เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1759 ข้าจะมาหาเจ้า ตอนที่ 1760 ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
ตอนที่ 1759 ข้าจะมาหาเจ้า / ตอนที่ 1760 ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
ตอนที่ 1759 ข้าจะมาหาเจ้า
มู่หรงอี้เซวียนมองเซวียนหยวนโม่เจ๋อแวบหนึ่ง แล้วยิ้มให้เฟิ่งจิ่ว พยักหน้ารับ “ได้ ภายหน้าหากต้องการให้ช่วยอะไร ข้าจะมาหาเจ้า”
“ตอนนี้คุณชายมู่หรงอยู่ที่ใดหรือ?” เซวียนหยวนโม่เจ๋อเอ่ยถาม แววตาลึกล้ำจ้องมองไปที่เขา
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วเองก็มองไปที่มู่หรงอี้เซวียนเหมือนกัน “หลายปีมานี้ไม่ได้ยินข่าวคราวของท่านเลย ท่านไปไหนมาหรือ?” เห็นระดับวรยุทธ์ของเขาพัฒนาขึ้นไม่น้อย ดูท่า หลังจากไปเขาเองก็คงมีโอกาสใหม่เช่นกัน
“ตอนนี้ข้าอยู่ในสำนักหนึ่งที่แผ่นดินใหญ่แถบเหนือแม่น้ำ” เขายิ้มๆ แล้วพูดเสียงแช่มช้า “ปีนั้นหลังจากพบท่านอาจารย์ข้าด้วยความบังเอิญ ข้าจึงไปจากที่นี่พร้อมกับเขา หลายปีมานี้อยู่ที่แผ่นดินใหญ่แถบเหนือแม่น้ำตลอด น้อยครั้งจะมีโอกาสมาที่นี่”
หลังจากพูดคุยกับเขาครู่หนึ่ง เฟิ่งจิ่วก็พูดกับเขาว่า “ท่านเดินทางมาไกลคงเหนื่อยแล้ว ข้าจะให้คนพาท่านไปพักก่อนก็แล้วกัน!”
“ดี” เขารับคำ แล้วลุกขึ้นยืน
เฟิ่งจิ่วมองออกไปข้างนอก เห็นเหลิ่งหวายืนอยู่ตรงนั้น จึงเรียกเขา “เหลิ่งหวา เจ้าพาคุณชายมู่หรงไปพักที่ตำหนักข้างหลัง”
“ขอรับ” เหลิ่งหวารับคำ เดินเข้ามา แล้วหันไปหามู่หรงอี้เซวียนทำท่าผายมือ “คุณชายมู่หรงเชิญ”
หลังจากมู่หรงอี้เซวียนออกไป เฟิ่งจิ่วหันไปมองเซวียนหยวนโม่เจ๋อ “อีกเดี๋ยวข้าจะไปกำชับพวกหลัวอวี่สักหน่อย ท่านปู่กับท่านย่าข้าจะได้ไม่รู้ความจริงเข้า”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อดึงมือเธอนั่งลง แล้วบอกว่า “เมื่อครู่ข้าให้ฮุยหลางกับเหลิ่งหวาไปบอกแล้ว เพียงแต่ อย่างไรกระดาษก็มิอาจปิดไฟ เจ้าตั้งใจจะปิดบังพวกเขาไปอีกนานเท่าใด?”
เฟิ่งจิ่วเงียบงัน ครู่ใหญ่จึงตอบว่า “ข้ากลัวว่าหากบอกความจริง พวกเขาจะรับไม่ได้ ข้าเองก็รู้ว่าปิดได้ไม่นาน แต่ตอนนี้ไม่ใช่โอกาสดีที่จะบอกความจริงพวกเขา”
“เช่นนั้นก็เลื่อนออกไปก่อนก็แล้วกัน!” เขากุมมือของเธอ แล้วบอกว่า “เจ้าเองก็อย่าโทษตนเองมากไป เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า”
เฟิ่งจิ่วถอนหายใจ “ตอนแรกเห็นพวกท่านปู่รอดชีวิตกลับมาได้ข้าดีใจมาก เพียงแต่พอนึกถึงเรื่องของเสี่ยวเย่เอ๋อร์ ลึกๆ ข้างในก็ปวดใจอย่างบอกไม่ถูก”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อไม่พูดอะไร ได้แต่นั่งเงียบๆ เป็นเพื่อนเธอ ผ่านไปครู่หนึ่ง ก็ไปกำชับเหล่าองครักษ์เฟิ่งพร้อมเฟิ่งจิ่ว ให้พวกเขาพูดตรงกัน จะได้ไม่เผยพิรุธให้พวกท่านปู่จับได้
หลังกำชับเสร็จ ก็นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ของท่านปู่ เฟิ่งจิ่วชะงักเท้า แล้วหันไปมองเซวียนหยวนโม่เจ๋อข้างกาย “เมื่อครู่ท่านปู่บอกว่ามีเรื่องจะถามข้า ท่านว่า…”
“ไม่เป็นไร หากเขาถาม เจ้าก็บอกเขาไปตามตรงเถิด!” เซวียนหยวนโม่เจ๋อบอก “เขาน่าจะรับได้ อีกอย่าง ข้าไม่คิดว่าเรื่องนี้จะปิดบังท่านปู่ของเจ้าได้”
“ท่านหมายความว่าเขาดูออกแล้วงั้นหรือ?”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อพยักหน้า “น่าจะสงสัยบ้างแล้ว เมื่อครู่ตอนเจ้าเล่าเรื่อง เจ้าพุ่งความสนใจไปที่ท่านย่าของเจ้าหมด ไม่ได้สังเกตเห็นสีหน้าที่เปลี่ยนไปของท่านปู่ ข้าคิดว่าเขาน่าจะเดาอะไรออกบ้างแล้ว”
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วเงียบงัน ที่แท้ท่านปู่ก็พอเดาได้แล้ว
“ข้าไปกับเจ้าก็แล้วกัน!” เขาโอบไหล่เธอ สาวเท้าเดินไปที่ตำหนักด้านหลัง
ครั้นมาถึงที่ตำหนักข้างหลัง พอเดินเข้าไปก็เห็นเฟิ่งซานหยวนยืนเอามือไพล่หลังมองท้องฟ้า ท่าทางดูโศกเศร้า เห็นอย่างนั้น ทั้งสองมองหน้ากัน แล้วเฟิ่งจิ่วก็ขานเรียก
“ท่านปู่”
เฟิ่งซานหยวนได้สติ หันมองทั้งสอง “พวกเจ้ามาแล้วหรือ? นั่งเถิด!” เขาพยักหน้า บอกให้พวกเขานั่งลง
เฟิ่งจิ่วกับเซวียนหยวนโม่เจ๋อนั่งลงที่ข้างโต๊ะ เงียบไปครู่หนึ่ง เฟิ่งจิ่วถามขึ้นว่า “ท่านปู่ ทำไมท่านยังไม่ไปพักผ่อนเล่า?”
………………………………….
ตอนที่ 1760 ไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
เฟิ่งซานหยวนหันไปมองห้องข้างหลัง สูดหายใจลึกๆ แล้วบอกว่า “ซู่ซียังไม่ฟื้น แม่หนูเฟิ่ง เจ้าบอกความจริงปู่มา เกิดอะไรขึ้นกับเฟิ่งเย่กันแน่?”
ได้ยินเขาถาม เฟิ่งจิ่วเงียบงัน เธอมองท่านปู่ที่อยู่ตรงหน้า เนิ่นนานจึงบอกว่า “ท่านปู่ เรื่องที่ข้าเล่าก่อนหน้านี้ล้วนเป็นความจริง เพียงแต่เรื่องตอนท้ายข้าแต่งขึ้นมาเอง”
เธอเห็นร่างกายเขาสั่นเทาหลังจากได้ยินเธอเล่า เหมือนเขากำลังข่มกลั้นอารมณ์อย่างสุดกำลัง เฟิ่งจิ่วจึงบอกว่า “ท่านปู่ ตอนที่พวกข้าไปถึงแม้จะไม่เห็นเฟิ่งเย่กับหยางหยางแล้ว แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะประสบเคราะห์กรรมจริงๆ มีความเป็นไปได้สูงว่าพวกเขาอาจถูกช่วยไปแล้ว”
“เจ้าไม่ต้องพูดแล้ว ข้าเข้าใจแล้ว” เขาโบกมือ ทนฟังไม่ไหวอีกต่อไป
“ท่านปู่ ข้าขอโทษ ล้วนเป็นความผิดของข้า” เธอก้มหน้า ในใจเต็มไปด้วยความละอาย บางที หากไม่ใช่เพราะเธอ พวกเขาอาจไม่ต้องเจอกับการพลัดพรากเช่นนี้
“ไม่ ปู่รู้ เรื่องนี้ไม่ใช่ความผิดของเจ้า” เขาถอนหายใจ “นี่ล้วนเป็นโชคชะตา บางที เด็กคนนี้กับพวกข้าคงมีวาสนาที่เปราะบางต่อกัน” นึกถึงตอนที่เพิ่งคลอดเขาออกมาก็รอดมาได้อย่างหวุดหวิด ใครจะรู้ เพิ่งผ่านไปสามปี ก็ต้องมาเจอเรื่องอย่างนี้อีก
เฟิ่งซานหยวนลุกขึ้น เดินกลับเข้าไปข้างในด้วยสีหน้าเศร้าสลดอย่างปิดไม่มิด “เรื่องนี้ปิดบังท่านย่าของเจ้าต่อไปก็แล้วกัน! หากบอกความจริงกับนาง นางจะต้องรับไม่ไหวแน่”
เฟิ่งจิ่วเงยหน้า กระทั่งเขาเดินหายเข้าไปในห้อง ลึกๆ ข้างในรู้สึกอย่างไรบอกไม่ถูก
“ข้าไปเดินเล่นเป็นเพื่อนเจ้าก็แล้วกัน!” รู้ว่าเธอกำลังหดหู่ เซวียนหยวนโม่เจ๋อจึงจูงมือเธอ แล้วพาเธอเดินออกไปข้างนอก
โม่เฉินที่อยู่ในตำหนักอีกฝั่งได้ยินว่าท่านปู่กับท่านย่าของเฟิ่งจิ่วกลับมาอย่างปลอดภัย ก็อดตกตะลึงไม่ได้ พวกเขาสองคนยังมีชีวิตอยู่งั้นหรือ? ท่านอาจารย์บอกว่านางจะต้องผ่านการพลักพรากจากกันด้วยความตาย ผ่านความทุกข์จากการที่บ้านแตกสาแหรกขาด รับรู้ความทุกข์จากการสูญเสียทุกอย่างและการเหลือตัวคนเดียว ทว่า ช่วงที่ผ่านมาแม้นางจะผ่านเรื่องราวอย่างที่ท่านอาจารย์บอกจริงๆ แต่เขารู้สึกได้รางๆ ว่าเรื่องราวไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
แม้ท่านอาจารย์บอกว่าเคราะห์กรรมของนางผ่านพ้นไปแล้ว แต่หากพวกผู้อาวุโสเฟิ่งไม่ได้กลับมาอย่างปลอดภัยก็แล้วไป ยามนี้พวกเขากลับมาอย่างปลอดภัย เขากลับรู้สึกว่า เคราะห์กรรมนี้อาจยังไม่หมดเพียงเท่านี้
นึกมาถึงตรงนี้ สีหน้าเขาแลดูเคร่งเครียดขึ้นมา เขาไม่ได้สงสัยความสามารถในการทำนายอนาคตของท่านอาจารย์ เพียงแต่จากสัญชาตญาณของเขา เขารู้สึกว่ามันไม่ได้ง่ายดายขนาดนั้น
ลังเลอยู่ครู่หนึ่ง เขาเอากระดองเต่าดำออกมาจากแหวนห้วงมิติ จากนั้นก็เอาเหรียญทองแดงสองสามเหรียญใส่เข้าไป ในมือกำกระดองเต่าดำไว้ ประกายสงสัยพาดผ่านดวงตา
เขาเป็นศิษย์ผู้สืบทอดวิชามาจากผู้เฒ่าเทียนจี นอกจากติดตามฝึกฝนวรยุทธ์กับท่านอาจารย์แล้ว ไม่มีใครรู้ว่าเขายังศึกษาวิชาทำนายชะตามาจากท่านอาจารย์ด้วย เพียงแต่ ท่านอาจารย์เคยบอกไว้ การทำนายชะตากับวิชาโหราศาสตร์เดิมก็เป็นศาสตร์เดียวกันอยู่แล้ว ถือว่าเป็นการล้วงความลับลิขิตฟ้า อาจทำตนเองบาดเจ็บได้ง่าย แม้จะสอนวิชาให้เขาแล้ว แต่กลับกำชับว่าอย่าให้ผู้ใดรู้เด็ดขาด
เพราะทันทีที่บอกผู้อื่น คนที่มาขอร้องให้ทำนายชะตาต้องมีไม่น้อยแน่นอน และเมื่อทำนายชะตาไปนานๆ คนที่เสียหายก็มีแต่ผู้ทำนายชะตาเท่านั้น ด้วยเหตุนี้ ท่านอาจารย์สั่งเขาไว้ ว่าก่อนอายุสามสิบปีห้ามใช้วิชานี้
แม้เขาจะคุ้นเคยกับการทำนายชะตาแล้ว แต่ก็ทำตามคำสั่งของท่านอาจารย์มาโดยตลอด ไม่เคยใช้วิชาด้วยตนเอง ทว่าตอนนี้ เขากลับมีความคิดวู่วามอยากทำนายชะตา
เขาค่อยๆ หลับตา ตั้งสมาธิมั่น สองมือกำกระดองเต่าดำแล้วเขย่าเบาๆ เสียงของเหรียญทองแดงกระทบกระดองเต่าดำดังขึ้น เกิดเป็นเสียงก๊องแก๊ง ยังมีเสียงเหรียญทองแดงกระทบกันเองดังปนมารางๆ…
………………………………….