เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2309 เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเฟิ่ง / ตอนที่ 2310 มาเพราะได้ยินข่าว
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 2309 เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเฟิ่ง / ตอนที่ 2310 มาเพราะได้ยินข่าว
ตอนที่ 2309 เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเฟิ่ง
ทุกคนนั่งลงในห้องโถงใหญ่ เด็กอายุน้อยกลับจ้องมองเฟิ่งจิ่วด้วยความสงสัย รู้สึกเพียงว่าช่างเป็นดวงหน้าที่งดงาม แม้แต่คนที่หน้าตาโดดเด่นที่สุดในหมู่พวกเขาก็ยังเทียบกับเขาไม่ได้
“พวกท่านเดินทางราบรื่นดีกระมัง” เฟิ่งจิ่วถาม สายตากวาดมองทุกคน
“นายท่าน ราบรื่นดี ตลอดทางเงียบสงบ ไม่มีอะไรเกิดขึ้น”
“ไม่เป็นไรก็ดีแล้ว” เธอพยักหน้า เอ่ยว่า “เดินทางมาถึงนี่แล้ว ต่อไปพวกท่านก็อาศัยที่นี่เลยก็แล้วกัน! ไม่ต้องไปอยู่ถ้ำใต้ดินแล้ว จะได้ดีต่อสุขภาพด้วย”
ครั้นได้ยิน ทุกคนล้วนยิ้มแย้ม “นี่ล้วนต้องขอบคุณนายท่าน ไม่อย่างนั้นพวกข้าเองก็ไม่กล้าคิดฝันว่าจะมีวันหนึ่งได้เดินเข้ามาในเมืองภูเขานิลอย่างสง่าผ่าเผยเช่นนี้”
แต่ก่อนแค่จะเอาชีวิตรอดยังเป็นปัญหาสำหรับพวกเขา ยังต้องหลบๆ ซ่อนๆ คอยปกป้องคนในตระกูล ตอนนี้กลับสามารถอาศัยอยู่ในสถานที่อย่างนี้ได้ พวกเขาย่อมมีความสุข
“นายท่าน ตอนนี้ในเมืองภูเขานิลมีแต่พวกเรา เกรงว่ากลุ่มอำนาจอื่นจะต้องรู้แล้ว พวกเขาต้องมาแย่งเมืองภูเขานิลกับเราแน่” ผู้นำตระกูลเฒ่าเอ่ยความกังวลใจของเขาออกมา
เฟิ่งจิ่วที่นั่งตำแหน่งเจ้าบ้านยิ้มๆ กล่าวว่า “เมืองภูเขานิลแห่งนี้นับแต่พรุ่งนี้เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเฟิ่ง ป้ายชื่อเมืองเขียนเสร็จและได้ส่งให้กู่เสียงแล้ว ไว้พวกเจ้าเอาป้ายไปแขวนหน้าประตูเมืองเสีย นอกจากนี้ แปะประกาศรับสมัครคนไว้ด้านนอกประตูเมืองด้วย ไม่รับผู้ฝึกวิชามารและคนชั่ว ส่วนผู้ฝึกเซียน ก็ให้คัดเลือกมาอย่างละเอียด”
เธอเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อว่า “ตอนนี้เมืองนี้มีเขตอาคมและค่ายกลคุ้มกันอยู่ ไม่ต้องกลัวพวกเขาจะบุกเข้ามา แต่อีกเดี๋ยวท่านช่วยจัดการหน่อย ให้คนเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวบนกำแพงเมืองสองคน”
“ได้ อีกเดี๋ยวข้าจะไปจัดการ” ผู้นำตระกูลเฒ่าเอ่ยอย่างนอบน้อม
“ตอนนี้ยังไม่มีเรื่องอะไรให้ทำ หลังจากนี้ข้าจะกักตัวฝึกตน ที่นี่มอบหมายให้พวกเจ้าปกป้องดูแล หากมีเรื่องใหญ่อะไรก็ให้มาหาข้า แต่ถ้าพวกเจ้ารับมือเองได้ ก็จงจัดการเสีย ส่วนเรื่องอื่นๆ หากมีอะไรไม่เข้าใจก็ถามกู่เสียง”
เธอลุกขึ้น สะบัดเสื้อคลุม เอ่ยกับพวกเขา “เรือนข้างนอกนั่นล้วนว่างอยู่ พวกท่าไปเลือกเองว่าอยากอยู่หลังใด!” เอ่ยจบ ก็หันตัวเดินไปข้างหลัง
ทุกคนในห้องโถงรับคำ หลังจากเขาออกไป จึงหันไปถามสถานการณ์อย่างละเอียดจากกู่เสียง สุดท้ายก็ให้ผู้นำตระกูลเฒ่าและสองผู้อาวุโสจัดแจงหน้าที่ให้คนในตระกูล
สองคนไปที่รักษาความปลอดภัยบนประตูเมือง กำลังคนกลุ่มเล็กๆ กลุ่มหนึ่งเดินลาดตระเวนในเมือง กลุ่มหนึ่งเตรียมออกไปตัดไม้กลับมาทำประตูเมือง พวกผู้หญิงแบ่งเป็นหนึ่งกลุ่ม ช่วยกันจัดการสัตว์ร้ายที่ถูกกองรวมกันไว้ตรงนั้น…
สามสิบเก้าคนแม้เป็นจำนวนไม่มาก แต่ทุกคนร่วมแรงร่วมใจกันแบ่งงานทำอย่างสามัคคี ทำให้เมืองที่รกร้างว่างเปล่าแห่งนี้ดูเป็นรูปเป็นร่างขึ้นมา…
ในอีกด้านหนึ่ง เฟิ่งจิ่วที่สั่งงานเสร็จก็เข้าไปด้านหลังของลานบ้านแห่งหนึ่ง เข้ามาในเรือนเสร็จเธอก็ปิดประตู หายตัวเข้าไปในห้วงมิติเพื่อฝึกวรยุทธ์
พลังวิญญาณถูกปลดผนึกแล้ว กลิ่นอายพลังเร้นลับก็ใกล้จะทะลวงขั้นเช่นกัน อีกทั้งเธอรู้สึกว่าช่วงที่กลิ่นอายพลังวิญญาณถูกผนึกไว้ ก็เหมือนต้องการจะทะลวงขั้นแล้วเช่นกัน ตอนนี้เรื่องในเมืองสะสางเรียบร้อยแล้ว เป็นโอกาสดีที่จะเก็บตัวฝึกฝน
หากสามารถทะลวงขั้นได้ในครั้งเดียว ถือเป็นเรื่องที่ดีสำหรับเธอ อย่างน้อย ภายหน้าหากต้องต่อกรกับหัวหน้าของอีกเจ็ดกองกำลังที่เหลือก็คงจะง่ายขึ้น
ยิ่งไปกว่านั้น วันหน้าเธอยังต้องทลายเขตอาคมและค่ายกลของที่แห่งนี้อีก อย่างไรก็จะต้องทำให้สี่จักรพรรดิใหญ่แตกตื่น หากตอนที่อยู่ในนี้เธอสามารถทะลวงขั้นพลังไปถึงระดับจักรพรรดิเซียนได้ อย่างน้อยก็มีความมั่นใจเพิ่มขึ้นหนึ่งส่วน
………………………………….
ตอนที่ 2310 มาเพราะได้ยินข่าว
เธอที่นั่งขัดสมาธิขับเคลื่อนกลิ่นอายพลังเร้นลับในตัว ดึงดูดกลิ่นอายพลังเร้นลับทั้งหมดออกมาจากนั้นก็ผลักดันกลับไปที่จุดตันเถียนอีกครั้ง นำเอากลิ่นอายพลังวิญญาณไหลเวียนไปยังเส้นชีพจรทั่วร่างกาย ค่อยๆ ขยายเส้นชีพจรแต่ละเส้นให้ใหญ่ขึ้น…
ด้านนอก ผู้นำตระกูลกับสองผู้อาวุโสยืนอยู่นอกเมือง ดูสองคนที่กำลังนำป้ายชื่อเมืองเฟิ่งขึ้นไปแขวน ลอบพยักหน้า “ชื่อนี้นายท่านตั้งได้ไม่เลวจริงๆ ลายมือแฝงรัศมีเจิดจรัส ตวัดเขียนได้อย่างทรงพลังในพู่กันเดียว กลับไม่เหมือนอักษรที่ถูกเขียนขึ้นโดยเด็กหนุ่มอายุยี่สิบกว่าปี”
ได้ยินอย่างนั้น อาวุโสใหญ่ลูบหนวด “นายท่านไม่ใช่คนธรรมดา ย่อมไม่อาจใช้คนธรรมดามาเปรียบเทียบได้”
ผู้นำตระกูลพยักหัว “ ก็จริง” เขามองป้ายประกาศที่แปะเสร็จแล้ว พูดขึ้นว่า “พวกเราเข้าไปกันเถอะ!”
เมื่อพวกเขาเข้าไป เหล่าผู้ฝึกตนไร้สำนักที่อยู่ไม่ไกลมองหน้ากันแวบหนึ่ง ต่างก็เดินมาที่ประตูเมืองโดยไม่ได้นัดหมาย ลอบสงสัยว่าพวกเขากำลังง่วนอยู่กับอะไรเกือบครึ่งวันข้างนอกนี้
ครั้นเดินเข้ามาใกล้ จึงเห็นว่าบนประตูเมืองถูกเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองเฟิ่งแล้ว บนกำแพงข้างหนึ่งของประตูเมือง มีประกาศรับสมัครแปะไว้แผ่นหนึ่ง
เมื่ออ่านเนื้อหาในป้ายประกาศ ผู้ฝึกตนไร้สำนักแต่ละคนมีหน้าแตกต่างกันไป ผู้ฝึกวิชามารเหล่านั้นหน้าเคร่งขรึมทันที ไอพิฆาตในดวงตาป่วนพล่าน ส่วนผู้ฝึกตนบางคนกลับมีสีหน้าดีใจ ดวงตาเป็นประกายขึ้นมา
“ป้ายประกาศรับสมัครนี่เอง! ดูท่า คำพูดที่เขาพูดวันนั้นเป็นเรื่องจริง เขาต้องการคนจำนวนหนึ่งเพื่อสร้างกองกำลังที่แข็งแกร่งจริงๆ” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งเอ่ยขึ้นด้วยความตื่นเต้น
คนข้างๆ เขาเหล่มอง เอ่ยว่า “คนคนนั้นดูลึกล้ำยากแท้หยั่งถึง ไม่รู้ว่ามีแผนการอะไร ใครจะไปกล้าเข้าร่วมกลุ่มกับเขา กลายเป็นลูกน้องของเขากัน”
“ไม่ว่าอย่างไรนี่ก็ถือว่าเป็นข่าวดี โดยเฉพาะแค่เขามีพลังที่แข็งแกร่ง เท่านี้ก็เพียงพอแล้ว”
ผู้ฝึกตนคนนั้นว่า ดวงตาสาดประกายวาบวับ “สามารถทำลายเมืองภูเขานิลแล้วยึดครองเป็นของตนเอง เห็นได้ว่าพลังแข็งแกร่งเพียงใด ยิ่งไปกว่านั้น เหตุการณ์วันนั้นพวกเราก็เห็นแล้ว คนคนนั้น เขาเป็นถึงร่างเทพประทับเชียวนะ!”
“ร่างเทพประทับแล้วอย่างไรเล่า สถานที่อย่างนี้อย่างไรก็ทะลวงขั้นพลังไม่ได้อยู่ดี พลังของพวกเราไม่ขยับมาตั้งกี่ปีแล้วล่ะ” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งพึมพำ
ทุกคนต่างก็เงียบ ไม่มีใครพูดอะไรอีก ก็จริง ในสถานที่ที่ไม่อาจทะลวงขั้นพลังได้อีก ในสถานที่ที่ถูกทอดทิ้งเช่นนี้ พวกเขาทำได้เพียงรอความตาย ไม่อาจพัฒนาพลังได้อีก เมื่อใกล้อายุขัยแล้ว สุดท้ายพวกเขาก็คงต้องพบกับจุดจบแห่งความตายเท่านั้น
“อย่างอื่นไม่รู้ เข้าร่วมกลุ่มกับพวกเขา จะต้องมีอาหารมากพอให้กินอิ่มแน่นอน” ผู้ฝึกตนคนหนึ่งเลียปาก เงยหน้ามองป้ายที่อยู่เหนือประตูเมืองด้วยดวงตาแวววับ เสียงแฝงกลิ่นอายพลังวิญญาณเปล่งออกจากปากเขาอย่างเร่งร้อนใจ
“ข้าต้องการเข้าร่วมเมืองเฟิ่ง กลายเป็นหนึ่งในคนเมืองเฟิ่ง ให้ข้าเข้าไปเถอะ!”
สองคนที่อยู่บนกำแพงเมืองได้ยินคำพูดที่ถูกตะโกนส่งขึ้นมา มองหน้ากันแวบหนึ่ง ก่อนที่หนึ่งในนั้นจะตะโกนลงไป “คนที่ต้องการเข้าร่วมรอข้างล่างสักครู่ นายท่านมีกฎ เมื่อคนมารวมตัวกันได้จำนวนหนึ่งเขาจะมาเลือกคนที่สามารถเข้าร่วมได้ด้วยตนเอง ก่อนหน้านั้น พวกเจ้าไม่ว่าใครก็เข้ามาไม่ได้”
ครั้นได้ยินคำตอบ เหล่าผู้ฝึกตนที่อยู่ข้างล่างประตูเมืองต่างประหลาดใจ กลับนึกไม่ถึงว่าจะเป็นเช่นนี้ ด้วยเหตุนี้ จึงมีบางคนทยอยจากไป บางคนกลับรออยู่ข้างล่าง หาที่นั่งจากนั้นก็นั่งขัดสมาธิเพื่อเฝ้าอยู่อย่างนั้นไม่จากไปไหน
เมื่อเวลาผ่านไปทีละวันๆ ผู้ฝึกตนที่มาเพราะความฉงนฉงายก็มี ผู้ฝึกตนที่ตั้งใจมาโดยเฉพาะก็มี ผู้คนเริ่มมารวมตัวกันอยู่หน้าเมืองเฟิ่งจนกลายเป็นฝูงชนขนาดใหญ่…
………………………………….