เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1863 นายท่านมาเยือน / ตอนที่ 1864 ฆ่าเขา
ตอนที่ 1863 นายท่านมาเยือน / ตอนที่ 1864 ฆ่าเขา
ตอนที่ 1863 นายท่านมาเยือน
หญิงงามสองคนเดินตามหลังผู้อาวุโสกุ่ย ยามนี้ก็อดไม่ได้ที่จะเงยหน้าแอบมองพิจารณาสายลับชุดดำหนึ่งร้อยยี่สิบสามคนที่อยู่ตรงหน้า
คนพวกนี้ใช้เวลาเพียงสามเดือนก็กลายเป็นสายลับผู้ฝึกตนระดับเซียนเหินได้แล้ว?
“คารวะผู้อาวุโสกุ่ย!” ทุกคนคารวะอย่างนอบน้อม เสียงดังฟังชัดก้องไปทั่วสนาม
“อืม”
ผู้อาวุโสกุ่ยรับคำ สายตาคมปลาบมีประกายพาดผ่านยามมองพวกเขา ก่อนจะเอ่ยว่า “พวกเจ้าล้วนผ่านการฝึกฝนสายลับแล้ว เดิมทีต้องใช้เวลาหนึ่งเดือน แต่เพียงสามเดือนพวกเจ้าก็มีพลังเช่นนี้แล้ว ช่างทำให้ข้าประหลาดใจนัก ตอนนี้ ข้าจะมอบหมายภารกิจแรกให้พวกเจ้า”
ขณะที่ผู้อาวุโสกุ่ยกำลังจะมอบหมายภารกิจให้พวกเขา พลันนั้นเขาขมวดคิ้วเล็กน้อย สายตามองผ่านพวกเขา จับจ้องไปยังป่าลึกผืนนั้น บางทีอาจเพราะสัมผัสได้ถึงอะไรบางอย่าง หน้าเขาจึงเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย
หางตาของเฟิ่งจิ่วเหลือบเห็นว่าตรงนั้นมีประกายแสงเส้นหนึ่งพาดผ่าน อีกทั้งยังมีกระแสอากาศเคลื่อนไหว กอปรกับตรงนั้นยังเป็นจุดที่ตั้งของค่ายกลเคลื่อยย้าย ดูท่า คงจะมีคนออกมาจากค่ายกลเคลื่อนย้ายทางนั้น
ตามคาด ผู้อาวุโสกุ่ยรีบเก็บคำพูด ไล่หญิงงามสองคนข้างหลังออกไป แล้วสาวท้าวไปยังป่าผืนนั้นเร็วๆ ครั้นมาถึงค่ายกล ยามที่ผู้อาวุโสกุ่ยเห็นกลุ่มคนที่เดินออกมา ก็อดไม่ได้ที่จะก้าวเข้าไปด้วยความนอบน้อม
“คารวะนายท่าน!”
ลึกๆ ข้างในแอบหวั่นใจ เขาหลุบตาเก็บซ่อนความหวาดกลัวในดวงตา ลอบคิดในใจ เหตุใดนายท่านจึงมาที่นี่เวลานี้? เขาจะมาเหตุใดไม่ส่งข่าวมาบอกแม้แต่น้อย? หรือได้ยินอะไรมา?
ชั่วขณะหนึ่ง ร่างกายของเขาตึงเกร็ง หัวใจสั่นสะท้าน กลางฝ่ามือมีเหงื่อซึม
แม้ในวิหารราตรีอาจไม่มีผู้ฝึกตนระดับเซียนเหินร้อยกว่าคน แต่ผู้ฝึกตนที่ระดับสูงกว่าเซียนเหินกลับมีไม่น้อย โดยเฉพาะพวกคนที่ติดตามนายท่าน แต่ละคนล้วนสามารถทำลายเมืองทั้งเมืองได้ หากถูกจับได้ว่าเขาคิดไม่ซื่อ เกรงว่า…
“ทำไม? เห็นข้ามา เจ้ากลัวมากหรือ?” ชายชุดคลุมสีดำสวมหน้ากากหรี่ตา จ้องผู้อาวุโสกุ่ยที่คุกเข่าบนพื้น สายตาคมปลาบ ราวกับมองทะลุใจคนได้
ได้ยินอย่างนั้น ผู้อาวุโสกุ่ยหนักอึ้งไปทั้งใจ รีบตอบ “นายท่านโปรดระงับโทสะ เพราะพักนี้มีเรื่องบางอย่างเกิดขึ้น ข้าน้อยไม่คิดว่านายท่านจะมากะทันหัน จึง จึง…”
“เกิดอะไรขึ้น?” ชายชุดคลุมสีดำใส่หน้ากากตวัดมองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะละสายตาออกไป หันไปมองกลุ่มคนที่ยืนตัวตรงอยู่ตรงนั้น
“คืออย่างนี้ขอรับ ผู้ฝึกตนระดับเซียนเหินและผู้ฝึกวิชามารระดับกำเนิดวิญญาณที่อยู่ที่นี่ ล้วนถูกฆ่าระหว่างประมือกับสายลับ เรื่องนี้ข้าน้อยยังไม่ได้รายงานขึ้นไป จึงกลัวว่านายท่านจะเอาโทษ”
“อ้อ?”
เสียงของชายชุดคลุมสีดำสวมหน้ากากสูงขึ้นเล็กน้อย เขาสาวเท้าไปข้างหน้า “สายลับที่สั่งให้เจ้าฝึกฝนพวกนั้นน่ะหรือ? เพิ่งจะสามเดือนเองไม่ใช่รึ? เหตุใดจึงมีพลังสังหารผู้ฝึกตนระดับเซียนเหินของข้าได้แล้วเล่า?”
ชายชุดคลุมเอามือไพล่หลังแล้วเดินไปข้างหน้า สี่คนข้างหลังเดินตามไปช้าๆ เว้นระยะห่างไว้สามก้าว ผู้อาวุโสกุ่ยที่คุกเข่าอยู่บนพื้นเห็นอย่างนั้นก็รีบลุกขึ้นเดินตามมา พลางอธิบายอยู่ข้างๆ “นายท่านยังไม่ทราบ สายลับพวกนี้เพิ่งกลับมาจากการฝึกเมื่อวาน และเพราะกินยาเข้าไปพลังของพวกเขาจึงพัฒนาเร็วมาก สายลับหนึ่งร้อยยี่สิบสามคนมีเพียงไม่กี่คนที่อยู่ในระดับกำเนิดวิญญาณ นอกนั้นล้วนอยู่ในระดับเซียนเหินหมดเลยขอรับ”
………………………………….
ตอนที่ 1864 ฆ่าเขา
ครั้นได้ยินอย่างนั้น ชายชุดคลุมสีดำนัยน์ตาไหวระริก ประกายมืดมนพาดผ่านดวงตา เขาสาวเท้าไปข้างหน้า หยุดยืดอยู่ต่อหน้าคนหนึ่งร้อยยี่สิบสามคน กวาดมองผ่านร่างของพวกเขา พอสัมผัสได้ถึงระดับวรยุทธ์ของพวกเขา ก็ลอบพยักหน้ากับตนเอง
“ทำได้ดีมาก” เขาชำเลืองมองผู้ผู้อาวุโสกุ่ยที่เดินตามหลังมา “สามเดือนก็มีวรยุทธ์เช่นนี้ได้ จำต้องบอกว่าสายลับชุดนี้มีพรสวรรค์ที่ยอดเยี่ยมมาก”
“ข้าน้อยไม่กล้าเอาผลงาน นี่ล้วนเป็นเพราะยาที่เบื้องบนส่งมาให้ และมีทรัพยากรการฝึกฝนที่ดี ไม่เช่นนั้นก็คงไม่ได้ผลลัพธ์เช่นนี้ในเวลาอันสั้นหรอกขอรับ” ผู้อาวุโสกุ่ยรีบเอ่ย
“พวกเขาล้วนกินยาทะลวงใจแล้ว?” ชายชุดคลุมสีดำถาม
“ขอรับ” ผู้อาวุโสกุ่ยตอบอย่างนอบน้อม จากนั้นก็รีบหันไปสั่งคนหนึ่งร้อยยี่สิบสามคน “ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป นายของพวกเจ้าก็คือท่านที่อยู่ตรงหน้านี้! จะต้องฟังคำสั่งอย่างไร้เงื่อนไข! จงสาบานว่าจะจงรักภักดี แม้ตายหมื่นหนก็ไม่แปรพักตร์!”
“คารวะนายท่าน! พวกข้าขอสาบานว่าจะจงรักภักดี แม้ตายหมื่นหนก็ไม่แปรพักตร์!”
คนหนึ่งร้อยยี่สิบสามคนคุกเข่าลงด้วยความนอบน้อม ปฏิญาณตนด้วยเสียงอันดังก้อง สะท้อนไปทั่วทั้งสนาม ผู้อาวุโสกุ่ยได้ยินก็อดรู้สึกเสียดายยิ่งนัก
มนุษย์คำนวณหมื่นหนพันหนก็มิสู้สวรรค์ลิขิต เดิมเขาคิดจะครอบครองกำลังคนหนึ่งร้อยยี่สิบสามคนนี้เป็นของตนเอง ยามนี้เมื่อสถานการณ์เปลี่ยนเปลงไปเป็นเช่นนี้ ทำได้เพียงประเคนกำลังคนที่ฝึกฝนมากับมือให้ผู้อื่นเสียแล้ว…
ชายชุดดำเห็นอย่างนั้นก็คล้ายจะพอใจมาก เขาเหลือบมองผู้อาวุโสกุ่ยแบหนึ่ง ก่อนกลับไปกวาดมองเหล่าคนที่ยืนเรียงแถวกันอยู่ในแถวที่หนึ่ง น้ำเสียงทุ้มต่ำเย็นชาแฝงไว้ด้วยแววนึกสนุก “เช่นนั้นก็ให้ข้าดูหน่อย ว่าพวกเจ้าผ่านการฝึกฝนจริงๆ หรือยัง”
ได้ยินแล้ว แม้คนหนึ่งร้อยยี่สิบสามคนสวมหน้ากากไว้จึงดูเหมือนไร้อารมณ์ แต่พวกเขาก็อดหวั่นใจไม่ได้ นี่ต้องการจะทดสอบพลังของพวกเขางั้นหรือ? เขาจะทดสอบอย่างไร?
ท่ามกลางกลุ่มคน เฟิ่งจิ่วที่ยืนอยู่ข้างหน้าแม้สายตาไร้คลื่นลมเหมือนคนอื่นๆ แต่ครั้นเห็นชายชุดคลุมสีดำใส่หน้ากาก รวมถึงผู้ติดตามของเขา ก็อดตะลึงไม่ได้
หากเธอจำไม่ผิด คนที่ใส่หน้ากากผู้นี้ก็คือคนที่เธอเคยช่วยในโรงหมอตอนนั้น ผู้ชายที่นอนเปลือยทั้งตัว ใส่แต่หน้ากาก และพอเธอเดินเข้าไปในโรงหมอ ก็ได้กลิ่นเหม็นเน่าโชยมา
หากรู้แต่แรกว่าเขาเป็นนายแห่งวิหารราตรี ตอนนั้นเธอน่าจะสังหารเขาด้วยมีดเสีย น่าเสียดายนัก เธอไม่เพียงไม่ได้ฆ่าเขา กลับช่วยชีวิตเขาไว้
“เจ้า ออกมา” ชายชุดคลุมสีดำยกมือชี้ไปข้างหน้า สายตาและนิ้วมือชี้ไปยังจุดเดียวกัน นั่นก็คือเฟิ่งจิ่ว
เมื่อเห็นอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าว ยืนหลังตรงด้วยความนอบน้อม
“ทำทุกวิถีทาง ฆ่าเขาเสีย” ชายชุดคลุมสีดำเลื่อนนิ้วออกไป ชี้ไปยังผู้อาวุโสกุ่ยที่ยืนอยู่ด้านหนึ่ง
ผู้อาวุโสกุ่ยที่ได้ยินอย่างนั้น ก็พลันตกตะลึง ดวงตาเบิกกว้าง “นะ นายท่าน…”
“ขอรับ!” เฟิ่งจิ่วรับคำด้วยความนอบน้อม ก่อนโจมตีผู้อาวุโสกุ่ยในพริบตา ประกายคมกริบเยือกเย็นพาดผ่านกลางอากาศ พุ่งตรงไปยังเส้นชีพจรชีวิตของผู้อาวุโสกุ่ย
ผู้อาวุโสกุ่ยถอยกรูด มองชายชุดคลุมสีดำด้วยความตื่นตะลึง ราวกับไม่อยากเชื่อ และไม่เข้าใจเหตุใดจึงถูกปฏิบัติเช่นนี้ “นายท่าน ข้าน้อยทำอะไรผิดกันแน่?”
“เจ้าไม่รู้หรือว่าตนเองทำอะไรผิด?” ชายชุดดำกระตุกมุมปาก เผยรอยยิ้มกระหายเลือด สายตาเย็นชาจับจ้องไปที่ผู้อาวุโสกุ่ย “เจ้าคิดว่าเจ้าฆ่าคนที่นี่หมด แล้วจะไม่มีใครรู้แผนการของเจ้างั้นหรือ?”