เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1905 ช่วยออกมา / ตอนที่ 1906 รวมตัวกันอีกครั้ง
ตอนที่ 1905 ช่วยออกมา / ตอนที่ 1906 รวมตัวกันอีกครั้ง
ตอนที่ 1905 ช่วยออกมา
ผู้ฝึกวิชามารพวกนั้นที่คิดจะหนีรู้สึกเหมือนมีภูเขาลูกใหญ่กดทับลงมาจากเหนือหัว ทำให้พวกเขาหายใจติดขัด เลือดลมป่วนพล่าน ไม่นานสองขาก็อ่อนแรงล้มลงไป ไม่อาจลุกขึ้นยืนได้
“อึก!”
พวกเขาคำรามเสียงต่ำ พยายามลุกขึ้นเพื่อเอาชนะแรงกดดันนั้น ทว่าแรงกดดันของปราชญ์เซียนไม่ได้หายไปไหน พวกเขาราวกับถูกภูเขาขนาดใหญ่กดทับไว้ ไม่อาจขยับเขยื้อน
พอพวกหมายเลขหนึ่งหนีขึ้นมาได้ ก็เห็นผู้ฝึกวิชามารพวกนั้นนอนเกลื่อนอยู่บนพื้น อีกทั้งในอากาศยังมีกระแสพลังแข็งแกร่งไหลเวียนอยู่ คนพวกนั้นลุกไม่ขึ้นสักคน บางคนถึงขั้นกระอักเลือดออกมา
จากนั้นพวกเขาก็เห็นกระบี่ที่ส่องประกายสีเขียวในมือหัวหน้าที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งพลิกหมุน ประกายเยือกเย็นฟาดฟันออกไป เฉือนร่างคนพวกนั้นเป็นสองท่อน
“อ๊าก…”
เสียงกรีดร้องโหยหวนของคนพวกนั้นดังก้องไปทั่วผืนป่า ราวกับดังทะลุขอบฟ้าไปด้วย เล็กแหลมและเสียดแทงแก้วหูมาก เมื่อคนสิบกว่าคนนั้นตาย กลิ่นคาวเลือดในอากาศก็รุนแรงขึ้นด้วย ทำให้รู้สึกอยากอาเจียน
ตอนที่พวกหมายเลขหนึ่งเห็นภาพนั้นก็ตกใจเช่นกัน พวกเขาหัวใจสั่นไหว หันไปมองเด็กหนุ่มที่ยืนอยู่ตรงนั้นด้วยใบหน้าเรียบเฉยไร้อารมณ์ รู้สึกเพียงมีคลื่นลูกใหญ่ซัดสาดอยู่ภายในใจ
แม้พวกเขาจะรู้ว่าหัวหน้าเก่งมาก แต่กลับเพิ่งมารู้ตอนนี้ว่าหัวหน้าเป็นถึงผู้ฝึกตนระดับปราชญ์เซียน อีกทั้งยังมีกระบี่คมพยับไว้ในครอบครองด้วย เขาสามารถสังหารผู้ฝึกตนระดับเซียนเหินสิบกว่าคนได้อย่างง่ายดาย พลังอันน่าสะพรึงเช่นนี้ วิธีการรวดเร็วหมดจดเช่นนี้ ทำให้พวกเขาตกตะลึงไม่น้อยเลยจริงๆ
“เอาของของพวกเขามาให้หมด ค้นดูว่ามีตำราเกี่ยวกับค่ายกลหรือไม่” เฟิ่งจิ่วหันไปสั่งกลุ่มคนที่มีสภาพสะบักสะบอมอยู่ด้านหนึ่ง
“ขอรับ!”
ทุกคนได้สติกลับคืนมา รีบเข้าไปหยิบถุงฟ้าดินและแหวนมิติของผู้ฝึกมารพวกนั้นมาค้นดู สุดท้ายก็เจอตำราโบราณสภาพเก่าแก่ในแหวนมิติของหนึ่งในพวกนั้น
“หัวหน้า มีจริงๆ ด้วย” ชายชุดดำคนหนึ่งยื่นตำราค่ายกลให้เขา
เฟิ่งจิ่วเหลือบมองแวบหนึ่งแล้วรับไป จากนั้นก็กำชับพวกเขาว่า “ของอย่างอื่นพวกเจ้าแบ่งกันเสีย จากนั้นก็ทำแผลแล้วตามข้าออกไป”
“ขอรับ! ขอบคุณหัวหน้า!” ทุกคนรับคำ พร้อมกับเอ่ยขอบคุณด้วยความดีใจ ถึงอย่างไรสิ่งของมีค่าบนตัวผู้ฝึกวิชามารพวกนั้นก็มีไม่น้อย
หลังจากที่พวกเขาทำแผลเสร็จ เฟิ่งจิ่วยื่นน้ำให้พวกเขาดื่มแก้กระหาย ก่อนจะพาพวกเขาออกจากป่าผีแห่งนี้
ขณะเดินตามหลังเฟิ่งจิ่ว สายตาของทุกคนดูตกตะลึง มองดูหัวหน้าของพวกเขาเดินอย่างผ่อนคลายแม้จะมีค่ายกลถูกวางไว้เต็มไปหมด ราวกับกำลังเดินเล่นในสวนดอกไม้หลังบ้านตนเองก็ไม่ปาน เขาหลบเลี่ยงค่ายกลและพาพวกเขาออกจากป่าผืนนี้ได้อย่างง่ายดาย พวกเขาอดรู้สึกฉงนฉงายไม่ได้
หัวหน้าเป็นใครมาจากไหนกันแน่? เขาตั้งใจแฝงตัวเข้าไปในวิหารราตรีด้วยตนเองกระมัง? มีพลังเช่นนี้ แล้วก็ความสามารถเช่นนี้ เห็นได้ว่าชาติกำเนิดของเขาต้องไม่ธรรมดาแน่นอน
พวกเหลยเซียวและปี้ซานที่เร่งรีบเดินทางมาถึงด้านนอกป่าผี คอยชะเง้อมองอยู่ตลอดเวลา ขณะกำลังชั่งใจว่าจะเข้าไปดีหรือไม่ ก็เห็นเงาร่างอันคุ้นเคยเดินมาตรงหน้า
“ดูนั่น! พวกเขาออกมาแล้ว!” มีคนตะโกนด้วยความดีใจ
ได้ยินอย่างนั้น ทุกคนสาวเท้าไปต้อนรับ ประคองคนที่ได้รับบาดเจ็บไปนั่งด้านหนึ่ง พลางหันไปถามหัวหน้าของพวกเขา “หัวหน้า ท่านไม่เป็นไรกระมัง? ไม่ได้บาดเจ็บใช่หรือไม่?”
………………………………….
ตอนที่ 1906 รวมตัวกันอีกครั้ง
“ข้าไม่เป็นไร” เฟิ่งจิ่วตอบ แล้วหันไปมองพวกหมายเลขหนึ่ง “เอาของกินให้พวกเขาหน่อยเถิด!”
“ได้!” พวกเหลยเซียวรับคำ พลางหยิบน้ำและเนื้อให้พวกเขา “กินเอาแรงหน่อย แผลของพวกเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? ต้องทำแผลใหม่อีกรอบรึไม่?”
“ไม่ต้อง เป็นแค่แผลเล็กๆ เท่านั้น” พวกเขาส่ายหน้า รับน้ำไปดื่ม จากนั้นก็รับเนื้อไปกินด้วย
“หัวหน้า หมายเลขสามสิบเจ็ดไม่เป็นไรใช่หรือไม่?” หมายเลขหนึ่งถาม คนที่เขาถามถึงก็คือคนที่หนีออกไปขอความช่วยเหลือนั่นเอง
“เขาบาดเจ็บไม่น้อย ซ้ำยังหนีออกไปรายงานข่าวอย่างสุดชีวิต รายงานข่าวเสร็จก็หมดสติไปเลย แต่ไม่ต้องห่วง พวกเราทิ้งคนไว้ดูแลเขาสองคนแล้ว”
เฟิ่งจิ่วอธิบาย ก่อนจะนั่งลงด้วยเหมือนกัน พลางหยิบตำราค่ายกลออกมาอ่าน หลังจากอ่านเนื้อหาส่วนใหญ่แล้วก็พับตำราเก็บ ตั้งใจว่าจะมอบตำรานี้ให้ตู้ฝาน ให้เขาฝึกฝนดีๆ เชื่อว่าสามารถช่วยพัฒนาวิชาค่ายกลของเขาได้มาก
หลังจากพักผ่อนอยู่ครู่หนึ่ง ทุกคนก็ออกเดินทางอีกครั้ง ประมาณสองชั่วยามผ่านไป พวกเขากลับมาถึงป่าผืนเดิมรวมตัวกับอีกสามคนที่เหลือ หลังจากที่ทุกคนรวมตัวกัน เฟิ่งจิ่วให้คนที่บาดเจ็บเปลี่ยนเสื้อผ้าปกติ และสั่งให้พวกเขาล่วงหน้าไปหาที่พักใกล้ๆ หอรวมสมบัติเพื่อพักฟื้นบาดแผลบนร่างกายก่อน
ในขณะที่อีกกลุ่มหนึ่งให้มุ่งหน้าไปยังหอรวมสมบัติโดยตรง หลังจากสืบข่าวก็รอฟังคำสั่งค่อยลงมือ ส่วนเธอใช้แกนเคลื่อนย้ายกลับไปเยี่ยมผู้อาวุโสถานดูก่อน
ด้วยเหตุนี้ในยามพลบค่ำ ขณะที่ท้องฟ้าเริ่มมืด เฟิ่งจิ่วก็เข้าไปในตัวเมือง พอมาถึงกลางตลาดนัด เธอซื้อเนื้อน้ำค้างสองจิน และหอบเอาสุราหนึ่งไหเดินไปที่ลานบ้านของผู้อาวุโสถาน
ตอนมาถึงลานบ้าน ข้างในยังไม่มีใคร เธอจึงวางของไว้บนโต๊ะ หาถ้วยสุรามาสองถ้วย หลังจากเตรียมของเสร็จ ก็เห็นผู้อาวุโสถานผลักประตูเดินเข้ามาจากข้างนอก พอเห็นเฟิ่งจิ่วที่นั่งอยู่ในลานสวน เขาตะลึงงัน
“ท่านปู่ถาน มาแล้วหรือ? ข้าซื้อเนื้อน้ำค้างกับสุรามา มาชิมดูหน่อย” เฟิ่งจิ่วยิ้มตาหยีนั่งอยู่ข้างโต๊ะ ขณะเดียวกันก็เทสุราใส่ถ้วย
ผู้อาวุโสถานที่ได้สติวางของลงแล้วเดินเข้ามาหา นั่งลงฝั่งตรงข้ามจ้องเฟิ่งจิ่ว “เจ้าไม่เป็นไรหรือ ออกมาได้อย่างไร?” เข้าไปที่นั่นแล้วเขายังออกมาได้อีกหรือ? ไม่ธรรมดาจริงๆ
“ข้าบอกแล้วอย่างไรว่าไม่เป็นไรหรอก” เฟิ่งจิ่วตอบพร้อมกับยิ้มตาหยี เอ่ยอีกว่า “อยู่ที่นั่นนานพอแล้วจึงออกมา ใช่สิ ข้าพาคนที่ถูกจับเข้าไปออกมาพร้อมกันด้วย จากนั้นก็ทำลายถิ่นของพวกนั้นไปด้วยเลย”
ผู้อาวุโสถานได้ยินก็เดาะลิ้น จ้องเขาอย่างพูดไม่ออก
“มาๆ ไม่พูดเรื่องนั้นแล้ว ชิมสุรานี้ดูหน่อย” เธอพยักพเยิด ก่อนยกสุราขึ้นจิบคำหนึ่ง
ผู้อาวุโสถานปรับอารมณ์ ยกสุราขึ้นจิบเพื่อคลายความตกใจ ไม่ว่าจะจริงหรือไม่ แต่ดูจากที่เขานั่งอยู่ตรงนี้และพูดเรื่องพวกนี้ได้ ดูท่าน่าจะมีความจริงอยู่หลายส่วน เพียงแต่ข่าวอย่างนี้ยังกระจายมาไม่ถึงที่นี่อีกหรือ คนของหอรวมสมบัติเกรงว่าคงยังไม่รู้ข่าวกระมัง?
“ในเมื่อไปแล้ว เหตุใดยังกลับมาที่นี่? เจ้าจะทำอะไรอีก?” เขาคงไม่ได้จะทำอะไรหอรวมสมบัตินั่นหรอกกระมัง? ครั้นความคิดนี้ผุดขึ้นมา ผู้อาวุโสถานถึงกับตกใจ
“ฮะๆ ก็อยากกลับมาเยี่ยมท่านอย่างไรเล่า ท่านจะได้ไม่ต้องคอยเป็นห่วงอยู่ตลอด อีกอย่าง ยังมีเรื่องต้องสะสางที่นี่อีกหน่อยเลยต้องกลับมาอีก หลังจากสะสางเสร็จ ข้าก็จะไปแล้ว ต่อไปคงไม่มีโอกาสได้พบกันอีก”
เฟิ่งจิ่วยิ้มพลางรินสุราให้เขา เอ่ยอีกว่า “ชิมเนื้อวัวด้วยสิ อย่าเอาแต่ดื่มสุรา”
………………………………….