เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1783 กลั่นยาในห้วงมิติ / ตอนที่ 1784 เสมอกันแล้ว
ตอนที่ 1783 กลั่นยาในห้วงมิติ / ตอนที่ 1784 เสมอกันแล้ว
ตอนที่ 1783 กลั่นยาในห้วงมิติ
ทุกคนพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรมากความ มีเพียงเจ้าสำนักที่ชะงักครุ่นคิดเงียบๆ ครู่หนึ่ง ก่อนจะถามว่า “เขากลั่นยาล้ำค่าระดับหกได้หรือ?”
“น่าจะได้ขอรับ”
มู่หรงอี้เซวียนตอบ ข่าวลือข้างนอกบอกว่านางทำได้ แต่เขาเองก็ไม่เคยได้รับยาล้ำค่าระดับหกจากนางสักเม็ด ฉะนั้นจึงไม่ค่อยแน่ใจนัก ทว่า จากที่เขารู้จักนางมา หากเฟิ่งจิ่วไม่มีปัญญากลั่นยาออกมา นางไม่มีทางปฏิเสธข้อเสนอของเจ้าสำนักตรงๆ เช่นนั้นแ
ได้ยินอย่างนั้น เจ้าสำนักไม่พูดอะไรอีก เพียงหันไปมองจวนถ้ำที่เฟิ่งจิ่วอยู่ เขาอยากรู้ ว่าเด็กหนุ่มจะสามารถกลั่นยาชนิดนั้นออกมาได้จริงหรือไม่?
“ถ้าอย่างนั้น แสดงว่าตาเฒ่าหยวนชิงก็คงไม่ตายแล้ว นึกไม่ถึง ตาเฒ่าสติฟั่นเฟือนผู้นั้นกลับทายถูกเสียได้” เจ้าเขาคนหนึ่งที่ยืนอยู่ด้านหลังพึมพำเสียงเบา
ทุกคนที่ได้ยินเขาพึมพำพลันนึกขึ้นมาได้ คล้ายว่าตอนที่เกิดเรื่องกับเซียนหยวนชิง ขณะที่พวกเขาร้อนรุ่มใจ ตาเฒ่าที่สติไม่ค่อยดีคนหนึ่งในสำนักของพวกเขาเหมือนจะพูดว่าเซียนหยวนชิงไม่มีทางตายอะไรทำนองนั้น
เดิมทีทุกคนไม่ได้เก็บคำพูดเขามาใส่ใจ ถึงอย่างไรแปดในสิบตาเฒ่านั่นก็ทายไม่เคยแม่น กลับนึกไม่ถึงคราวนี้ถูกเขาทำให้แปลกใจเสียแล้ว เซียนหยวนชิงดวงยังไม่ถึงฆาตจริงๆ มีผู้สูงส่งมาช่วยเขาไว้
เพียงแต่ไม่รู้ว่า เด็กหนุ่มชุดแดงคนนี้เป็นยอดฝีมือมาจากแห่งหนใด? เรื่องที่แม้แต่พวกเขายังไม่มีทางรับมือ เขากลับแทบไม่ต้องเปลืองแรง มั่นอกมั่นใจ และแก้พิษครึ่งหนึ่งได้อย่างง่ายดาย
จุดนี้ ทำให้พวกเขาจำต้องยอมรับอย่างปฏิเสธไม่ได้
“เอาล่ะ แยกย้ายกันเถิด! เรื่องที่นี่ให้เก็บไว้เป็นความลับ ห้ามแพร่งพรายออกไปส่งเดช โดยเฉพาะก่อนที่เซียนหยวนชิงจะหลุดพ้นจากอันตรายอย่างแท้จริง ทุกอย่างต้องเป็นความลับ” เจ้าสำนักออกคำสั่ง จากนั้นก็หมุนตัวจากไป
ทุกคนรับคำพร้อมกัน ก่อนจะทยอยพากันกลับ
ในอีกด้าน หลังจากที่เฟิ่งจิ่วเข้าไปในจวนถ้ำ ก็เริ่มลงมือกลั่นยาทันที แม้ตัวเธอจะเข้าไปในจวนถ้ำ แต่เพราะไม่อยากทำให้คนอื่นแตกตื่น หลังจากเข้ามาในจวนถ้ำเธอก็วางค่ายกล จากนั้นก็หายตัวเข้าไปกลั่นยาในห้วงมิติ
ในขณะที่คนในสำนักบุปผาเซียนคิดว่าอย่างไรยาเตานี้ก็ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะเสร็จ กระทั่งเหล่าเจ้าเขาและเจ้าสำนักล้วนพากันจับจ้องท้องฟ้า พลางคิดในใจ หากยาระดับหกกลั่นสำเร็จ ท้องฟ้าจะต้องเปลี่ยนสี พายุจะต้องก่อตัว และเกิดสายฟ้าฟาดแน่นอน
ด้วยเหตุนี้ พวกเขาจึงไม่จำเป็นต้องไปที่จวนถ้ำของเซียนหยวนชิง ก็สามารถรู้ได้ว่าเด็กหนุ่มชุดแดงกลั่นยาสำเร็จแล้วหรือไม่
ใครเลยจะรู้ ยามพลบค่ำ ขณะที่เหล่าเจ้าเขาและเจ้าสำนักไม่ทันสังเกตสีท้องฟ้า เฟิ่งจิ่วที่อยู่ในห้วงมิติได้กลั่นยาเสร็จแล้ว เธอเก็บยาสามเม็ดแยกใส่ขวด แล้วหายตัวออกมาจากห้วงมิติ
“เจ้าสำนัก เด็กหนุ่มผู้นั้นแม้จะกลั่นยาสำเร็จ ก็ไม่มีทางกลั่นได้ในเวลาหนึ่งวันแน่นอน ข้าว่า อย่างเร็วเขาก็ต้องใช้เวลาสามวัน” ชายชราคนหนึ่งพูดกับเจ้าสำนักที่คอยชะเง้อมองท้องฟ้าเป็นระยะด้วยรอยยิ้ม
“เด็กหนุ่มผู้นี้เป็นผู้ใดมาจากไหนไม่รู้ นิสัยแปลกประหลาด ความสามารถกลับไม่ธรรมดา เขาทำอะไรยากจะเอาหลักเหตุผลปกติมาตัดสินได้”
เจ้าสำนักเอ่ย สายตาะที่ละออกจากท้องฟ้า หันมามองชายชรา ถามว่า “ช่วงก่อนสั่งให้ศิษย์หลายคนออกไปสืบข่าวอย่างลับๆ ไหนว่าได้ข่าวของเฟิ่งซิงแล้วไม่ใช่หรือ? เหตุใดจนถึงตอนนี้ก็ยังไม่เห็นเงาคน?”
“เฮ้อ!”
ชายชราถอนหายใจ “เจ้าสำนักยังไม่ทราบ ศิษย์ที่ถูกส่งตัวออกไปเหล่านั้นถูกผู้ฝึกวิชามารสังหารไปไม่น้อย เบาะแสเองก็…” เขาส่ายหน้า คล้ายนึกอะไรขึ้นได้ กล่าวต่อว่า “แต่ช่วงก่อนข้ากลับได้ยินข่าวหนึ่งมา เพียงแต่ยังไม่มีโอกาสรายงานเจ้าสำนัก”
………………………………….
ตอนที่ 1784 เสมอกันแล้ว
“ข่าวอะไรหรือ?” เจ้าสำนักถาม
“คืออย่างนี้ขอรับ เรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเฟิ่งซิงนั้นมีหลายข่าวลือกระจายออกมา ข่าวลือหนึ่งในนั้นบอกว่าเป็นไปได้มากว่า เฟิ่งซิงอาจเป็นองค์หญิงของแคว้นระดับล่างแห่งหนึ่งฝั่งแผ่นดินใหญ่แถบล่างแม่น้ำ แต่ข่าวล่าสุดบอกว่าแคว้นนั้นเหมือนจะล่มสลายไปแล้วเมื่อครึ่งปีก่อน ส่วนข่าวอื่นกลับยังไม่มี ที่เหลือเป็นฝั่งแผ่นดินใหญ่แถบเหนือแม่น้ำเรา หนึ่งในนั้นที่ถูกหลายสำนักหมายตาไว้เป็นหญิงสาวในตระกูลหนึ่ง”
เขาหยุดเล่าไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเสริมว่า “ได้ยินมาว่าหญิงสาวผู้นี้ยามเกิดท้องฟ้ามีนิมิตมงคลปรากฏ อีกทั้งหญิงสาวผู้นี้มีวรยุทธ์โดดเด่น อยู่ในสังกัดของสำนักตะวันฉาย ซึ่งเป็นหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ เป็นลูกศิษย์ของเซียนผู้หนึ่ง ชื่อเสียงในสำนักตะวันฉายค่อนข้างดีทีเดียว
ยามข่าวนี้แพร่กระจายออกมา สำนักตะวันฉายยังส่งคนไปเยี่ยมผู้เฒ่าเทียนจี อยากถามว่าหญิงสาวผู้นี้ใช่เฟิ่งซิงหรือไม่ เพียงแต่ ผู้เฒ่าเทียนจีกลับไม่ตอบตามตรง เพียงเอ่ยวาจาคลุมเครือสองสามประโยคเท่านั้น ในระยะเวลาไม่กี่เดือนมานี้ หญิงสาวผู้นี้เหมือนจะถูกสำนักตะวันฉายให้ความสำคัญขึ้นมาก
แม้สำนักตะวันฉายจะไม่ได้ปล่อยข่าวออกมา แต่คนบางส่วนที่ได้ยินข่าวล้วนกำลังคาดเดา ว่าหญิงสาวคนนี้อาจเป็นเฟิ่งซิง”
ได้ยินอย่างนั้น เจ้าสำนักครุ่นคิดเล็กน้อย กล่าวว่า “เช่นนั้นเจ้าส่งคนออกไปสืบดูหน่อย หากเป็นเรื่องจริง สำนักตะวันฉายคงไม่ปิดบังสามสำนักใหญ่ของเรา เพราะอย่างไรแม้จะรู้ว่าเฟิ่งซิงคือผู้ใดแล้ว พวกเราก็เพียงปกป้องคุ้มครอง ไม่ได้จะทำอะไรนาง”
“ขอรับ อย่างนั้นพรุ่งนี้ข้าจะส่งคนไปที่สำนักตะวันฉายสักหน” ชายชรารับคำ ขณะกำลังจะถอยออกไป ก็ได้ยินเสียงป้ายหยกส่งข่าวดังขึ้น หลังได้ยินคำพูดในป้ายหยก ชายชราก็มองเจ้าสำนักด้วยสีหน้าประหลาดใจ
“เจ้าสำนัก เมื่อครู่มีคนส่งข่าวมา บอกว่าเด็กหนุ่มชุดแดงกลั่นยาเสร็จแล้ว อีกทั้งหลังจากกินยาไปเป็นเวลาครึ่งก้านธูป ตอนนี้เซียนหยวนชิงฟื้นแล้ว”
ได้ยินอย่างนั้น เจ้าสำนักประหลาดใจ “เร็วปานนี้เชียวหรือ? พวกเราอยู่ที่นี่กลับไม่เห็นความเคลื่อนไหวอะไรเลย ไหนว่าเป็นยาระดับหกอย่างไรเล่า? เหตุใดจึง…”
เขาเงยหน้ามองท้องฟ้าโดยสัญชาตญาณ ยังคงเงียบสงบดังเดิม จึงอดครุ่นคิดไม่ได้ หรือว่าเด็กหนุ่มคนนั้นมียาแก้พิษอยู่แล้ว? ไม่เช่นนั้น หากยาระดับหกกลั่นเสร็จแล้ว จะไม่มีความเคลื่อนไหวใดเลยได้อย่างไรกัน?
ทั้งสองลุกขึ้นเดินออกไปพร้อมกัน ตั้งใจจะไปดูว่าเกิดอะไรขึ้นกันแน่?
ขณะเดียวกัน ณ ยอดเขาที่เซียนหยวนชิงอยู่ มู่หรงอี้เซวียนกำลังแนะนำเฟิ่งจิ่วให้เขา “ท่านอาจารย์ เขาก็คือเฟิ่งจิ่ว ครั้งนี้โชคดีที่มีนานง ท่านถึงได้ปลอดภัย”
เซียนหยวนชิงมองเฟิ่งจิ่วพลางพยักหน้า “ขอบใจมาก ข้าเคยได้ยินอี้เซวียนพูดถึงเจ้า นึกไม่ถึง กลับได้พบกันในสถานการณ์เช่นนี้”
“ท่านเซียนเพิ่งฟื้น ร่างกายยังอ่อนแรงอยู่มาก พักผ่อนก่อนเถิด! พักฟื้นสักระยะหนึ่ง ร่างกายจะค่อยๆ ดีขึ้นเอง” เฟิ่งจิ่วกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนน้อม
“ได้” เซียนหยวนชิงเพิ่งฟื้น ร่างกายยังอ่อนแรงอย่างที่เธอพูดจริงๆ เขาพูดเพียงไม่กี่ประโยค ก็หลับไปอีกครั้ง
มู่หรงอี้เซวียนกับเฟิ่งจิ่วเดินออกมา ครั้นถึงข้างนอก เฟิ่งจิ่วก็ยื่นยาขวดหนึ่งให้มู่หรงอี้เซวียน “ยาในนี้กินวันละหนึ่งเม็ด หลังจากสามวันให้กินยาปรับลมปราณอื่นก็ได้แล้ว ตอนนี้พิษแก้หมดแล้ว คนก็ไม่เป็นไรมากแล้ว เรื่องที่ข้ารับปากท่านถือว่าทำสำเร็จแล้ว”
“ขอบใจมาก ครั้งนี้ขอบใจเจ้ามากจริงๆ” เขาซาบซึ้งใจอย่างแท้จริง
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ โบกมือเหมือนไม่คิดอย่างนั้น ยิ้มบอกว่า “เสมอกันแล้ว ไม่ต้องพูดถึงเรื่องขอบใจไม่ขอบใจ จะว่าไป นับว่าข้าได้กำไรเสียด้วยซ้ำ”