เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2165 ตัวตนที่น่าตะลึง / ตอนที่ 2166 ก็ข้าเองอย่างไรเล่า
ตอนที่ 2165 ตัวตนที่น่าตะลึง
“เฟิ่งจิ่ว ยานี้ของเจ้า…” เจ้าสำนักมองดูเด็กหนุ่มเอาขวดออกมาเก็บยาจนหมด จึงอดเอ่ยขึ้นมาไม่ได้ ทว่าเขายังพูดไม่ทันจบก็ถูกตัดบทก่อนแล้ว
“ยานี้ข้าไม่คิดจะขาย แล้วก็ไม่คิดจะแลกด้วย ยิ่งไม่คิดจะมอบให้ใคร” เฟิ่งจิ่วยิ้มตาหยี จ้องเจ้าสำนักที่กำลังอึ้งงัน ขณะเดียวกันก็เก็บยาทั้งสามขวดใส่ห้วงมิติต่อ
เจ้าสำนักที่ได้ยินอย่างนั้นตะลึงงัน เด็กหนุ่มผู้นี้พูดจาฉะฉาน ราวกับเคยผ่านเรื่องราวอย่างนี้มานับครั้งไม่ถ้วนแล้ว เขายังพูดไม่ทันจบ เด็กหนุ่มก็รู้แล้วว่าเขาคิดอะไรอยู่
เจ้าสำนักส่ายหน้ายิ้มๆ มองเด็กหนุ่ม ก่อนเอ่ยว่า “ระดับวรยุทธ์อย่างเจ้าอย่างไรก็ไม่ต้องใช้ยาทลายใจสีม่วงนี้อยู่ดี แทนที่จะเก็บไว้ ไม่สู้เอามาแลกสิ่งที่เจ้าอยากได้จากข้า เป็นอย่างไร? เจ้าวางใจ ข้าจะไม่ให้เจ้าเสียเปรียบอย่างแน่นอน”
เฟิ่งจิ่วที่ได้ยินอย่างนั้นกระตุกยิ้มมุมปาก เธอช้อนตามองเจ้าสำนัก รอยยิ้มบนใบหน้าแลดูเจ้าเล่ห์ชอบกล “ท่านเจ้าสำนักคิดว่าระดับวรยุทธ์อย่างข้าไม่จำเป็นต้องใช้ยาทลายใจสีม่วงนี้งั้นหรือ?”
“วรยุทธ์ระดับหลอมแก่นพลังของเจ้านั้นยังไม่ต้องใช่ยาทลายใจสีม่วงจริงๆ” เจ้าสำนักเอ่ยตามตรง กลิ่นอายพลังวิญญาณของเด็กหนุ่มอยู่ในระดับหลอมแก่นพลัง ระดับวรยุทธ์เช่นนี้เก็บยาทลายใจสีม่วงไว้กับตัวไปก็ไม่มีประโยชน์
เฟิ่วจิ่วยิ้มๆ “ไม่เป็นไร ต้องมีวันที่ข้าจะได้ใช้อย่างแน่นอน”
สิ้นเสียง เธอไม่เปิดโอกาสให้เจ้าสำนักเอ่ยอะไรอีก แต่หันไปมองไป๋ชิงเฉิงที่อยู่ข้างหน้า แล้วเดินมาย่อกายลงตรงหน้าอีกฝ่าย มองดูไป๋ชิงเฉิงที่ดวงหน้างามกลายเป็นสีขาวซีดไปแล้ว เธอหยักยิ้มมุมปาก ยิ้มพูดด้วยว่า “เจ้าแพ้แล้ว ต่อไปเจ้าก็ต้องเป็นคนรับใช้ของข้า”
ไป๋ชิงเฉิงขยับกลีบปากเล็กน้อย มองเด็กหนุ่มหน้าตาเจ้าเล่ห์ตรงหน้าด้วยใบหน้าซีดเผือด สุดท้ายกลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ นางรู้สึกเพียงหน้ามืดตาลาย ราวกับโลกทั้งใบกำลังจะถล่มลงมาอย่างไรอย่างนั้น
เหตุใดนางต้องเกิดความโลภด้วย? เหตุใดต้องอยากได้แกนเคลื่อนย้ายของเขากันนะ? เหตุใดต้องเอาตนเองไปเดิมพันกับเขา? เพราะเหตุใดกัน…
เวลานี้ ในใจนางเต็มไปด้วยความเสียใจและร้อนรน แทบไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรดี
“ท่านอาจารย์…ท่านอาจารย์ช่วยข้าด้วย…”
นางดึงสติกลับมา นึกถึงท่านอาจารย์ของนาง รีบกุลีกุจอไปดึงชายเสื้อคลุมของอาจารย์เพื่อขอร้องเขา นางไม่อยากไปเป็นคนรับใช้ของเด็กหนุ่มผู้นั้น นางไม่อยาก!
เซียนหยวนเหอดึงชายเสื้อกลับมา พูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบว่า “ข้าเคยเตือนเจ้าแล้ว แต่เจ้าไม่ฟัง นี่เป็นสิ่งที่เจ้าเลือกด้วยตนเอง ในเมื่อแพ้แล้ว ก็จงยอมรับผลเสียเถิด”
“ท่านอาจารย์…”
น้ำใสๆ ในดวงตาของไป๋ชิงเฉิงหลั่งริน ท่าทางเศร้าสลดไร้ที่พึ่ง ไม่เหลือเค้าความหยิ่งผยองเช่นตอนแรกที่เฟิ่งจิ่วเจอ
“ในเมื่อเป็นทาส เช่นนั้นก็ต้องผูกพันธนาการไว้หน่อย”
เฟิ่งจิ่วเอ่ย ขยับฝ่ามือ กลิ่นอายพลังวิญญาณกระจายอยู่ระหว่างนิ้วมือ เห็นเพียงเธอยกมือทาบลงบนหน้าผากของไป๋ชิงเฉิง ขณะประทับตราสัญลักษณ์ลงบนกายนาง ก็ดึงเอาดวงจิตของนางออกมาเก็บไว้ด้วย
ครั้นรู้สึกว่าร่างของตนเองถูกเขาประทับตราของเขาลงมา ขณะเดียวกันก็ถูกเขาดึงดวงจิตไปเก็บไว้ด้วย ไป๋ชิงเฉิงหน้าตาซีดเผือด ราวกับหมดอาลัยตายอยาก
จบกัน ชีวิตนี้นางไม่เหลืออะไรแล้ว…
เฟิ่งจิ่วเห็นนางหน้าตาหมดอาลัยตายอยากก็หยัดยิ้มมุมปาก เอ่ยว่า “ข้าให้เวลาเจ้าสามเดือน สะสางธุระของเจ้าให้เสร็จแล้วไปหาข้าที่หอยาสวรรค์ในเมืองร้อยนที เป็นเด็กดีทำตัวดีๆ เล่า บางที วันไหนข้าอารมณ์ดีๆ อาจปล่อยเจ้าให้เป็นอิสระก็ได้”
“หอยาสวรรค์ในเมืองร้อยนที?”
แวบแรกที่ได้ยินประโยคนั้น เจ้าเขาโอสถสะท้านไปทั้งใจ เขามองเฟิ่งจิ่วด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ อุทานเสียงหลงออกมาว่า “เจ้าคือภูตหมอเฟิ่งจิ่ว!”
………………………………….
ตอนที่ 2166 ก็ข้าเองอย่างไรเล่า
เมื่อได้ยินอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วยักคิ้วมองหน้าเจ้าเขาโอสถ
ขณะเดียวกันเจ้าสำนักและเหล่าเจ้าเขาต่างก็ถึงบางอ้อแล้วว่าเหตุใดจึงคุ้นหูกับชื่อของเฟิ่งจิ่วนัก! ที่แท้ก็เป็นนาง! ภูตหมอเฟิ่งจิ่ว!
ไม่แปลกที่เมื่อครู่พวกเขานึกไม่ออก ภูตหมอเฟิ่งจิ่วเป็นผู้หญิง อีกอย่างจากที่พวกเขารู้มาก ภูตหมอเฟิ่งจิ่วมักสวมใส่ชุดสีแดง บุคลิกสง่างาม แต่เด็กหนุ่มตรงหน้ากลับแต่งกายด้วยชุดสีเขียวธรรมดาไม่มีอะไรสะดุดตา หนำซ้ำยังเก็บซ่อนพลังของตนเองไว้เสียมิดชิด
ไม่น่าเล่า ไม่น่าเล่าพวกเขาถึงนึกไม่ออก เวลานี้ เจ้าสำนักเองก็เข้าใจในที่สุด เหตุใดเด็กหนุ่มอายุน้อยเพียงนี้จึงสามารถกลั่นยาทลายใจสีม่วงระดับหกคุณภาพสูงเช่นนี้ได้ ในที่สุดก็รู้ความหมายที่เด็กหนุ่มเอ่ยว่าสักวันหนึ่งเขาต้องได้ใช้ยาทลายใจสีม่วงนี้อย่างแน่นอน
จากที่เขารู้มา วรยุทธ์ของภูตหมอเฟิ่งจิ่วอยู่ในระดับปราชญ์เซียนแล้ว ยาทลายใจสีม่วงนี้ หากนางเก็บไว้ใช้เองก็สมเหตุสมผลแล้ว
ไม่น่าเล่า วาจาของนางมักเต็มไปด้วยความมั่นใจ เพราะนางรู้แต่แรกว่านางจะไม่แพ้อย่างแน่นอนนี่เอง!
ครั้นเห็นหน้าตาตกตะลึงของทุกึน เฟิ่งจิ่วยิ้มตาหยี “ฮะๆ ก็ข้าเองอย่างไรเล่า” ก็ใครใช้ให้พวกเขาไม่ถามชื่อแซ่ของเธอตั้งแต่แรกกันเล่า? ถึงถามไปแล้วก็ยังนึกไม่ออกว่าเธอเป็นใคร
เอาเถอะ! เธอยอมรับ หลังจากมาอยู่ที่นี่แล้วเธอเก็บตัวเงียบและสงบเสงี่ยมลงเยอะ
ซ่งหมิงไม่รู้ว่าเธอคิดสิ่งใดอยู่ หากรู้จะต้องกลอกตาขาวใส่เธออย่างแน่นอน สงบเสงี่ยม? เธอนั้นอยากสงบเสงี่ยน แต่ดูเรื่องเหล่านั้นที่เธอทำ มีเรื่องใดที่เรียกว่าสงบเสงี่ยมได้บ้าง?
ขณะเดียวกัน ณ หอยาสวรรค์แห่งเมืองร้อยนที เหลิ่งหวากับตู้ฝานเงยหน้ามองท้องฟ้าข้างนอก ดวงอาทิตย์ใกล้ลาลับขอบฟ้าแล้ว แต่นายท่านยังไม่กลับมา นายท่านบอกว่าจะกลับมาภายในวันนี้แท้ๆ
“ป่านนี้แล้วนายท่านก็ยังไม่กลับมา เจ้าว่านายท่านหายาทิพย์ไม่ได้หรือเปล่า?” ตู้ฝานถามเหลิ่งหวาที่อยู่ข้างๆ ด้วยความกังวล
“ไม่น่าใช่” เหลิ่วหวาตอบ “ในสำนักตะวันฉายมีคนที่นายท่านรู้จักอยู่ น่าจะช่วยได้บ้าง อีกอย่าง ตอนนี้ตะวันยังไม่ลับขอบฟ้า หากนายท่านจะกลับมา ไม่นานก็มาถึงแล้ว”
ได้ยินอย่างนั้น ตู้ฝานกำพัดในมือ ขมวดคิ้วเล็กน้อย “แต่ไม่รู้เพราะเหตุใด ตั้งแต่บ่ายวันนี้จิตใจข้าไม่ค่อยสงบนัก เจ้าว่า จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือไม่?”
“จะเกิดเรื่องอะไรขึ้นได้?” เหลิ่งหวาหันไปถามเขา
ตู้ฝานขมวดคิ้วครุ่นคิด “ข้ากลัวว่าตอนนายท่านไม่อยู่ ศัตรูของตลาดมืดจะตามมาถึงที่นี่ ได้ยินว่าพลังของอีกฝ่ายแข็งแกร่งมาก แม้จะมีหงส์ไฟอยู่ แต่ข้าก็กลัวว่า…”
ได้ยินตู้ฝานว่าอย่างนั้น เหลิ่งหวามองออกไปข้างนอกแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยว่า “ที่จริงข้าก็กังวลเรื่องนั้นเหมือนกัน เอาอย่างนี้! วันนี้ปิดร้านเร็วหน่อย พวกเราไปหารือกับพวกหลัวอวี่สักหน่อย”
“ดี”
ตู้ฝานรับคำ เดินเข้าไปข้างใน เขาเข้าไปกำชับทุกคนให้เก็บของ และสั่งให้พวกเขาปิดร้านพักผ่อนก่อนเวลา สุดท้ายก็สั่งให้เหล่าหญิงขายยาแยกย้ายกลับบ้านของตนเองไปเสีย
“เสี่ยวเอ้อร์ วันนี้เจ้าเองก็กลับบ้านเร็วหน่อยเถิด!” เหลิ่งหวากำชับหยางเสี่ยวเอ้อร์ “ระหว่างทางระวังตัวด้วย กลับบ้านไปพักผ่อนเถิด”
หยางเสี่ยวเอ้อร์ที่ได้ยินอย่างนั้น รู้สึกสงสัย “พี่ชายเหลิ่งหวา เกิดอะไรขึ้นอย่างนั้นหรือ? เหตุใดวันนี้ปิดร้านเร็วนัก?”
“ไม่มีอะไร พวกข้าแค่มีเรื่องจะหารือกันสักหน่อย ฉะนั้นจึงให้ทุกคนปิดร้านกลับบ้านไปพักผ่อนเร็วหน่อย” เหลิ่งหวายิ้มตอบอย่างอ่อนโยน
ได้ยินแล้วหยางเสี่ยวเอ้อร์พยักหน้า ยิ้มตอบไปว่า “ที่แท้ก็อย่างนี้เอง ก็ได้ อย่างนั้นข้า…”
………………………………….