เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 1937 มาเชิญ / ตอนที่ 1938 เมืองร้อยนที
ตอนที่ 1937 มาเชิญ
เซียนจื๋อสุ่ยกลับไม่ได้รู้สึกว่าที่เขาถามตรงๆ เช่นนี้เป็นการเสียมารถยาท ท่าทางของเขายังคงเป็นกันเอง เหมือนชินกับท่าทางเฉยชาเช่นนี้ของเซวียนหยวนโม่เจ๋อนานแล้ว ถึงอย่างไร เมื่อก่อนตอนที่เขาเจอเซวียนหยวนโม่เจ๋อตอนยังเป็นเด็ก เขาก็เป็นคนเย็นชาอยู่แล้ว
ด้วยเหตุนี้ เขาจึงตอบไปตรงๆ “ข้าจะออกไปนอกท้องสมุทรสักครา ไปครานี้หวังว่าเจ้าจะร่วมทางไปด้วย”
ได้ยินอย่างนั้น เซวียนหยวนโม่เจ๋อนัยน์ตาไหวระริก เอ่ยว่า “ท่านอาจารย์ไม่มีผู้อื่นแล้วหรือ? พักนี้ข้ามีธุระติดพัน เกรงว่าจะปลีกตัวร่วมทางไปกับท่านได้ยาก” เทียบกับการเดินทางไปนอกท้องสมุทร เขาอยากอยู่ข้างเฟิ่งจิ่วเพื่อช่วยนางลงหลักปักฐานให้มั่นคงมากกว่า
“ไม่ใช่ว่าไม่มีคนอื่น เพียงแต่ ไม่มีใครเหมาะสมเท่ากับเจ้าแล้ว” เซียนจื๋อสุ่ยมองเขา เอ่ยเสียงเข้มว่า “การเดินทางในครั้งนี้มีเรื่องหนึ่งที่ต้องอาศัยพลังของเจ้า และกระบี่เซวียนหยวนของเจ้าด้วย ฉะนั้นการเดินทางครั้งนี้ต้องเป็นเจ้าเท่านั้น เพราะเหตุผลนี้ ข้าถึงได้มาเชิญเจ้าให้ร่วมเดินทางกับข้าถึงที่เช่นนี้”
เซวียนหยวนโม่เจ๋อขมวดคิ้ว เขาไม่ได้พูดอะไร เพียงแต่กำลังครุ่นคิด
เซียนจื๋อสุ่ยเห็นอย่างนั้น จึงถาม “เจ้ามีธุระใดที่นี่? ข้าให้คนช่วยจัดการแทนได้”
“ต้องไปนานเท่าใด?” เขาเงยหน้าถาม
“เรื่องเวลายังไม่แน่นอน” เซียนจื๋อสุ่ยส่ายหน้า เพราะเรื่องเวลายังคงยากจะคาดเดาได้
“ข้าต้องคิดดูก่อน” เขาเอ่ย ลุกขึ้นแล้วเอ่ยกับเซียนจื๋อสุ่ย“ช่วงนี้ท่านอาจารย์พักในจวนก่อนก็ได้ ส่วนจะไปหรือไม่ไปนั้น อีกสองสามวันข้าค่อยให้คำตอบ”
ได้ยินอย่างนั้น เซียนจื๋อสุ่ยทอดถอนใจ รู้ว่าตอนนี้เซวียนหยวนโม่เจ๋อไม่ได้อยากร่วมเดินทางไปกับเขา เพราะเขารู้ แม้เซวียนหยวนโม่เจ๋อจะเรียกเขาว่าอาจารย์ แต่หากคำนวณตามจริงแล้ว ทั้งสองใช้เวลาร่วมกันน้อยมาก ระยะเวลาที่เขาสอนเซวียนหยวนโม่เจ๋อก็สั้น อีกทั้งไม่ได้เจอกันหลายปี ครั้นพบหน้าก็ขอร้องเช่นนี้ จึงทำให้ลำบากใจอยู่บ้างจริงๆ
เซียนจื๋อสุ่ยลุกขึ้น ตอบว่า “ก็ได้! ข้าหวังว่าเจ้าจะไตร่ตรองอย่างดี หากมีเรื่องใดทางนี้ที่เจ้าไม่วางใจ บอกข้าได้ ข้าจะให้คนช่วยจัดการแทนเจ้า เจ้าจะได้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง”
“ฮุยหลาง พาท่านเซียนไปพักที่เรือนด้านหลัง” เซวียนหยวนโม่เจ๋อตะโกนออกไปข้างนอก
“ขอรับ” ฮุยหลางเดินเข้ามา ผายมือเชื้อเชิญเซียนจื๋อสุ่ย “ท่านเซียน เชิญทางนี้ขอรับ”
หลังจากเขาออกไป เซวียนหยวนโม่เจ๋อยืนเอามือไพล่หลังอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินไปที่ประตูบานเล็กๆ ซึ่งเชื่อมสองจวนไว้ด้วยกัน ครั้นมาถึงลานสวนในเรือนของเฟิ่งจิ่วก็เปิดประตูห้องเดินเข้าไป
มาถึงข้างใน เห็นว่าคนบนเตียงหลับไปแล้ว เขาจึงถอดเสื้อตัวนอกเดินมาเอนตัวลงข้างเตียง เอื้อมมือโอบร่างบาง ดึงนางเข้ามาอ้อมแขน
“กลับมาแล้วหรือ?” เฟิ่งจิ่วไม่ลืมตา เพียงถามด้วยน้ำเสียงงึมงำ
“อืม” เขาดมผมหอมๆ ของนาง ก่อนจะรับคำ
“ท่านอาจารย์ของท่านมาหาท่านทำไมหรือ? กลับมาเร็วเช่นนี้ ไม่ต้องอยู่ต้อนรับเขาหรือ?” เฟิ่งจิ่วมุดเข้าไปในอ้อมอกของเขา สอดมือกอดเอวของเขา ยกขาข้างหนึ่งพาดขาของเขา
เซวียนหยวนโม่เจ๋อกอดเธอเบาๆ ตอบว่า “ไม่มีอะไร ข้าให้เขาพักผ่อนก่อน มีฮุยหลางคอยดูแลอยู่ที่นั่น เจ้าหลับเถิด!” เขาตบหลังเธอเบาๆ พลางอธิบาย ดื่มด่ำกับความสงบสุขยามคนรักนอนอิงแอบอยู่ในอ้อมแขน
ได้ยินเขาบอกว่าไม่มีอะไร เฟิ่งจิ่วจึงไม่ถามอีก เพียงพูดงึมงำว่า “พรุ่งนี้ข้าจะไปเดินเล่นในเมือง ดูว่ามีร้านค้าทำเลดีๆ หรือไม่ ท่านไปกับข้าเถิด!”
“ได้” เขาตอบ
“แล้วก็ต้องไปซื้อของกับข้าด้วย”
ได้”
เขาตอบด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน รู้สึกได้ว่าคนในอ้อมแขนพูดจบก็หลับไปแล้ว อดยิ้มมุมปากไม่ได้ นัยน์ตาลึกล้ำดำขลับมีประกายรักใคร่พาดผ่าน
………………………………….
ตอนที่ 1938 เมืองร้อยนที
วันต่อมา เซวียนหยวนโม่เจ๋อกับเฟิ่งจิ่วหลับถึงยามเฉินก็ตื่น เหลิ่งซวงจัดสำรับอาหารเช้าเสร็จก็ถอยออกไป
เฟิ่งจิ่วตักข้าวต้มให้เขาหนึ่งถ้วย พลางถาม “ข้าต้องไปคารวะอาจารย์ของท่านหน่อยหรือไม่?” ถึงอย่างไรนั่นก็เป็นอาจารย์ของเขา จวนสองหลังก็อยู่ติดกัน หากไม่ไปพบ คล้ายจะเป็นการเสียมารยาทอยู่สักหน่อย
“ไม่รีบ” เขาคีบกับแกล้มให้เธอ “กินเถิด! อีกเดี๋ยวเราไปเดินเล่นในเมือง เรื่องไปพบเขา อีกสองสามวันค่อยว่ากัน”
เห็นเขาพูดถึงขนาดนี้แล้ว เฟิ่งจิ่วจึงไม่กล่าวถึงอีก ทั้งสองกินข้าวเช้าเสร็จก็เตรียมตัวออกไปข้างนอก แต่เหลิ่งซวงเข้ามารายงานก่อน “นายท่าน แม่นางท่านนั้นมาแล้ว”
ได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ “มาก็ดี นางน่าจะคุ้นเคยกับเมืองนี้ดีกว่า ให้นางพาพวกเท่าไปเที่ยวให้ทั่ว” ขณะกล่าว ก็เดินควงแขนเซวียนหยวนโม่เจ๋อออกไป ส่วนเหลิ่งซวงก็เดินตามอยู่ข้างหลัง
นอกลานบ้าน หยางเสี่ยวเอ้อร์ที่สวมชุดกระโปรงสีเขียวมรกตเห็นเฟิ่งจิ่วก็รีบวิ่งเข้าไปหาด้วยความดีใจ “พี่สาวเฟิ่ง ข้ามาอีกแล้ว!”
เฟิ่งจิ่วยิ้ม “วันนี้พวกข้าตั้งใจจะไปหาร้าน เจ้ามาได้จังหวะพอดี ไปดูเป็นเพื่อนพวกข้าเถอะ!”
“ได้สิ ข้ารู้จักเมืองนี้เป็นอย่างดี พวกท่านอยากได้ร้านแบบใด? บอกข้ามา ข้าพาพวกท่านไปดู” นางยิ้มตาหยี
“พวกเราเดินไปด้วย คุยไปด้วยเถิด” เธอหันไปพูดกับเหลิ่งซวงและเหลิ่งหวาที่อยู่ข้างหลัง “พวกเจ้าสองคนก็มาด้วยกันเถอะ!”
“เจ้าค่ะ / ขอรับ” ทั้งสองรับคำ ยืนอยู่ข้างหลังเธอ
หยางเสี่ยวเอ้อร์ได้ยินก็ดีใจมาก ดวงตาที่ยิ้มหยีจนกลายเป็นเส้นตรงแอบเหลือบมองเหลิ่งหวาแวบหนึ่ง ดวงหน้าอ้วนกลมแดงเรื่อด้วยความตื่นเต้น ดีเหลือเกิน พี่ชายเหลิ่งหวาก็ไปด้วยกันด้วยล่ะ!
พวกเขาออกไปข้างนอกพร้อมกัน มุ่งหน้าไปยังพื้นที่ที่เจริญที่สุดในเมืองภายใต้การนำทางของหยางเสี่ยวเอ้อร์
บนถนนใหญ่ ครั้นพวกเขาปรากฏตัวก็ดึงดูดสายตาผู้คนให้ตะลึงในความงามจนต้องเหลียวหลัง เพราะเมื่อพวกเขาอยู่ด้วยกัน บุรุษหล่อเหลาสตรีรูปงาม บุคลิกก็สูงส่งยากที่จะมีคนเทียบได้ ไม่เพียงคนในเมืองสงสัยว่าพวกเขาเป็นใคร? แม้แต่ผู้ฝึกตนบางคนยังลอบคาดเดาอยู่ในใจ
มีหลายคนที่จำหยางเสี่ยวเอ้อร์ที่กำลังยิ้มร่าอย่างมีความสุขได้ จึงเริ่มวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา
“นั่นคุณหนูรองของตระกูลหยางไม่ใช่หรือ? พวกคนที่อยู่ข้างๆ นางเป็นใครกัน? รูปงามนัก”
“ดูท่าทางก็คงเป็นลูกผู้ดีเหมือนกัน บุคลิกนั่นไม่ใช่สิ่งที่เราจะเทียบได้”
“ไม่ค่อยเหมือนนะ”
ชายชราคนหนึ่งเองก็ส่ายหน้าผสมโรงกับเขาด้วย เขากระซิบเบาๆ “บุคลิกของผู้หญิงกับผู้ชายที่อยู่ข้างหน้านั่นใช่บุคลิกของลูกผู้ดีเสียที่ไหน? ผู้เฒ่าอยู่มาจนปูนนี้แล้ว ดูคนไม่เคยผิดสักครั้ง ฐานะของผู้ชายกับผู้หญิงที่อยู่ข้างหน้านั่นต้องไม่ธรรมดาแน่นอน สองคนข้างหลังดูเหมือนเป็นผู้ติดตาม แต่เด็กหนุ่มชุดขาวกลับมีบุคลิกเหมือนลูกผู้ดีอยู่บ้าง หญิงชุดดำคนนั้นดูเย็นชาไปหน่อย ไม่ต้องเข้าใกล้ก็ยังรู้สึกหนาว ไม่ใช่คนที่ควรมีเรื่องด้วย”
ได้ยินคำพูดของชายชราแล้ว พวกคนที่กำลังกระซิบกระซาบกันอยู่ข้างๆ ก็เงียบปาก ไม่พูดอะไรอีก สายตามองตามคนกลุ่มนั้นไป กระทั่งพวกเขาถูกคนบนถนนบังลับจึงค่อยละสายตากลับมา ก่อนจะได้ยินเสียงชายชราเอ่ยขึ้นอีก
“เมืองร้อยนทีของเราเป็นสิบอันดับเมืองที่เจริญที่สุดในแถบนี้ และเป็นเมืองที่มีชื่อเสียงมาก แถมยังอยู่ใกล้เขตแดนของสำนักบุปผาเซียนอีกด้วย มีคนยอดเยี่ยมจากที่อื่นมาเยือนเมืองของเราก็ไม่ใช่เรื่องแปลก ไม่เห็นต้องกระโตกกระตากไปเลย”
ชายชราเอ่ย เอามือไพล่หลังแล้วส่ายหน้า ก่อนจะเดินฮัมเพลงจากไป
ขณะเดียวกันข้างหน้า หยางเสี่ยวเอ้อร์ชี้ไปที่ร้านแห่งหนึ่ง ถามว่า “พี่สาวเฟิ่ง ท่านดูตรงนี้เป็นอย่างไรบ้าง?”
………………………………….