เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 239 เหล่าไป๋โดนขโมย! + ตอนที่
ตอนที่ 239 เหล่าไป๋โดนขโมย!
คำพูดนี้เพิ่งกล่าวจบ ก็เห็นนายท่านเขากวาดมองมาอย่างเย็นชา สายตานั้น มองเสียจนเขาขนลุกอยู่ลึกๆ ในใจ
หรือว่า จะเกิดข้อผิดพลาดอะไรขึ้นอีก? สงสัยอยู่ในใจ กลับไม่กล้าเอ่ยถาม
นายท่านมักให้ความสนใจกับเรื่องของภูตหมออย่างไม่คาดคิด เดิมนึกว่าไม่ว่ายังไงคงต้องรอจนเย็นค่ำนายท่านถึงจะกลับมา ใครจะรู้ว่ายังไม่ถึงครึ่งค่อนวันก็กลับมาแล้ว เดาว่า คงเกิดข้อผิดพลาดขึ้นจริงๆ
แต่ว่า มันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่? หรือภูตหมอจะทำอะไรไม่ดีกับนายท่าน?
ทั้งสองโอบกอดความรู้สึกกระวนกระวาย มองนายท่านเดินเข้าห้องปิดประตูโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียวพร้อมด้วยสีหน้าหม่นหมอง
ผ่านไปสักพัก สองคนถึงจะมองหน้ากันแวบหนึ่ง เดินมานอกเรือนพูดคุยขึ้นเสียงเบา
“เจ้าว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น?” ฮุยหลางมองอิ่งอีพลางถาม
อิ่งอีครุ่นคิด บอกว่า “ต้องเกี่ยวกับภูตหมอแน่ๆ ไม่งั้นสีหน้านายท่านคงไม่ดูไม่ได้เพียงนั้น”
“เจ้าบอกเองนะ! ไม่ให้ตามไปแต่แรก หากพวกเราแอบๆ ตาม คงได้รู้ว่าระหว่างนายท่านกับภูตหมอมันเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่!”
คิดไปคิดมา อิ่งอีก็เอ่ยกดเสียงเบาลง “ไม่งั้นเอาอย่างนี้ เจ้าออกไปสอบถามเสียหน่อย? หลังจากพวกเรากลับมานายท่านเคยไปที่ไหนมาบ้าง? แล้วภูตหมอนั่นไปไหนแล้ว? ในเมืองลิ่วเต้านี้ก็มีคนของพวกเราอยู่ เรื่องนี้ตรวจสอบไม่ยากหรอก”
“ตรวจสองเรื่องวันนี้ของนายท่าน? นี่… ไม่ค่อยดีเท่าไหร่กระมัง?” ฮุยหลางสีหน้าลำบากใจ “หากนายท่านรู้เรื่องเข้า พวกเราทำอะไรไปต้องรับผลที่ตามมาด้วยนะ!”
“เจ้าเป็นคนใกล้ชิดนายท่าน ข้าเป็นองครักษ์อิ่งของนายท่าน เจ้าเห็นนายท่านกลับมาสีหน้าดูไม่ได้เพียงนี้ หรือว่าพวกเราไม่ควรทำให้สถานการณ์มันชัดเจนหรอกรึ? ยิ่งไปกว่านั้น เรื่องนี้เป็นไปได้มากว่าจะเกี่ยวกับภูตหมอ หากไม่กล้าตรวจสอบเบาะแสวันนี้ของนายท่าน งั้นก็ตรวจสอบภูตหมอเถอะ”
ฟังเขาพูดถึงเพียงนี้ คล้ายจะมีเหตุผลอยู่บางส่วน ด้วยเหตุนี้ ฮุยหลางจึงพยักหน้า “ได้ งั้นข้าจะลองไปเดี๋ยวกลับมา”
เดินออกไปไม่กี่ก้าวกลับชะงักลง มองอิ่งอี ถามว่า “ทำไมเจ้าไม่ไปเล่า? เรื่องนี้เจ้าไปเองก็ได้นี่!”
อิ่งอีมองเขา บอกว่า “ข้าต้องคอยเฝ้านายท่านอยู่ในนี้!”
“ข้าก็เฝ้านายท่านอยู่ในนี้ได้เหมือนกัน เจ้าไปตรวจสอบสิ กลับมาข้าจะได้ไม่โดนทำโทษอีก” ฮุยหลางเดินกลับมา ส่งสัญญาณให้เขาไป
“เจ้าไม่ไปจริงรึ?”
“ไม่ไป!” ฮุยหลางส่ายหน้า คิดว่านี่ไม่ใช่ธุระกงการอะไร
“เจ้าไม่ไปข้าไป แต่ว่าหลังกลับมาอย่าถามข้าแล้วกัน”
“ทำไมเล่า?”
อิ่งอีเดินออกไปพลางบอก “เพราะข้าจะตรวจสอบแค่ภูตหมอ” ตรวจสอบแค่ภูตหมอ ต่อให้นายท่านรู้ก็ไม่เป็นไร
“คนทรยศ!” ฮุยหลางสบถเบาๆ มองเขาเดินไกลออกไป ก็กลับมาเฝ้าอยู่ในเรือน
อีกด้านหนึ่ง ภายในตรอก
เฟิ่งจิ่วเหยียบบนหลังเสี่ยวเอ้อคนนั้น โน้มตัวลงเล่นมีดสั้นในมือ มองเสี่ยวเอ้อที่สีหน้าซีดเผือดและหวาดกลัวนอนอยู่บนพื้น
“เจ้าเอาม้าข้าไปไว้ไหนเสียแล้วเล่า?”
“ม้า ม้าอะไรขอรับ? ข้า ข้าไม่รู้… อ๊าก!”
ยังพูดไม่ทันจบ เสียงกรีดร้องอันรุนแรงก็ดังขึ้น
เพียงเห็นว่า หลังมือเสี่ยวเอ้อที่นอนอยู่บนพื้นนั้นถูกมีดสั้นแทงทะลุผ่านไป เลือดสดๆ ไหลออกมาทันที เจ้าของร้านที่ไล่ตามมามองเฟิ่งจิ่วด้วยความตกใจเสียจนร่างกายแข็งทื่อ
“คุณ คุณชาย มีอะไรพูดกันดีๆ เถิด อย่าได้ทำกันถึงชีวิตเลยขอรับ”
เฟิ่งจิ่วดึงมีดสั้นออก เช็ดๆ เลือดบนใบหน้าเสี่ยวเอ้อคนนั้น น้ำเสียงที่เชื่องช้าน้อยๆ มีความไม่สนใจใยดีอยู่บางส่วน กลับเย็นเยียบเสียจนน่าสะพรึง
“ม้าของข้าล่ะ?”
เสี่ยวเอ้อผู้สีหน้าขาวซีดกลืนน้ำลายมองมีดสั้นแหลมคมเล่มนั้น กล่าวเสียงสั่นเทา “อยู่ อยู่หอเมฆาทรงเกียรติขอรับ…อ๊าก!”
………………………………………………….
ตอนที่ 240 การแข่งขันในสนาม!
“หอเมฆาทรงเกียรติรึ?”
เฟิ่งจิ่วเลิกคิ้วขึ้น มองเจ้าของร้านที่กำลังปาดเหงื่ออยู่ข้างๆ “มันเป็นที่ใดกันรึ?”
แต่หลังจากได้ยินชื่อหอนั้น เจ้าของร้านนิ่งไปพักหนึ่ง จากนั้นค่อยออกหน้าเตะเสี่ยวเอ้อสองสามทีอย่างโกรธเกรี้ยว “เจ้าสมควรถูกแทงสักพันครั้ง! มือเท้าช่างสกปรกนัก! นึกไม่ถึงว่าจะเอาม้าลูกค้าไปขายที่หอเมฆาทรงเกียรติ น่ารังเกียจ!”
“ซี๊ด! อ๊าก! เจ้าของร้านอย่าทำข้าเลย คุณชายเมตตาด้วย ข้าน้อยไม่กล้าอีกแล้ว…” เสี่ยวเอ้อร้องไห้อ้อนวอน เวลานี้ไหนเลยจะยังระรื่นชื่นใจที่ได้รับเงินทองมาก่อนหน้าได้อีกเล่า?
คิดว่าคุณชายชุดแดงข้างๆ ยังคงเฝ้ารอคำพูดเขา เจ้าของร้านจึงพูดอย่างอึดอัดไม่สบายใจ “หอ หอเมฆาทรงเกียรติเป็น เป็นสถานที่ที่ลูกหลานตระกูลชนชั้นสูงกับพวกผู้ฝึกตนในเมืองที่ว่างไม่มีอะไรทำมาเที่ยวเล่นผ่อนคลาย ที่นั่นแตกต่างจากสถานที่ทั่วไป พวกเขาจะซื้อพวกสัตว์ร้ายหรือสัตว์วิญญาณเข้าไปให้แขกเหรื่อยิงฆ่า”
ได้ยินคำพูดนี้ ดวงตาเฟิ่งจิ่วก็หรี่ลง เท้าเหยียบลงบนหลังมือเสี่ยวเอ้อที่บาดเจ็บเลือดไหล น้ำเสียงเยือกเย็นราวน้ำแข็งเปล่งออกมา
“เจ้าขโมยม้าข้าไปได้ยังไง?”
ด้วยนิสัยเหล่าไป๋ที่เกียจคร้านเสียจนกลายเป็นสุนัข แม้แต่ไป๋เสี่ยวยังไม่แน่ว่าจะเรียกให้มันขยับเดินได้ แล้วเสี่ยวเอ้อคนนี้จะพามันไปขายยังหอเมฆาทรงเกียรติได้อย่างไรเล่า?
“ข้า ข้าวางยาลงใน ในกุ้งปลาที่มันกิน จากนั้น จากนั้นค่อยใช้รถล้อลาก ลากไปขอรับ”
เสี่ยวเอ้อตอนนี้มีแม้แต่ใจที่คิดยอมตาย เดิมนึกว่าลูกค้าท่านนี้ไม่น่าสังเกตเห็นว่าม้าหายไปได้เร็วถึงเพียงนั้น ใครจะรู้เขายังไม่ทันวิ่งหนี ก็มาตามหาเสียแล้ว
เฟิ่งจิ่วยื่นมือไปคว้าแขนเขาข้างหนึ่งหักลงมา เพียงได้ยินเสียงกรีดร้องโหดร้ายดังขึ้นทันใด ต่อจากนั้น ก็เห็นเสี่ยวเอ้อเจ็บเสียจนเป็นล้มไปเสียดื้อๆ
เจ้าของร้านตกใจ รีบถามว่า “นี่ นี่จะไม่ถึงตาย ตายรึขอรับ?”
เฟิ่งจิ่วชำเลืองมองเสี่ยวเอ้อบนพื้น บอกว่า “เขาเสียแขนไปข้างหนึ่งเท่านั้นเอง ไม่ถึงตายหรอก”
สิ้นสุดน้ำเสียง ก็เอ่ยว่า “หอเมฆาทรงเกียรติอยู่ที่ใด? พาข้าไปสิ”
เจ้าของร้านกลืนน้ำลาย บอกว่า “คุณชาย ของที่เข้าไปในหอเมฆาทรงเกียรติจะไม่กลับมาอีก หนำซ้ำ พวกเขาก็ไม่ใช่ว่าจะยุแหย่กันได้ง่ายๆ…”
“พวกเขายากจะยุแหย่ งั้นข้าง่ายกว่ารึ?”
เธอเหลือบมองเจ้าของร้าน “ม้าข้าหายไปจากโรงเตี๊ยมพวกเจ้า เรื่องนี้ข้าค่อยกลับไปคิดบัญชีกับเจ้า รีบนำทางไปให้ไวหน่อย อย่าเอาแต่ขลาดกลัว”
สุดท้าย เจ้าของร้านก็ทำอะไรไม่ได้ จำใจพาเขามาถึงหน้าหอเมฆาทรงเกียรติ “เป็นที่นี่ขอรับ คุณชาย ข้า ข้าไม่เข้าไปนะขอรับ”
เฟิ่งจิ่วโบกๆ มือ ส่งสัญญาณให้เขากลับไปก่อน ส่วนตัวเองก็สาวก้าวเดินเข้าไป มายังลานประลองสัตว์ร้ายกลางแจ้งด้านหลังภายใต้การนำทางของข้ารับใช้
มันคือลานประลองที่ล้อมรอบด้วยกรงเหล็กสูงถึงสามเมตรที่ใช้ขังสัตว์ร้าย มีเต็มๆ ร้อยกรงขังเหล็ก ภายในยังมีสัตว์ร้ายหรือสัตว์วิญญาณอยู่ร้อยตัว
เวลานี้บริเวณรอบสนามเต็มไปด้วยเสียงปรบมือ ทั่วทั้งสนามแลดูคึกคักยิ่งนัก แม้แต่พวกเสียงการวางเดิมพันและพูดคุยกันยังลอยเข้ามาในหู
“พวกเจ้าว่าคุณชายหลิ่วผู้นั้นทำให้ม้าวิญญาณตัวนี้เชื่องได้งั้นรึ? อย่าพูดไปเลย หากไม่เห็นด้วยตาตัวเอง ก็มองไม่ออกจริงๆ ว่าม้าอ้วนตัวนี้มีความสามารถมากมายเพียงนี้”
“ก็ใช่ ว่ากันว่าเพิ่งซื้อกลับมาเมื่อเช้าตรู่ เดิมทีไม่มีใครสนใจ เพราะม้าอ้วนตัวนั้นนอนขี้เกียจอยู่ตลอด จนกระทั่งสัตว์ร้ายสองสามตัวถูกคนที่จะยิงฆ่ายุให้กระวนหระวาย เสียจนหนีอุตลุดพุ่งไปทางม้าอ้วนตัวนั้น ตอนนั้นทุกคนในสนามต่างคิดว่าประเดี๋ยวม้าอ้วนคงตายแน่แล้ว นึกไม่ถึงว่าจะถูกทำให้ล้มคว่ำ พวกเจ้ามาช้าไม่ทันได้เห็น ภาพนั้นทำให้คนทั้งสนามลุกขึ้นมาโฮ่ร้องเชียวนะ”
“หึ พวกลูกชายตระกูลล้วนชื่นชอบม้าอ้วนนั่น หอเมฆาทรงเกียรติก็ต้องแอบปลื้มใจ ว่าจะทำเงินได้สักเท่าไหร่กัน?”
ได้ยินคำพูดที่ลอยเข้าหูมา เฟิ่งจิ่วมองไปในสนาม ก็เห็นว่าม้าอ้วนตัวนั้นในสนามคือเจ้าหนุ่มเหล่าไป๋นั่นเอง
………………………………………………….