เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2001 แม้เมาก็ยังมีสติสามส่วน / ตอนที่ 2002 เจ้าตำหนักราตรีสังหาร
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 2001 แม้เมาก็ยังมีสติสามส่วน / ตอนที่ 2002 เจ้าตำหนักราตรีสังหาร
ตอนที่ 2001 แม้เมาก็ยังมีสติสามส่วน
“ตอนนี้เขาไม่อยู่ที่นี่ ถึงเขาอยู่ที่นี่ข้าก็ไม่กลัวเขา” โม่เฉินยิ้มบอก ยกถ้วยสุราขึ้นจิบ กลิ่นหอมของสุรากระจายทั่วปาก พลังวิญญาณขุมหนึ่งพลุ่งพล่านไปทั่วร่างเมื่อกลืนสุราคำนั้นลงไป ชวนให้รู้สึกสบายตัว
“นี่เป็นสุราวิญญาณที่เจ้าหมักเองหรือ?” เขาถาม
“นับว่าใช่! เป็นสุราวิญญาณชั้นดีที่ผ่านการปรุงแต่งของข้า เป็นอย่างไรบ้าง รสชาติไม่เลวใช่หรือไม่?” เธอควงถ้วยสุราเล่น มองเขาถ้วยสุราที่เขาถือไว้ในมือ
“ไม่เลวจริงๆ รสชาติพิเศษมาก ไม่ด้อยกว่าสุราที่ข้าดื่มครั้งก่อนเลย”
“วันนี้ข้าเตรียมสุราไว้สามอย่าง ท่านชิมดูว่ารสชาติใดถูกปาก ข้าให้ท่านสองไห” เธอวางถ้วยสุราลง หยิบตะเกียบขึ้นมาคีบอาหารกิน
ได้ยินอย่างนั้น โม่เฉินยิ้มอย่างสง่างาม “นี่เจ้าให้สุราข้าเพราะอยากให้ข้าช่วยดูแลหอยาสวรรค์? เห็นข้าเป็นคนอย่างไรกัน อย่างไรเราก็รู้จักกันมานานแล้ว”
“ข้าก็เห็นว่าเป็นท่านถึงได้ให้ หากเป็นคนอื่นข้าคงทำใจยกให้ไม่ได้” เฟิ่งจิ่วเอ่ย ยิ้มตาหยี “สุราอาหารในวันนี้ข้าสั่งให้ในครัวทำขึ้นเป็นพิเศษ สุรานี้ก็ตั้งใจเอาออกมาเพื่อท่านโดยเฉพาะ ธุระนี้ ท่านไม่อยากช่วยก็ต้องช่วยแล้ว”
“เจ้าไม่คิดว่าข้าไปกับเจ้าจะดีกว่าหรือ?” เขามองเธอ ใบหน้าหล่อเหลาแสดงสีหน้าจริงจัง “ป่าภูเขาไฟแห่งนั้นอันตรายแค่ไหนเจ้าอาจคาดเดาได้ไม่หมด หากเจ้าไปคนเดียว ข้าคงไม่วางใจ”
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ “เทียบกับเรื่องนี้ ท่านช่วยข้าดูแลหอยาสวรรค์ก็พอแล้ว อยู่ทางนี้ข้ามีสหายไม่มาก คนที่เชื่อใจได้และมีความสามารถนี้ก็มีเพียงท่านคนเดียว”
เห็นเธอพูดถึงขนาดนี้ โม่เฉินได้แต่ยิ้มระอา “ดูท่าเจ้าคงตัดสินใจแล้ว ไม่ว่าข้าจะพูดอะไรก็คงเปลี่ยนใจเจ้าไม่ได้ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าก็จะไม่พูดมากอีก เจ้าเดินทางไปป่าภูเขาไฟก็ระวังตัวด้วยก็แล้วกัน!”
“อืม ข้ารู้ มา ดื่มกัน” เธอรินสุราให้เขา เอ่ยอีกว่า “ดื่มถ้วยนี้หมดลองชิมสุราอีกไหหนึ่ง รสชาติแตกต่างจากไหนี้อย่างสิ้นเชิงเชียวล่ะ…”
ในลานสวน ทั้งสองดื่มสุรากินข้าวและพูดคุยกัน วันนี้ โม่เฉินอยู่ที่จวนเฟิ่งจนถึงยามหัวค่ำจึงค่อยกลับ
“เอาล่ะ นี่ก็ค่ำแล้ว ข้ากลับก่อน” โม่เฉินลูบหน้าผากลุกขึ้น ร่างสูงซวนเซเล็กน้อย ยิ้มเอ่ยว่า “เจ้าบอกว่าสุรานี้ไม่ทำให้คนเมา นี่ดื่มตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ ไม่เมาหัวทิ่มถือว่าเก่งมากแล้ว”
เฟิ่งจิ่วนั่งนิ่งไม่ขยับ มือหนึ่งยกชันดวงหน้าที่แดงเรื่อ มองร่างสูงที่ซวนเซแล้วหัวเราะ ตะโกนออกไปข้างนอก “เหลิ่งซวง? เหลิ่งซวง?”
“นายท่าน” เหลิ่งซวงที่อยู่นอกลานสวนเดินเข้ามา มองทั้งสองแวบหนึ่ง ก่อนเดินมาหยุดยืนข้างเฟิ่งจิ่ว
“ไป เตรียมน้ำแกงแก้เมาให้เขาหนึ่งถ้วย” เฟิ่งจิ่วโบกมือสั่ง สีหน้าดูแล้วไม่เหมือนเมา เพียงแต่ดื่มไปไม่น้อยใบหน้าจึงแดงเรื่ออยู่บ้าง
“โม่เฉิน ท่านนั่งอีกประเดี๋ยว ข้าให้เหลิ่งซวงยกน้ำแกงแก้เมามาให้ สภาพท่านอย่างนี้กลับไม่ไหวหรอก” เธอยิ้มๆ พยักหน้าให้เขานั่ง พลางเอ่ยว่า “ดูท่านคออ่อนถึงเพียงนี้ ข้าบอกให้ ต่อไปอย่าไปท้าดื่มสุรากับเจ๋อเชียว ท่านน่ะ ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขาหรอก”
เขาโบกมือ เอ่ยว่า “ข้าไม่ได้เมา ไม่ต้องดื่มน้ำแกงแก้เมา” เขาเดินไปข้างหน้าสองก้าว มือหนึ่งกุมหน้าผากหันกลับมามองเฟิ่งจิ่ว ยิ้มบอกว่า “ว่ากันว่าดื่มสุราแม้เมาก็ยังมีสติสามส่วน นี่ข้ายังมีสติอยู่ถึงเจ็ดส่วนเชียวนะ! เอาล่ะ ข้ากลับก่อนแล้ว เจ้าวางใจ เรื่องที่เจ้าขอร้องวันนี้ข้ารับปากจะทำให้” เอ่ยจบ ก็สาวฝีเท้าสะเปะสะปะเดินออกไปข้างนอก
………………………………….
ตอนที่ 2002 เจ้าตำหนักราตรีสังหาร
“เหลิ่งซวง ไปส่งเขาที ให้คนเตรียมรถม้าส่งเขากลับ” เฟิ่งจิ่วตะโกนออกไปข้างนอก ก่อนจะเอามือยันโต๊ะลุกขึ้น ส่ายหน้ายิ้มๆ ก่อนจะเดินกลับเข้าห้องไป
กลับเข้าห้องมาก็ล้างหน้าล้างตา เอนกายลงบนเตียง ทว่า ในขณะที่เธอกำลังจะหลับ ดวงจิตที่ยังคงตื่นอยู่กลับได้ยินเสียงฝีเท้าวิ่งผ่านบนหลังคา ชั่วพริบตา ดวงตาที่ปิดอยู่พลันเบิกโพลง ประกายเย็นวาบพาดผ่านอย่างรวดเร็ว
ผู้ใดกันใจกล้าถึงขั้นบุกเข้ามาในบ้านเธอตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดอย่างนี้?
เธอหลับตาฟังเสียงอย่างตั้งใจ ฟังจากเสียงฝีเท้านั้นก็รู้ว่าเป็นเสียงฝีเท้าของคนคนเดียว มาสำรวจเส้นทางล่วงหน้างั้นหรือ? เธอพลันสะดุดใจ เงาร่างของศัตรูที่อาจมีความเป็นไปได้ผุดขึ้นมาในหัว แต่ขณะเดียวกันก็คิดว่าด้วยชื่อเสียงของหอยาสวรรค์ในตอนี้ กลุ่มอำนาจต่างๆ ในเมืองร้อยนทีไม่น่าจะกล้าเป็นศัตรูกับพวกเขา
เช่นนั้น เป็นไปได้ว่าอาจเป็นกลุ่มคนที่มาไล่ล่าอาวุโสถานก่อนหน้านี้
หลังจากวันนั้น คนพวกนั้นก็เงียบหายไป เธอสั่งให้พวกหลัวอวี่ไปตามสืบ สุดท้ายก็สืบเจอกลุ่มอำนาจลับกลุ่มหนึ่ง คนพวกนั้นไร้การเคลื่อนไหวมาโดยตลอด เธอคิดว่าเรื่องนี้ควรจบแต่เพียงเท่านี้จะดีกว่า
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งก้านธูป เสียงเหลิ่งซวงดังมาจากข้างนอก
“นายท่าน”
“เข้ามา”
ครั้นได้รับอนุญาต เหลิ่งซวงเดินเข้ามา นางหยุดยืนที่ข้างเตียง รายงานเสียงเบาว่า “นายท่าน องครักษ์ลับในจวนบอกว่ามีคนลอบเข้ามาในจวนเรา เพียงแต่อีกฝ่ายเพียงมาสำรวจเล็กน้อยก็จากไปแล้ว พวกเขาไม่ได้แหวกหญ้าให้งูตื่น”
“อืม” เธอห่มผ้าหลับตา ไม่แม้แต่จะลืมตาขึ้น “สองวันนี้สั่งให้พวกเขาตื่นตัวกันหน่อย ส่วนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อกี้ ในเมื่ออีกฝ่ายไม่ได้เผยตัว ก็จงบอกพวกเขาอย่าเพิ่งปรากฏตัว”
“เจ้าค่ะ” เหลิ่งซวงรับคำ ก่อนจะหันตัวเดินออกไป
เฟิ่งจิ่วหลับไปครู่หนึ่ง กระทั่งท้องฟ้าเริ่มมืด เสียงฝีเท้าที่เงียบเชียบจนแทบไม่ได้ยินเสียงโฉบผ่านหลังคาเรือนของเฟิ่งจิ่ว ก่อนจะทิ้งตัวลงในลานสวนของเฟิ่งจิ่วอย่างเงียบงัน
“เป็นดังคาด ผู้แข็งแกร่งย่อมไร้ทหารอ่อนแอ นี่รู้แต่แรกแล้วว่าพวกเราจะมา?”
เสียงมากเล่ห์เหลี่ยมเสียงหนึ่งดังก้องท้องฟ้ายามราตรี ครั้นเสียงนี้เปล่งออกมา รอบข้างเงียบสงัด ไม่มีสิ่งใดผิดปกติ แต่บรรยากาศที่เงียบเกินไปเช่นนี้ กลับชวนให้รู้สึกผิดปกติ
ประตูเรือนค่อยๆ เปิดออก เฟิ่งจิ่วในชุดสีแดงเพลิงสาวเดินออกมาอย่างแช่มช้า สาตาจับจ้องไปที่เงาร่างตรงกลางซึ่งถูกห้อมล้อมไปด้วยองครักษ์ ลอบมองพิจารณาอีกฝ่ายเงียบๆ “ท่านเป็นคนของตำหนักราตรีสังหาร?”
ตำหนักราตรีสังหารก็คือกลุ่มอำนาจที่กำลังไล่ล่าอาวุโสถาน กลุ่มอำนาจนี้เรียกได้ว่าเป็นกลุ่มอำนาจลอบสังหาร ถือว่ามีชื่อเสียงในแถบนี้ทีเดียว
ชายที่อยู่ตรงกลางได้ยินอย่างนั้น ประกายคมปลาบพาดผ่านดวงตา เขาจ้องเฟิ่งจิ่ว ดวงตาฉายแววตะลึงในความงาม และประกายคมปลาบเหมือนเจอเหยื่อ “หึๆๆ นึกไม่ถึงว่าภูตหมอนอกจากมีวิชาแพทย์อันยอดเยี่ยม แล้วยังมีความสามารถด้านการสืบข่าวที่ไม่ธรรมดาด้วย เวลาสั้นๆ เพียงเท่านี้ก็รู้ว่าพวกเราคือคนของตำหนักราตรีสังหารแล้ว ไม่ธรรมดาจริงๆ”
“ท่านคือเจ้าตำหนักราตรีสังหาร?” เธอขมวดคิ้ว ไม่ค่อยชอบใจสายตาของอีกฝ่ายที่จ้องเธอเหมือนเจอเหยื่อ และเห็นได้ชัดว่าคนผู้นี้ไม่ได้ตระหนักถึงจุดนี้เลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้าม กลับเผยความทะเยอทะยานของเขาออกมาอย่างโจ่งแจ้ง
ชายที่เป็นหัวหน้ากระตุกมุมปาก จ้องเฟิ่งจิ่ว “ภูตหมอมีความสามารถถึงขนาดนี้ เป็นเรื่องน่าเสียดายหากจะอาศัยอยู่ในเมืองเล็กๆ เช่นเมืองร้อยนทีแห่งนี้ ไม่สู้เข้าร่วมตำหนักราตรีสังหารของพวกข้าเป็นอย่างไร? พวกข้าชื่นชมภูตหมอยิ่งนัก หากภูตหมอยินดีเข้าร่วมกับตำหนักราตรีสังหารของเรา เช่นนั้น สิ่งที่ท่านจะได้รับนั้นจะมากมายกว่าที่มีอยู่ในตอนนี้แน่นอน”
………………………………….