เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1871 ลงมือลำบาก / ตอนที่ 1872 หานหรงปรากฏตัวอีกครั้ง
ตอนที่ 1871 ลงมือลำบาก / ตอนที่ 1872 หานหรงปรากฏตัวอีกครั้ง
ตอนที่ 1871 ลงมือลำบาก
“จ๊อก!”
ทันใดนั้น เสียงท้องร้องดังจ๊อกทำให้มือของชายชุดคลุมสีดำที่กำลังกินข้าวอยู่ชะงักหยุด เขาเอียงคอมองเด็กหนุ่มชุดดำที่ยืนตัวตรงอยู่ข้างหลังเล็กน้อย
“หมายเลขเก้า”
“ขอรับ” เฟิ่งจิ่วก้าวเท้ามาข้างหน้าสองก้าว หยุดยืนอยู่ข้างกายเขา
ชายชุดคลุมสีดำเงยหน้ามองไป หน้ากากที่บดบังใบหน้าของเด็กหนุ่ม ทำให้ไม่เห็นสีหน้าของเขา เขาจึงสั่งว่า “ถอดหน้ากากออกเสีย ต่อไปยามติดตามข้าไม่ต้องใส่หน้ากากแล้ว”
“ขอรับ”
เธอถอดหน้ากากออก ใบหน้าสะอาดหล่อเหลาไร้อารมณ์ใดๆ มองไม่เห็นร่องรอยประดักประเดิด ราวกับเสียงท้องร้องก่อนหน้านี้ไม่ใช่ของเธออย่างไรอย่างนั้น
ชายชุดคลุมสีดำหยุดตะเกียบ ไม่กินข้าวต่อ เพียงจ้องเฟิ่งจิ่วอยู่อย่างนั้น ราวกับอยากรู้ว่าเขาจะมีสีหน้ากระอักกระอ่วนบ้างหรือไม่
“จ๊อก”
เฟิ่งจิ่วปั้นหน้านิ่งเก็บซ่อนแววตา ไม่ได้สบตากับเขาตรงๆ เพียงแต่การที่ได้แต่ดมกลิ่นหอมของอาหารแต่กินไม่ได้ ทำให้ท้องของเธอส่งเสียงร้องขึ้นมาอีกครั้ง
คราวนี้ แม้แต่บ่าวที่กำลังคอยคีบอาหารให้ก็ตะลึงไปด้วย
“เจ้าถอยไป” ชายชุดคลุมสีดำออกคำสั่ง ให้หญิงรับใช้ที่คอยคีบอาหารถอยออกไป ก่อนหันมามองเด็กหนุ่มแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้ามาคีบอาหารให้ข้า”
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วมุมปากกระตุก ฝืนใจก้าวเข้าไป “นายท่าน อยากกินจานใดขอรับ?” เธอถาม พลางจ้องมองอาหารบนโต๊ะ รู้สึกเหมือนแต่ละอย่างล้วนน่ากินมาก
“จานใดก็ได้”
ชายชุดคลุมสีดำตอบ ยกสุราขึ้นจิบหนึ่งคำ ยังไม่ทันกลืนสุราในปากลงคอ ก็เห็นเด็กหนุ่มใช้ตะเกียบเงินคีบอาหารทุกอย่างใส่ในถ้วย ผ่านไปไม่นาน อาหารก็กองกันเป็นเนินสูง
“เจ้าเลี้ยงหมูหรือ? เอาออกไป”
เห็นอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วดันถ้วยตรงหน้าเขาออกไปอีกทาง แล้วคีบอาหารให้ใหม่ คราวนี้ เธอคีบแต่กระดูกกรอบให้เขาหนึ่งชิ้น เอาเถิด เลี้ยงหมา
ชายชุดคลุมสีดำกินอย่างละเมียดละไม คล้ายไม่เลือกกิน เฟิ่งจิ่วคีบอะไรให้เขาก็กิน เพียงแต่กินน้อย แต่ละอย่างเพียงชิมแค่สองคำก็ไม่กินแล้ว
หลังกินเสร็จ เขาก็เดินเล่นรอบๆ ผ่านไปครึ่งชั่วยาม ก็กลับมาที่ตำหนักบรรทม ให้คนเตรียมน้ำอาบให้ ขณะเดียวกัน ก็โยนขวดขวดหนึ่งให้เฟิ่งจิ่ว
เฟิ่งจิ่วรับไปดู เห็นบนขวดเขียนไว้ว่ายาเลี่ยงอาหาร เธอถอนหายใจ รู้ดีว่าอยากกินเนื้อนั้นคงไม่ต้องฝันแล้ว ทำได้เพียงใช้ยาเลี่ยงอาหารเติมท้องเท่านั้น
ครั้นชายชุดคลุมสีดำเดินเข้าไปในห้องอาบน้ำ เธอถูกสั่งให้ยืนเฝ้านอกห้อง ด้วยเหตุนี้จึงไม่อาจก้าวเข้าไปข้างใน ยิ่งไม่ต้องคิดจะฉวยโอกาสตรวจสอบข้างในเลย ในตำหนักบรรทมเองก็น่าจะมีคนคอยจับตาดูในที่มืดอยู่ไม่น้อย เธอกระทั่งมั่นใจได้ว่า ในหมู่คนพวกนี้ต้องมีคนที่แข็งแกร่งกว่าเธออยู่ด้วยแน่
สองวันต่อมา ทุกอย่างเงียบสงบ ไม่มีเรื่องอะไรเกิดขึ้น เธอกลับได้รู้ว่าพวกหมายเลขหนึ่งถูกพากลับมาแล้ว เพียงแต่ ตอนนี้เธอต้องติดตามอยู่ข้างกายชายชุดคลุมสีดำตลอด แต่กลับไม่เคยเห็นหน้าเขาจนถึงตอนนี้ ทว่าเธอรู้ ที่นี่มีผู้แข็งแกร่งอยู่มากมาย หากรั้งอยู่ที่นี่เป็นเวลานาน แม้จะไม่เกิดอะไรขึ้นกับเธอ แต่ก็ยากรับประกันได้ว่าคนอื่นจะไม่ถูกจับได้เรื่องที่ไม่ถูกพิษทะลวงใจ
เธอนั่งอยู่บนเสากลมในตำหนักมองลงไปข้างล่าง และเสากลมอีกต้นที่อยู่ตรงข้ามเธอ มีชายวัยกลางคนผู้หนึ่งนั่งขัดสมาธิอยู่ ชายวัยกลางคนผู้นั้นไม่ลืมตาด้วยซ้ำ แต่กลิ่นอายรอบกายกลับถูกเก็บงำ เห็นได้ว่าเป็นผู้แข็งแกร่งที่ไม่ธรรมดา
นอกจากคนผู้นี้ ยังมีกลิ่นอายอีกสองกลิ่นซ่อนอยู่ในจุดที่เธอมองไม่เห็น ทำให้ถึงเธอจะอยากลงมือกับชายชุดคลุมสีดำก็ไม่มีโอกาส
………………………………….
ตอนที่ 1872 หานหรงปรากฏตัวอีกครั้ง
คนคนนี้ถูกคุ้มกันอย่างแน่นหนา แม้จะลงมือ ก็เกรงว่าจะไม่อาจเอาชีวิตเขาได้ อีกทั้ง แม้พวกเหลยเซียวกับปี้ซานมาแล้ว หากไม่มีแผนการที่แยบยล ก็ไม่อาจสั่งให้พวกเขาลงมือกะทันหันได้ ไม่เช่นนั้นจะต้องเกิดความเสียหายใหญ่หลวงแน่
อีกทั้ง ถึงแม้เธอจะถูกดึงมาเป็นองครักษ์เงาประจำตัวของชายชุดคลุมสีดำ แต่เหมือนว่าคนในที่มืดพวกนี้ยังคอยระวังเธออยู่ สายตาที่มองมายังเธอเป็นครั้งคราวยังคงแฝงไว้ด้วยแววพิจารณาและครุ่นคิด ทำให้เธอต้องเกร็งอยู่ตลอดเวลา ไม่กล้าผ่อนคลายนัก
อาจเพราะการสัปหงกวันนั้นทำให้พวกเขาคิดกันไปเอง รู้สึกว่าเธอไม่ได้อันตรายอะไร เพราะอย่างไรการแสดงออกของเธอก็ไม่เหมือนคนแข็งแกร่งอะไร กลับเหมือนคนที่มีเลือดมีเนื้อมากกว่า เธอคิดว่าเป็นเพราะจุดนี้ ชายชุดคลุมสีดำถึงได้ดึงเธอมาไว้ข้างกายเขา
คนชุดดำคนหนึ่งเดินเข้ามาจากข้างนอก คารวะด้วยความนอบน้อบพร้อมกับรายงานว่า “นายท่าน หานหรงมาแล้วขอรับ”
ชายชุดคลุมสีดำที่กำลังสะสางงานของเขาบนโต๊ะหรี่ตาเล็กน้อย เก็บของในมือ “พาเข้ามา”
ทว่าในเวลานี้ เฟิ่งจิ่วที่นั่งอยู่บนเสากลมได้ยินคนคนนั้นรายงาน หัวใจก็พลันสั่นไหว ประกายมืดมนพาดผ่านดวงตาที่หลุบต่ำ หากไม่ใช่ว่าเธอนิสัยไม่เหมือนคนทั่วไป จะต้องเผยพิรุธออกมาในเวลานี้เป็นแน่
หานหรง?
แค่คนชื่อเหมือนแซ่เหมือนงั้นหรือ? น่าจะใช่ ไม่ว่าอย่างไรคนคนนั้นก็ไม่น่าจะมาปรากฏตัวอยู่ที่นี่อีก
เธอข่มอารมณ์อันพลุ่งพล่านข้างใน เก็บซ่อนกลิ่นอายและนั่งอยู่บนเสากลมต่อไป ทว่าสายตากลับจดจ้องไปยังทางเข้าตำหนัก กระทั่งเห็นชายชุดดำพาชายวัยกลางคนผู้หนึ่งเดินเข้ามา นัยน์ตาของเธอไหวระริก
ไม่ใช่เขา! ไม่ใช่หานหรงที่เธอรู้จัก
ก็จริง หากเป็นหานหรงคนนั้น เขาถูกเซวียนหยวนโม่เจ๋อทำลายวรยุทธ์ทั้งหมดตอนที่ถูกขับไล่ออกจากจวนรัชทายาทแล้ว อีกทั้งยังบาดเจ็บสาหัส สภาพเขาในตอนนั้น ไม่มีทางรอดชีวิตได้แน่
เธอคิดมากไปเอง แค่คนชื่อเหมือนแซ่เหมือนเท่านั้น
ทว่า เหตุการณ์หลังจากนี้ที่เธอเห็น กลับทำลายความเชื่อมั่นของเธอจนสิ้น
“คารวะนายท่าน”
หานหรงก้าวมาข้างหน้าแล้วคารวะ จากนั้นก็ยืนหลังตรง มองชายใส่หน้ากากที่นั่งอยู่บนตำแหน่งประธาน คนผู้นี้ แม้แต่นายท่านของเขาจะไม่มีภาพเหมือนของเขาสักใบ ไม่มีใครรู้ว่าเขาหน้าตาเป็นอย่างไรกันแน่ เหมือนว่าจะมีเพียงคนที่เขาไว้ใจมากที่สุดเท่านั้นที่รู้ว่าใบหน้าภายใต้หน้ากากนั่นเป็นอย่างไร
“มาทำไมอีก? คราวนี้เรื่องใดอีก?” ชายชุดคลุมสีดำหรี่ตา เอ่ยถามด้วยน้ำเสียงเกียจคร้าน
“มาโดยไม่ได้แจ้งล่วงหน้า หวังหว่าท่านจะไม่ถือสา เพราะนายท่านของข้าได้รับข่าวหนึ่ง จึงสั่งให้ข้าเดินทางมาเยือนวิหารของท่าน”
หานหรงกล่าว เห็นแววตาของคนผู้นั้นคล้ายหงุดหงิดเล็กน้อย จึงไม่รอให้เขาถาม ชิงกล่าวก่อนว่า “นายท่านข้าได้รับข่าวว่า แม้ราชวงศ์เฟิ่งหวงจะล่มสลายไปแล้ว องครักษ์อาจตายไปกว่าครึ่ง แต่ที่เหลืออีกครึ่งได้รับการฝึกฝนโดยเฟิ่งจิ่วจนกลายเป็นทหารแกร่ง หนำซ้ำ แม้แต่ปู่กับบิดาของเฟิ่งจิ่วก็มิได้ตาย”
เมื่อได้ยิน เฟิ่งจิ่วที่นั่งอยู่ข้างบนนัยน์ตาหดเล็ก จ้องมองคนข้างล่างด้วยดวงตาที่ลุกโชนไปด้วยไฟ
หานหรงที่อยู่ข้างล่างราวกับสัมผัสได้ เขาเงยหน้าขึ้นมอง ย่อมสังเกตเห็นคนพวกนั้นที่นั่งอยู่ข้างบน สายตาของเขากวาดมองผ่านคนพวกนั้น พลางลอบตกใจ
เจ้าวิหารผู้นี้มีผู้แข็งแกร่งคุ้นกันแน่นหนาเพยงนี้ หากมิใช่เมื่อครู่มีสายตาคู่หนึ่งตวัดมองมาจากข้างบน เกรงว่าเขาคงไม่รู้ถึงการมีอยู่ของพวกนั้น
ชายชุดคลุมสีดำเงยหน้าเล็กน้อย มองไปยังเด็กหนุ่มชุดดำแวบหนึ่ง…