เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1869 สายลับ / ตอนที่ 1870 สัปหงก
ตอนที่ 1869 สายลับ / ตอนที่ 1870 สัปหงก
ตอนที่ 1869 สายลับ
ชายชุดคลุมสีดำตวัดมองหมากตัวนั้นแวบหนึ่ง มุมปากกระตุกเล็กน้อยก่อนจะเดินต่อไป ทว่าครั้นเดินหมากไปได้พักหนึ่ง แล้วเห็นว่าหมากสีขาวล้อมตายหมากฝ่ายตนเองไว้ข้างใน ในที่สุดเขาก็อดพ่นลมหายใจออกมาไม่ได้
“เจ้าล้อมตายหมากของตนเองไว้ข้างในแล้ว เห็นหรือไม่? ตรงนี้” เขาชี้ไปที่หมากกองนั้นที่อยู่ตรงมุมกระดานของเด็กหนุ่ม หมากเหล่านั้นได้ปิดตายทางออกทั้งหมด
“ไม่ได้เดินอย่างนี้หรือขอรับ? แล้วเดินอย่างไร?” เฟิ่งจิ่วถามด้วยความสงสัย ลึกๆ ข้างในกลับแค่นหัวเราะ โมโหตายไปเลยยิ่งดี
“หาวิธีล้อมตายหมากสีดำของข้า” เขาสูดหายใจลึกๆ แล้วค่อยเอ่ย
“แต่หากข้าชนะจะทำอย่างไรเล่าขอรับ?” เธอถามด้วยความระมัดระวัง ทำหน้าเหมือนเธอจะชนะอย่างแน่นอน
“พรืด!”
ชายชุดคลุมสีดำหลุดหัวเราะ “เจ้าน่ะหรือ? เอาชนะข้าให้ได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน!”
ด้วยเหตุนั้น ทั้งสองจึงเริ่มเดินหมากใหม่อีกครั้ง เฟิ่งจิ่วเดินหมากไร้กลยุทธ์ใดๆ วางหมากทางซ้ายที ทางขวาที บางครั้งก็วางไกลลิบลับ บางครั้งก็ล้อมตายหมากสีขาวของตนเอง ชายชุดคลุมสีดำไม่พูดอะไรอีก เพียงอดทนจนเดินหมากจบตา
“ข้าแพ้แล้ว” เฟิ่งจิ่วเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน
“ไม่ใช่แพ้ธรรมดา แต่แพ้อย่างยับเยิน” ชายชุดคลุมสีดำเอ่ย โบกมือสั่งให้เขาถอยไปยืนข้างๆ
เวลานี้ ชายชราที่อยู่ข้างๆ หัวเราะเบาๆ “คุณชาย ข้าเดินหมากเป็นเพื่อนท่านดีหรือไม่?” เด็กหนุ่มนั่นดูแวบแรกก็รู้ว่าไม่รู้เรื่องการเดินหมาก เห็นเขาเดินหมากไร้กลยุทธ์ กระดานว่างตรงไหนก็วางตรงนั้น เรียกได้ว่าเป็นผู้ไม่รู้วิชาโดยแท้
“ไม่เดินแล้ว” เขาหรี่ตาลง เอนตัวนั่งพิงเก้าอี้ “ออกไปดูทีว่าพวกเขาจัดระเบียบเสร็จแล้วหรือยัง เสร็จแล้วก็ไป ไม่ต้องรอให้ถึงพรุ่งนี้แล้ว”
“ขอรับ” ชายชราลุกขึ้น เดินออกไปข้างนอก
เฟิ่งจิ่วยืนอยู่ตรงนั้น เงียบงันไม่ส่งเสียงสักนิด กระทั่งเวลาผ่านไปประมาณครึ่งชั่วยาม สี่คนข้างนอกเข้ามาพร้อมกัน หลังรายงานให้ชายชุดคลุมสีดำทราบ ชายชุดคลุมสีดำก็ลุกขึ้นแล้วเดินออกไป
เธอเดินตามหลังออกไปถึงข้างนอกจึงรู้ว่า นอกจากบางส่วนที่ถูกสั่งให้แฝงตัวเข้าไปในสี่สำนักใหญ่ พวกเขาจะพาคนที่เหลือไปทั้งหมด เพียงแต่จะแบ่งกลุ่มพาไปเท่านั้น
เฟิ่งจิ่วตามชายชุดคลุมสีดำรวมถึงชายชราและชายอีกสามคนไปที่ค่ายกลเคลื่อนย้ายเพื่อไปจากที่นี่ ครั้นเห็นประกายแสงพาดผ่าน และสัมผัสได้ถึงคลื่นพลังของค่ายกลอีกครั้ง สองเท้าก็ลอยลงบนพื้นอย่างมั่นคงแล้ว
ครั้นมาถึง ก็พบว่าที่นี่เป็นด้านหลังของตำหนักหนึ่ง ซ้ำยังเป็นตำหนักที่สร้างติดภูเขา เธอลอบประหลาดใจเล็กน้อย สายตากวาดมองพิจารณารอบๆ อย่างเงียบงัน พลางเดินตามหลังชายชุดคลุมสีดำอย่างมีระเบียบ
ที่นี่กว้างมาก แม้ไม่เห็นว่ารอบๆ จะมีคนคอยเฝ้าระวัง แต่ดวงจิตของเธอก็สัมผัสได้ว่าในที่ลับตาคนมีคนคอยจับตาดูอยู่ไม่น้อย อีกทั้งดูจากแรงกดดันและกลิ่นอายที่ซ่อนอยู่นั้น น่าจะเป็นผู้ฝึกตนที่ระดับสูงกว่าเซียนเหินขั้นสูงสุด กลิ่นอายเบาบางนัก หากนางไม่สังเกตดีๆ เกรงว่าจะไม่รู้สึก
เดินจากข้างหลังไปข้างหน้า คนข้างหน้าเดินเข้าไปในตำหนัก ส่วนชายชรากลับชะลอฝีเท้ารั้งท้ายแล้วหันมาพูดกับเธอ “หมายเลขเก้า”
“ขอรับ” เฟิ่งจิ่วมองเขา
“ในเมื่อคุณชายให้เจ้าคอยติดตาม อย่างนั้นตั้งแต่นี้ เจ้าก็จงคอยอยู่ข้างกายอย่าได้ห่างแม้แต่ก้าวเดียว ในฐานะองครักษ์เงา หากไม่จำเป็น ก็อย่าแสดงตัวให้ผู้อื่นเห็น เจ้าติดตามคุณชาย หากไม่มีคำสั่งของคุณชาย ก็ไม่จำเป็นต้องปรากฏตัว”
“ขอรับ” เธอรับคำ
“เข้าไปเถิด!” เขาพยักหน้า พาเฟิ่งจิ่วเดินเข้าไปข้างใน ทันทีที่เข้าไป เฟิ่งจิ่วหายตัวไปอยู่ในที่ลับ ขณะเดียวกันก็เก็บซ่อนกลิ่นอายด้วย
………………………………….
ตอนที่ 1870 สัปหงก
เธอมองชายชุดคลุมสีดำเดินเข้าในตำหนักและเริ่มสะสางข้อมูลและจดหมายกองหนึ่งบนโต๊ะจากในที่มืด มาถึงในตำหนัก ไม่เห็นว่าเขาจะถอดหน้ากากออก ทำให้เธออดสงสัยไม่ได้ หรือว่าภายใต้หน้ากากคือใบหน้าที่เสียโฉม? ไม่เช่นนั้นเหตุใดอยู่ในถิ่นตนเองแล้วก็ยังมีนิสัยไม่ชอบถอดหน้ากากอีก?
ในตำหนักนี้ นอกจากชายชราที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหนึ่ง ก็มีเพียงเธอและกลิ่นอายของคนอีกสองคนที่ซ่อนตัวอยู่ในที่ลับ เพราะยืนอยู่เฉยๆ น่าเบื่อเกินไป ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เธอยืนก้มหน้าเล็กน้อย พิงผนังหลับไปทั้งอย่างนั้น
เริ่มแรกยังไม่มีใครสังเกต กระทั่งเสียงกรนเบาๆ ดังมา ทำให้ชายชุดคลุมสีดำที่กำลังสะสางกองข้อมูลบนโต๊ะรวมถึงชายชราที่ยืนเฝ้าอยู่ด้านหนึ่งตะลึง ทั้งสองหันไปมองยังต้นเสียงพร้อมกัน ในดวงตาปรากฏแววงงงัน
หลังงงงันอยู่ครู่หนึ่ง ชายชราหมายจะเรียกเฟิ่งจิ่วออกมา นึกไม่ถึงชายชุดคลุมสีดำกลับยกมือห้าม
แววตาของชายชุดคลุมสีดำเหมือนกำลังนึกสนุก เขาลุกขึ้น สาวเท้าเบาๆ มาถึงด้านหลังเสาต้นนั้น ยังไม่ทันเข้าใกล้ ก็เห็นเด็กหนุ่มชุดดำหันหน้าเข้าหาเสากลมต้นใหญ่ หันหน้าผากชนกับเสา แม้ตัวยืนตรง แต่เขาหลับไปแล้วแน่นอนอย่างไม่ต้องสงสัย อีกทั้งยังหลับลึกเสียด้วย เพราะได้ยินเสียงกรนเบาๆ ดังลอดออกมาจากใต้หน้ากากของเขา
เมื่อเห็นภาพนั้น แววตาเขาราวกับกำลังมองดูสิ่งแปลกใหม่ ไม่เคยมีใครกล้าสัปหงกในสถานที่ที่เขาอยู่เลยสักครั้ง อีกทั้งยืนอยู่อย่างนี้ก็ยังหลับได้ เหลือเชื่อจริงๆ
เพราะรู้สึกแปลกใหม่ เขาจึงสาวเท้าเข้าไปใกล้ๆ ใครจะรู้ในตอนนั้นเอง เด็กหนุ่มที่เอาหัวพิงเสาสัปหงกอยู่พลันเงยหน้าขึ้น นัยน์ตามึนงงระคนง่วงงุนปรากฏสู่ครรลองสายตาของเขาพอดี
“นะ นายท่านโปรดลงโทษ!” เฟิ่งจิ่วรีบคุกเข่าลงไปข้างเดียว ขณะเดียวกันก็รีบก้มหน้าเก็บซ่อนความหงุดหงิดที่พาดผ่านดวงตา
ในตำหนักนี้จุดธูปสงบจิต กลิ่นหอมหวน กอปรกับข้างในนี้เงียบกริบไร้เสียง จุดที่เธอยืนยังเป็นที่มืด แล้วยังยืนพิงเสาอีก ครั้นผ่อนคลายก็เลยสัปหงกไป
ชายชุดคลุมสีดำหรี่ตาลงครึ่งหนึ่ง ประกายมืดมนพาดผ่านดวงตา เขามองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “ลุกขึ้นเถิด! ติดตามข้า เจ้าไม่มีแม้แต่ห้องพัดผ่อน ความสามารถในการยืนนอนเช่นนี้ก็ถือว่าสะดวกดีเหมือนกัน”
เอ่ยจบ เขาก็เดินออกไป ชายชรามองเด็กหนุ่มชุดดำแวบหนึ่ง พลางกล่าวอย่างตำหนิ “ยังไม่รีบตามไปอีก”
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วรีบเดินตามไป ขณะเดินออกจากตำหนัก เธอสัมผัสได้ว่ามีสายตาคมปลาบสองคู่กำลังจ้องพิจารณาเธออยู่
ยามพลบค่ำ ณ ศาลาหลังหนึ่ง บนโต๊ะหินมีอาหารแปดชนิดที่ครบเครื่องทั้งรูปรสและกลิ่นหอม ชายชุดคลุมสีดำนั่งกินข้าวอยู่ตรงนั้น ข้างๆ ยังมีคนถือตะเกียบคอยคีบอาหารให้เขาด้วย มองดูจนเฟิ่งจิ่วที่ยืนอยู่ข้างหลังอดบ่นอุบไม่ได้
ช่างเสแสร้งแกล้งทำนัก
เพียงได้ พอได้กลิ่นหอมของอาหาร เธอก็อดสูดดมไม่ได้ แทบร้องขอชีวิตจริงๆ ยั่วน้ำลายเกินไปแล้ว! ดูสิ อาหารพวกนั้นมีอะไรบ้าง? ข้าวนั้นเป็นข้าวสารวิญญาณ ผักก็เป็นผักวิญญาณ เนื้อมาจากสัตว์วิญญาณ อาหารเต็มโต๊ะวางอยู่ต่อหน้าต่อตาเธอ แต่กลับกินไม่ได้ เวรกรรมแท้ๆ
ต้องบอกก่อนว่า หลังจากแฝงตัวเข้ามาฝึกฝนอยู่ในวิหารราตรีแห่งนี้ เธอก็ไม่เคยได้กินอาหารดีๆ สักมื้อ นี่ก็หลายเดือนผ่านไปแล้ว เดาว่าหากพวกเขาเห็นเธอในตอนนี้ จะต้องบอกว่าเธอหิวโซจนผอมแน่ๆ
นึกมาถึงตรงนี้ก็อดแอบถอนใจไม่ได้ เธอช่างหาเรื่องลำบากให้ตัวเองแท้ๆ
แต่ไม่เป็นไร หลังจากที่รู้จักที่นี่ดีแล้ว เธอก็จะทำลายแหล่งกบดานของวิหารราตรีให้ราบคาบเสีย!