มๆ เงยหน้ามองเธอ “เจ้ารู้ได้อย่างไร?” เมื่อครู่ผู้อาวุโสเฟิ่งยังไม่ทันได้บอกเธอ อีกอย่างดูจากท่าทางของพวกเขาแล้ว ข่าวที่เขาสั่งให้คนส่งมาพักก่อน พวกเขาน่าจะยังไม่ได้รับ
“ตำหนักที่ถูกไฟไหม้ตอนนั้น เป็นตำหนักเดิมของท่าน ตอนนี้ท่านก็มาปรากฏตัวที่นี่อีก อีกอย่างพวกท่านปู่ของข้าก็ยังกลับมาอย่างปลอดภัย ไม่ใช่ท่านช่วยพวกเขาไว้ หรือยังมีผู้ใดอีก?”
“ข้าก็แค่บังเอิญผ่านทางพอดี” มู่หรงอี้เซวียนมองเธอในชุดสีแดงสะดุดตา บอกว่า “ตอนนั้นข้าแค่อยากจะกลับไปดูสักหน่อย นึกไม่ถึงว่าจะเจอเรื่องนี้พอดี เพียงแต่ กำลังมีขีดจำกัด ทำได้เพียงช่วยพวกเขาไว้อย่างลับๆ”
เฟิ่งจิ่วลุกขึ้นยืน เดินไปหยุดตรงหน้าเขา “ไม่ว่าอย่างไร ข้าก็ต้องขอบคุณท่านที่ช่วยชีวิตพวกเขาไว้” เธอค้อมเอวคารวะเขา “ขอบคุณมาก ภายหน้าหากมีเรื่องใดให้ช่วย ขอเพียงเป็นเรื่องที่ข้าทำได้ จะไม่บ่ายเบี่ยงแน่นอน”
ได้ยินอย่างนั้น ประกายมืดหม่นพาดผ่านดวงตาของเซวียนหยวนโม่เจ๋อ เขาหันไปมองมู่หรงอี้เซวียน
………………………………….