เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1809 ระวังข้าจะอัดเจ้า / ตอนที่ 1810 หอรวมสมบัติ
ตอนที่ 1809 ระวังข้าจะอัดเจ้า
เฟิ่งจิ่วหันมอง เห็นชายฉกรรจ์ทางนั้นถลึงตาวิ่งมา เธอรีบอุ้มเสือน้อยทำท่าจะหนี “เร็วเข้าๆ! มีคนมาแล้ว!”
ใครจะรู้ เสือน้อยเหมือนยังกินไม่อิ่ม มันกัดนมแกะไม่ยอมปล่อย พอถูกเธออุ้มขึ้นแล้วดึง กลับทำให้แม่แกะตัวนั้นเจ็บไปด้วย ได้ยินเพียงเสียงกรีดร้องเล็กแหลมดังขึ้น
“แบ๊!”
ปกติเสียงร้องของแกะจะนุ่มนวลรื่นหู แต่นาทีนี้กลับฟังดูเหมือนกำลังโอดครวญ แม่แกะตัวนั้นอยากถอยหนี แต่กลับถูกดึงจนถอยไม่ได้ ทำได้เพียงร้องแบ๊ๆ ด้วยความเจ็บปวด
“แบ๊!”
เสือน้อยเห็นอย่างนั้นก็เหมือนสนุกสนาน มันกลับเลียนแบบเสียงร้องของแกะ เฟิ่งจิ่วที่ได้ยินหนังหน้ากระตุก ฉวยโอกาสตอนที่มันอ้าปากอุ้มมันวิ่งหายเข้าไปในฝูงคน
“เจ้าเด็กเปรต อย่าหนีนะ!”
ชายฉกรรจ์ข้างหลังถลึงตาตะโกนด่า หันกลับไปดูแม่แกะของตนเอง ก็อดด่ากราดอีกครั้งไม่ได้ ก่อนจะจูงแม่แกะเดินไปข้างหน้า
ส่วนเฟิ่งจิ่ววิ่งเข้ามาในตรอกเล็กๆ เส้นหนึ่งแล้วจึงค่อยหยุด เธอตบหน้าอกตนเองหนึ่งทีแล้วก็ชะงักไป ยกมือตีหัวตนเองหนึ่งที “จริงๆ เลย ข้าจะวิ่งหนีทำไม? ข้าควักเงินออกมาจ่ายเขาก็สิ้นเรื่องแล้วไม่ใช่หรือ โง่จริงๆ”
“แบ๊!”
จู่ๆ เสียงแกะร้องก็ดังมาจากอกเสื้อ เฟิ่งจิ่วอึ้งงัน ก้มหน้ามอง ได้แต่ทำหน้าดำทึบ
“แบ๊! แบ๊ๆๆ!”
เสือน้อยราวกับค้นพบเรื่องสนุก มันกลับเลียนเสียงร้องของแกะไม่หยุด หางของมันส่ายไปส่ายมา หัวเล็กๆ ของมันยังถูไถหน้าอกของเฟิ่งจิ่วสะเปะสะปะ ราวกับกำลังร้องขอคำชม
“แบ๊!”
“แบ๊อะไรของแก!” เฟิ่งจิ่วตบหัวเสือน้อยอย่างไม่สบอารมณ์ “เจ้าเป็นเสือขาว เลียนเสียงร้องของแกะไปทำไม? มีความมุ่งมั่นบ้างหรือไม่? เป็นถึงเจ้าป่าแต่กลับเลียนเสียงร้องของแกะ? หากแม่ของเจ้าได้ยินต้องอกแตกตายเพราะเจ้าแน่”
“แบ๊!”
“ยังจะร้องแบ๊อีก?” เธอถลึงตาจ้อง เงื้อมือขึ้นทำท่าจะตบ
เสือน้อยหดคอ ดวงตาคู่นั้นจ้องมองเธอเหมือนไร้ความผิด “ฮื่อ!” ครางเสร็จ มันก็เรอออกมา
เห็นอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วจึงหัวเราะ ยื่นมือไปลูบท้องกลมๆ ของมัน “กินอิ่มขนาดนี้เลยหรือ? เช่นนั้นเจ้าเข้าไปเล่นในห้วงมิติก็แล้วกัน” เอ่ยจบ เห็นว่ารอบข้างไม่มีคน จึงเก็บเสือขาวเข้าไปในห้วงมิติ
จัดระเบียบเสื้อผ้าบนตัว ก่อนจะแบกตะกร้าสมุนไพรขึ้นหลังแล้วเดินออกจากตรอก เดินเตร็ดเตร่สังเกตการณ์ไปทั่วเมือง
“หอรวมสมบัติ?”
เฟิ่งจิ่วยืนอยู่หน้าประตูอาคารหรูหราแห่งหนึ่ง แหงนหน้าเล็กๆ มองตัวหนังสือขนาดใหญ่ที่อยู่ข้างบน พลางมองดูผู้คนที่เดินเข้าไปข้างใน ไม่ใช่ผู้ฝึกตนก็เป็นคนที่สวมใส่เสื้อผ้าที่ดูไม่ธรรมดา เห็นอย่างนั้น เธอจัดแจงเสื้อผ้า แล้วสาวเท้าหมายจะเดินเข้าไปข้างในด้วย
“ทำอะไรนั่น?”
ยังไม่ทันเดินเข้าไป ก็ถูกคนขวางไว้ก่อน
เธอชี้เข้าไปข้างใน “เข้าไปดูข้างใน”
“ไปๆๆ! เจ้าคิดว่าที่นี่เป็นที่ไหน? ใครก็เข้าไปดูได้ง่ายๆ งั้นหรือ?” คนเฝ้าประตูโบกมือไล่ ทำหน้าตารังเกียจ
“จะเข้าที่นี่ยังต้องมีกฎด้วยหรือ?” เธออดถามไม่ได้ พลางหันไปมองพิจารณาอีกรอบ แต่ก็ยังดูอะไรไม่ออก หนำซ้ำคนเหล่านั้นที่เข้าไป นอกจากสวมใส่เสื้อผ้าที่ค่อนข้างหรูหราแล้ว ก็ไม่มีอะไรพิเศษนี่นา!
“ไม่รู้กฎอะไรเลยแต่ก็ยังอยากเข้าไปดูข้างใน? รีบไปเสีย! ไม่เช่นนั้นระวังข้าจะอัดเจ้า!” คนเฝ้าประตูกำหมัดแล้วแกว่งไปแกว่งมาตรงหน้าเฟิ่งจิ่ว ทำหน้าข่มขู่
เฟิ่งจิ่วเห็นก็อดหรี่ตาหัวเราะไม่ได้ รอยยิ้มนั้น มองดูใสซื่อ และทึ่มทื่อเล็กน้อย แล้วก็ยังดูแปลกประหลาดด้วย…
………………………………….
ตอนที่ 1810 หอรวมสมบัติ
ทว่า เธอยังไม่ได้ทันพูดอะไร ก็ได้ยินเสียงดังมาจากข้างหลัง
“บอกให้เจ้ารอข้าไม่ใช่หรือ? เหตุใดเดินเร็วเช่นนี้!”
ชายชราชุดเทาผู้หนึ่งสาวเท้าเข้ามาช้าๆ มองเฟิ่งจิ่วที่ยืนอยู่ตรงนั้นแวบหนึ่ง ก่อนหันไปมองคนเฝ้าประตู “เขามากับข้า”
“ที่แท้ก็อาวุโสถาน” คนเฝ้าประตูสองคนรู้จักผู้มา ครั้นเห็นว่าเป็นอาวุโส จึงคารวะ มองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง จากนั้นก็ถอยไปยืนด้านหนึ่ง
เฟิ่งจิ่วยืนตะลึงอยู่ตรงนั้น มองชายชราชุดเทาด้วยความประหลาดใจ
“ไปเถิด!” ชายชราเอ่ย ก่อนจะสาวเท้าเดินเข้าไปข้างใน
เห็นอย่างนั้น เธอกลับไม่พูดอะไร เดินตามเขาเข้าไปข้างใน แค่เข้ามาข้างใน นึกไม่ถึงจะยุ่งยากเพียงนี้ จะเข้ามาในนี้ยังต้องมีกฎเกณฑ์อะไรด้วยหรือ? แล้วชายชราผู้นี้เป็นใคร? เหตุใดต้องช่วยเธอ?
“หอรวมสมบัติเป็นสถานที่ที่ใช้สิ่งของแลกสิ่งของ จะเข้ามาข้างในนี้ก็ไม่ได้มีกฎเกณฑ์อะไร เพียงแต่พวกที่ชอบดูแคลนคนอื่นจนเคยชินเป็นนิสัย เห็นเจ้าไม่มีสมบัติติดตัว แล้วยังแต่งกายธรรมดา จึงไม่ให้เจ้าเข้ามา”
ชายชราราวกับรู้ว่าเฟิ่งจิ่วกำลังคิดอะไร พอเข้ามาข้างในก็อธิบายให้เธอฟัง เขาหยุดเดิน หันมองเฟิ่งจิ่วที่อยู่ข้างๆ เหลือบมองตะกร้าสมุนไพรบนหลังเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง ก่อนกล่าว “เจ้าเป็นคนเก็บสมุนไพรกระมัง! อยากเห็นอะไรก็ดูได้ตามสบาย ผู้เฒ่ายังมีธุระ ขอตัวก่อน”
เขาเองก็ไม่ถามชื่อเสียงเรียงนามของเฟิ่งจิ่ว และไม่ได้บอกเฟิ่งจิ่วว่าเขาเป็นใคร เพียงพูดทิ้งท้ายไว้เท่านี้ก็หมุนตัวเดินจากไป
เฟิ่งจิ่วยักคิ้ว มุมปากยกขึ้นเผยยิ้มออกมา คนผู้นี้หน้าตาเย็นชาแต่กลับใจดี ชายชราที่ปั้นหน้าเคร่งขรึม กลับเอ่ยปากช่วยเหลือคนที่ไม่รู้จักกันอย่างเธอ
เฟิ่งจิ่วส่ายหน้ากับตนเองเงียบๆ จากนั้นก็สาวเท้าเดินเข้าไปข้างใน ตั้งใจจะเดินดูรอบๆ
สถานที่ที่ใช้สิ่งของแลกสิ่งของ? ข้างในนี้ จะมีของดีอะไรอยู่กันนะ?
เธอเดินเข้าไปข้างในพร้อมกับความฉงนฉงาย มาถึงข้างใน ก็เห็นของมากมายวางแสดงอยู่ในตู้กระจก ของแต่ละอย่างล้วนมีคำบรรยายเขียนไว้ว่าคืออะไร รวมถึงมีประโยชน์อย่างไร รวมถึงของที่อยากแลกด้วย ทำให้ผู้เข้าชมกระจ่างทันทีตั้งแต่แรกเห็น
เดินวนหนึ่งรอบแล้วก็ยังไม่เจอของต้องตา กลับกัน ตอนเดินอยู่ข้างในนี้ เฟิ่งจิ่วสัมผัสได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่กำลังมองเธออยู่ ความรู้สึกเหมือนเหยื่อที่ถูกจับตาดู ทำให้เธออดขมวดคิ้วเล็กน้อยไม่ได้
หลังจากมาที่นี่เธอก็สงบเสงี่ยมไม่น้อยแล้ว แปลงโฉมก็ทำแล้ว วรยุทธ์ก็เก็บซ่อนแล้ว เธอในตอนนี้ในสายตาคนนอก เป็นเพียงเด็กหนุ่มที่หน้าตาสะอาดสะอ้านและหล่อเหลาคนหนึ่งเท่านั้น คนเช่นนี้มีเกลื่อนถนน ไม่มีอะไรสะดุดตา เหตุใดยังมีคนเพ่งเล็งเธออีก?
เธอไม่ได้ตามหาสายตาคู่นั้นที่จับจ้องเธออยู่ แต่เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าตู้วางสินค้าตัวหนึ่ง ตู้ตัวนี้เป็นตู้วางเครื่องประดับ และอาวุธธรรมดาบางอย่าง
“เอากระจกบานนี้ให้ข้าดูหน่อย!” เธอบอกหญิงสาวคนหนึ่งที่ยืนอยู่ข้างตู้สินค้า
หญิงสาวคนนั้นมองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง แล้วยื่นกระจกให้ พลางอธิบายว่า “นี่เป็นกระจกหักเหแสง เหมาะให้หญิงสาวพกติดตัวมากกว่า มันเป็นกระจกด้านเดียว ส่วนอีกด้านสามารถสะท้อนแสงอาทิตย์เพื่อโจมตีได้”
เฟิ่งจิ่วใช้กระจกมาส่องดูคนที่จับตาดูเธอ มองผ่านกระจก เธอเห็นชายชราในชุดผ้าไหมยืนจ้องเธอจากชั้นสอง ส่วนสายตาที่เหมือนกำลังจ้องเหยื่อ ก็มาจากชายชราคนนี้
พอได้เห็นสิ่งที่อยากเห็น กอปรกับเห็นลายสลักด้านหลังกระจกประณีตงดงาม อ่านดูสิ่งของที่อยากแลกซึ่งเขียนกำกับไว้ จึงยิ้มถาม “กระจกบานนี้ใช้แลกกับยาสร้างฐานพลังหนึ่งเม็ดหรือ?”