เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1791 เด็กหนุ่มใสซื่อ / ตอนที่ 1792 ตำหนิสั่งสอน
ตอนที่ 1791 เด็กหนุ่มใสซื่อ
“ท่านลุงลู่” เฟิ่งจิ่วมองเขา ยิ้มจนตาหยีแล้วขานเรียกเสียงดังฟังชัด กลับไม่รู้สึกกระดากปากหรือเขินอายแต่อย่างใด
ลู่จี้หมิงที่อยู่ข้างๆ เห็นพ่อของตนเองเข้ากันดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยกับเด็กหนุ่ม ก็ไม่เข้าใจ ก็แค่เด็กหนุ่มคนหนึ่ง เขาไม่เห็นว่าจะมีอะไรโดดเด่น ไม่เข้าใจจริงๆ เหตุใดพ่อของเขาจึงคุยกับเจ้าเด็กนั่นถูกคอนัก
เพราะมีเฟิ่งจิ่วเพิ่มมาด้วย คนในตระกูลลู่ที่คอยนำทางข้างหน้าเป็นชายฉกรรจ์สองคน ข้างหลังยังมีอีกหลายคน เฟิ่งจิ่วกับนายท่านลู่รวมถึงลู่จี้หมิงเดินอยู่ตรงกลาง ตลอดเส้นทาง ลู่จี้หมิงทำได้เพียงมองดูเฉยๆ เพราะเขาค้นพบว่าเด็กหนุ่มที่ไม่มีอะไรสะดุดตาคนนี้ พอได้พูดคุยกัน เหนือใต้ออกตกไม่มีอะไรเลยที่เขาไม่รู้ ไม่ว่าพ่อของเขาคุยอะไรด้วย เขาล้วนต่อบทสนทนาได้ทุกเรื่อง
แต่เขากลับค้นพบเรื่องหนึ่ง สิ่งที่เด็กหนุ่มคนนี้รู้เป็นเพียงความรู้ แต่เหมือนเขาจะไม่เข้าใจรูปแบบและสถานการณ์ในแต่ละพื้นที่ของที่นี่นัก สำหรับเรื่องเหล่านี้เรียกได้ว่าเขาไม่รู้เลย
“สหายน้อยเฟิ่ง เจ้าคงลงเขาไม่บ่อยกระมัง? เหตุใดเด็ดสมุนไพรมาจนถึงเขาลูกนี้ได้เล่า?” นายท่านลู่ประหลาดใจ เด็กหนุ่มคนนี้ทั้งที่มีความรู้อยู่เต็มหัว กลับไม่ค่อยรู้สถานการณ์ของแต่ละพื้นที่มากนัก เหมือนอาศัยอยู่ในเขาลึกอย่างไรอย่างนั้น
“หา? ท่านรู้ได้อย่างไร?” เฟิ่งจิ่วเบิกตากว้าง หน้าตาฉงนฉงาย สีหน้าท่าทางใสซื่อเสียจนหลอกคนได้สนิทใจ ไม่มีใครดูออกเลยว่าที่จริงแล้วนี่คือจิ้งจอกน้อยต่างหาก
ได้ยินเฟิ่งจิ่วถามอย่างนั้น คนอื่นๆ ต่างมุมปากกระตุก ทั้งสองพูดคุยกันมาตลอดทาง พวกเขาได้ยินหมด หากแค่นี้ยังไม่รู้ เช่นนั้นก็ใช้ชีวิตมาเสียเปล่าแล้วกระมัง
ที่แท้เจ้าหนุ่มนี่ก็หัวช้านี่เอง พอได้ยินเขาถามอย่างนี้ก็ยิ่งรู้สึกว่าหัวช้า เขาคงไม่คิดว่าคนอื่นล้วนเหมือนเขา ที่อาศัยอยู่ในเขาลึกจนโง่งมหมดกระมัง?
“ฮะๆๆ…”
นายท่านลู่หัวเราะอย่างเบิกบานใจ บางทีอาจเพราะท่าทางของเฟิ่งจิ่วชวนให้ขบขัน หรืออาจเพราะคำถามซื่อๆ ที่ชวนหัวเราะนั่น ได้ยินเพียงเสียงหัวเราะทุ้มหนาของเขาเปล่งออกจากกลางอก แฝงไว้ด้วยความเบิกบานดังก้องไปทั่วผืนป่า
“สหายน้อยเฟิ่ง คุยกับเจ้าช่างมีความสุขจริงๆ” นายท่านลู่ว่า รู้สึกเหมือนร่างกายรู้สึกผ่อนคลายขึ้นไม่น้อย
“ฮี่ๆ” เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ ไม่ได้ตอบอะไร
สิ่งที่ทำให้เฟิ่งจิ่วนึกไม่ถึงก็คือ พวกเขาไม่ได้บอกเธอว่าเส้นทางนี้ใช้เวลานานเท่าใดจึงจะลงเขาได้ เธอเองก็ไม่ได้ถาม เพียงตามพวกเขามาตลอดเส้นทาง กระทั่งฟ้ามืด พวกเขาก่อไฟพักผ่อนกลางป่า ครั้นถาม กลับรู้ว่ายังเดินทางไม่ถึงหนึ่งในสามด้วยซ้ำ
“สหายน้อยเฟิ่ง เจ้าไม่ได้บอกว่าไม่มีเรื่องรีบร้อนอะไรหรอกหรือ? เช่นนั้นก็ไม่ต้องรีบหรอก เดินทางอีกไม่กี่วันเดี๋ยวก็ถึงตีนเขาแล้ว” นายท่านลู่ยิ้มบอก นั่งลงข้างกองไฟ แล้วกวักมือเรียกเฟิ่งจิ่ว “มาๆ มานั่งตรงนี้ ตรงนี้อุ่นกว่า”
“ขอรับ” เธอรับคำ ขณะเดินสาวเท้าเดินไป จู่ๆ เสียงที่ทำให้ทุกคนตกตะลึงก็ดังออกมาจากตะกร้าที่อยู่บนหลังของเธอ
“กระต๊ากๆๆ!”
ทุกคนอึ้ง ต่างพากันหันไปมองตะกร้าของเธอ
เห็นสายตาตกตะลึงของทุกคน เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ “ก่อนหน้านี้ข้าจับไก่ป่ามา กินไปหนึ่งตัว ยังเหลืออยู่อีกหนึ่งตัว เดาว่าเป็นเพราะข้าตีมันสลบไป ตลอดทางมานี้มันก็เลยไม่ร้องเลยสักแอะ”
ขณะพูด เธอปลดตะกร้าบนหลังลง ยื่นห่อไก่ย่างที่เหลือครึ่งตัวให้คนข้างๆ “ท่านลุงลู่ รบกวนท่านช่วยข้าถือไว้หน่อย นี่เป็นไก่ย่างที่ข้ากินเหลือเมื่อเช้า”
นายท่านลู่อึ้งๆ ยื่นมือไปรับ พลางมองห่อของในมืออย่างงงงัน ไก่ย่างหรือ?
………………………………….
ตอนที่ 1792 ตำหนิสั่งสอน
เขาประคองไก่ย่างไว้กลางสองฝ่ามือ แล้วมองเด็กหนุ่มที่กำลังควานหาของในตะกร้าสมุนไพร เห็นแวบๆ เพียงว่าเขาดึงตาข่ายผืนหนึ่งออก แล้วจับไก่เขาที่อยู่ในนั้นออกมา
“นี่อย่างไร ท่านลุงลู่ รบกวนท่านเอาให้พวกเขาจัดการที จะได้เอามาย่างให้ท่านลุงกิน” เฟิ่งจิ่วยื่นไก่ที่กำลังกระพือปีกขัดขืนให้ลู่จี้หมิงที่อยู่อีกด้าน
ลู่จี้หมิงมองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง ก่อนจะรับแล้วยื่นให้คนข้างหลัง พร้อมกำชับให้พวกเขานำไปจัดการ
ชายชราชุดเทาคนนั้นชะโงกหน้าเข้ามาดูในตะกร้าสมุนไพร ก่อนถามว่า “เจ้าเก็บไก่ป่าไว้ในนี้ สมุนไพรในนี้น่าจะถูกทับเสียแล้วกระมัง?”
เห็นเพียงสมุนไพรกระเซอะกระเซิงและตาข่ายสีดำผืนหนึ่งรางๆ เพราะแสงสว่างตอนกลางคืนค่อนข้างน้อย จึงแยกไม่ออกว่าข้างในเป็นสมุนไพรอะไรบ้าง ส่วนตาข่ายสีดำผืนนั้น เขากลับเห็นมันเป็นเพียงตาข่ายธรรมดาทั่วไป
“ไม่เป็นไรขอรับ เป็นแค่สมุนไพรธรรมดาเท่านั้น ล้างแล้วนำไปตากก็ยังใช้ได้ อีกอย่าง ข้าตั้งใจจะเอาไปขายในเมือง ถึงหน้าตาจะไม่น่าดูนัก แต่ก็น่าจะขายได้ราคาบ้าง” เธอยิ้มบอก พลางจัดระเบียบของในตะกร้า จากนั้นก็วางตะกร้าไว้ข้างหลัง
“ท่านลุง มา เอามาให้ข้าเถิด ข้าเอาไปอุ่นให้ร้อนแล้วกินต่อได้” เธอชี้ไปที่ไก่ย่างที่เหลือเพียงครึ่งตัว
“ให้เจ้า” นายท่านลู่ยื่นให้เขา เห็นเขาแกะห่อออก นำไก่ย่างไปเสียบกิ่งไม้แล้วนำไปย่างไว้เหนือไฟ จึงเอ่ย “ถ้าอย่างไรไม่เอาแล้วก็ได้กระมัง ให้พวกเขาย่างตัวใหม่ให้ รสชาติก็จะได้ดีกว่าหน่อย”
เฟิ่งจิ่วพลิกหมุนกิ่งไม้เสียบไก่ในมือ ตอบว่า “ไม่ต้องขอรับ ไม่ต้อง ข้ากินตัวนี้ก็พอแล้ว”
เห็นอย่างนั้น นายท่านลู่กลับไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงแต่ พอไก่ย่างในมือเฟิ่งจิ่วถูกย่างจนร้อนแล้ว กลิ่นหอมพลันกระจายออกมา ทำเอาเขาอดกลืนน้ำลายไม่ได้ “ไก่ย่างของเจ้ากลิ่นหอมมากทีเดียว!”
“อาศัยอยู่ในเขาก็จำต้องมีฝีมือ ไม่เช่นนั้นก็ไม่ได้กินของดีหรอกขอรับ” เฟิ่งจิ่วยิ้มบอก หันมองนายท่านลู่ที่อยู่ข้างๆ เอ่ยว่า “นี่เป็นตัวที่ข้ากินแล้ว ข้าจะไม่แบ่งท่านก็แล้วกัน อีกเดี๋ยวข้ากินเสร็จแล้วจะช่วยย่างไก่ป่าตัวนั้นให้ท่าน!”
“ฮ่าๆๆ ดี” นายท่านลู่พยักหน้ารับ
ด้วยเหตุนั้น หลังจากเฟิ่งจิ่วกินเสร็จ ก็รับไก่ป่าที่ถูกทำความสะอาดเรียบร้อยแล้วมาลงมือย่าง พอเธอจะโรยเครื่องเทศลงบนไก่ป่า ชายฉกรรจ์คนหนึ่งก็ตวาดถาม “เจ้าใส่อะไรลงไป!” จากนั้นก็ทำท่าจะเข้าไปแย่งขวดเครื่องเทศในมือเธอ
เฟิ่งจิ่วหรี่ตา มืออีกข้างที่ถือกิ่งไม้ไว้ตวัดไปที่มือของชายคนนั้นที่ยื่นเข้ามา ได้ยินเพียงเสียงเพี๊ยะ จากนั้นเสียงซี๊ดปากของชายคนนั้นก็ดังตามมา
“ซี๊ด!”
ชายฉกรรจ์หดมือกลับโดยสัญชาตญาณ เบิกตากว้างจ้องเฟิ่งจิ่วอย่างเดือดดาล ครั้นยกมือขึ้นมาดู ก็เห็นหลังมือมีรอยแดงเส้นหนึ่ง จึงโมโห “เจ้าเด็กนี่กล้าตีข้าหรือ!” มือกำหมัดก็จะเหวี่ยงใส่เฟิ่งจิ่ว
“กำเริบนัก!”
นายท่านลู่ที่อยู่ด้านหนึ่งตวาดเสียงเข้ม ในน้ำเสียงแฝงไว้ด้วยบารมีของผู้อยู่สูงกว่า ฟังจนชายฉกรรจ์สะท้านไปทั้งใจ เจ็บแปลบที่แก้วหู รีบหดมือกลับแล้วก้มหน้า ถอยหลังไปหนึ่งก้าว
นายท่านลู่ตวัดสายตามอง ตำหนิสั่งสอนว่า “ยิ่งอยู่ยิ่งไร้กฎระเบียบแล้วจริงๆ! ยังไม่ถอยไปอีก!”
“ขอรับ” ชายฉกรรจ์คนนั้นถลึงตาจ้องเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง แล้วจึงค่อยก้มหน้าถอยออกไป
“สหายน้อยเฟิ่ง เจ้าอย่าถือสา พวกเขาทำไปเพราะเป็นห่วงสุขภาพของข้า” เขายิ้มบอก มองเด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ด้วยสายตาลึกล้ำ ประหลาดใจที่เขาเฆี่ยนมือขององครักษ์ผู้ติดตามของเขาเมื่อครู่
เพราะความเร็วเช่นนั้น เรียกได้ว่าเร็วจนน่าเหลือเชื่อ