เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2569 วุ่นวาย / ตอนที่ 2570 หลิงเทียนอวี่
ตอนที่ 2569 วุ่นวาย
ครั้นเห็นสมุนไพรมีค่าที่วางขายอย่างลวกๆ ไว้บนแผงลอย เธออดเบิกตากว้างด้วยความตะลึงและสาวเท้าเข้าไปอย่างรวดเร็วไม่ได้ “นะ นี่มันกล้วยไม้สามแฉกม่วงไม่ใช่หรือ? ซี้ด! นี่ม มันเห็ดหลินจือขอบหยกดำพันปี!”
ยามเธอเห็นยาทิพย์เหล่านี้ที่หาได้ยากข้างนอกนั่น ก็อดสูดปากไม่ได้ ของมีค่าและหายากพวกนี้ก็หาได้แค่ที่นี่เท่านั้นแหละ อยู่ข้างนอกนั่น แม้เธอจะอยากออกไปเก็บรวบรวมก ก็คงหาไม่ได้
“ขายอย่างไรหรือ?” เธอชี้ไปที่ยาทิพย์สองต้นนั้นก่อนถาม ขณะที่สายตาก็จับจ้องไปยังยาทิพย์ตัวอื่นด้วย เห็นแต่ละต้นล้วนมีอายุพันปี แต่กลับถูกวางขายลวกๆ อยู่บนแผงลอยบนพื นเช่นนี้ หัวใจของเธอบีบรัดขึ้นมาอย่างทนไม่ไหว
ช่างเสียของจริงๆ! ของดีอย่างนี้กลับถูกวางไว้บนพื้นเช่นนี้ ไม่มีแม้กระทั่งกล่องสวยๆ หรืออะไรทำนองนั้น ทำเอาพูดไม่ออกเลยจริงๆ
“ขาย? หึๆ ที่นี่พวกเราไม่รับเหรียญเงิน มีเพียงสิ่งของแลกสิ่งของเท่านั้น” เขาว่า ก่อนจะชี้ไปที่ข้อความอักษรด้านหนึ่ง
ครั้นอ่านข้อความบนนั้น เฟิ่งจิ่วชะงักเล็กน้อย “อย่างนั้นของพวกนี้ ต้องใช้อะไรมาแลกเปลี่ยนกับท่านหรือ?”
เธอเพิ่งจะถามจบ ผู้ฝึกตนคนนั้นยังไม่ทันตอบ ผู้ฝึกตนอีกคนที่อยู่ข้างๆ ก็หัวเราะเสียงกังวาน “สหายน้อย ในเมื่อเจ้าเพิ่งมาที่นี่ครั้งแรก ก็อย่าเพิ่งไปแลกเปลี่ยนสิ่งของเหล่ านั้นเลย มาๆ ที่ข้ามียาที่รักษาอาการบาดเจ็บภายในโดยเฉพาะ เจ้าพกไว้ป้องกันตัวสักขวดสองขวดเถอะ!”
ได้ฟังเช่นนั้น เฟิ่งจิ่วยักคิ้ว “หมายความว่าอย่างไร? อยู่ที่นี่ข้าจะถูกคนทำร้ายด้วยหรือ?”
“ไม่ถูกใครทำร้าย แต่ที่นี่มีคนที่ขึ้นชื่อเรื่องชอบท้าทายคนอื่น เจ้าเพิ่งมาครั้งแรกต้องหนีไม่พ้นแน่นอน” ผู้ฝึกตนคนนั้นหัวเราะเสียงกังวาน ในมือถือขวดยาแกว่งไปแกว่งมา
เฟิ่งจิ่วหลุดหัวเราะ เอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า “ข้าใช้ยาระดับหกขวดหนึ่งแลกกับยาทิพย์สองต้นนี้ของท่านเป็นอย่างไร?”
“ยาระดับหก? ไม่ได้ๆ อย่างน้อยก็ต้องระดับเจ็ด” ผู้ฝึกตนคนนั้นว่า ก่อนจะโบกมือปฏิเสธ
“ระดับเจ็ด?”
เฟิ่งจิ่วมุมปากกระตุก จ้องผู้ฝึกตนคนนั้น เอ่ยว่า “ท่านรู้หรือไม่ว่ายาระดับเจ็ดต้องใช้ยาทิพย์มีค่ามากมายเท่าใดกว่าจะกลั่นออกมาได้? แม้ยาทิพย์สองต้นนี้จะมีค่ามาก แต่ ก็มีค่าไม่มากไปกว่ายาทิพย์ที่ต้องใช้ในการกลั่นยาระดับเจ็ดหรอก”
“ไม่มีระดับเจ็ดข้าก็ไม่เอาหรอกนะ”
ผู้ฝึกตนคนนั้นโบกมือ ท่าทางเหมือนยังอยากจะพูดอะไรอีก แต่จู่ๆ ก็เหมือนสังเกตเห็นอะไรบางอย่าง เขารีบเก็บของบนแผงลอย หาบห่อผ้าใหญ่ๆ ที่ห่อยาทิพย์ขึ้นบ่าแล้วสาวเท้าออ อกวิ่งทันที
เฟิ่งจิ่วนั่งย่อตัวอยู่บนพื้นอย่างงงงัน เธอมองเงาร่างที่หายลับไปในพริบตาด้วยความตะลึง ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น
“หนีเร็ว ลูกชายเจ้าเมืองมาอีกแล้ว!” เสียงตะโกนหนึ่งดังขึ้น พ่อค้าแม่ค้าแผงลอยรอบๆ รีบเก็บของแล้วออกวิ่งทันที ชั่วขณะหนึ่ง ทุกหนทุกแห่งเต็มไปด้วยความชุลมุนวุ่นวาย
เฟิ่งจิ่วลุกขึ้นหันไปมอง เห็นเพียงบนถนนมีชายคนหนึ่งนั่งอยู่บนเกี้ยวที่แบกโดยคนแปดคนเคลื่อนตัวเข้ามาอย่างช้าๆ ทั้งสี่ด้านของตัวเกี้ยวเปิดออกหมด ด้วยเหตุนี้จึงสามารถม มองเห็นคนคนนั้นกำลังถือแส้สะบัดไปมา
ทุกครั้งที่สะบัดแส้ออกไปกลางอากาศ จะเกิดเสียงแหวกอากาศดังวืด ดวงตาคมกริบคู่นั้นจ้องมองผู้คนข้างนอกที่กำลังวิ่งหนีเตลิด เหมือนกำลังดื่มด่ำกับความหวาดกลัวของผู้คน ผ่านไปไม ม่นาน สายตาของเขาหันไปมองทางเฟิ่งจิ่วในชุดสีแดงสะดุดตา
“หยุด” เสียงคำสั่งดังขึ้น เกี้ยวหยุดเคลื่อนไหว
ผู้ชายคนนั้นนั่งพิงหมอนอยู่บนเกี้ยว มองเฟิ่งจิ่วในชุดสีแดงหน้าตาโดดเด่น ประกายมืดมนพาดผ่านดวงตาไป…
………………………………….
ตอนที่ 2570 หลิงเทียนอวี่
สายตาจองหองของอีกฝ่ายจ้องพิจารณาที่ตัวเธอ มองแล้วมองอีก เหมือนต้องการจะมองให้ออกว่าเธอเป็นผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ ผ่านไปครู่หนึ่ง ขณะที่คนคนนั้นละสายตากลับไป เธอก ก็ละสายตากลับมาเช่นกัน ก่อนจะหันตัวแล้วเดินจากไป
ที่แห่งนี้แปลกประหลาดอยู่บ้าง ทั้งที่เป็นเกาะ แต่บนเกาะกลับมีเมืองอยู่ อย่างนั้นแล้วบันไดสู่แดนเซียนที่ผู้เฒ่าเทียนจีว่าอยู่ที่ไหนกันเล่า? ดูท่า ต้องหาคนแล้วถามเสียแล ล้ว
“หยุดอยู่ตรงนั้น”
ขณะที่เธอกำลังจะหันตัวออกเดิน เสียงตวาดเย็นๆ พลันดังมา ขณะที่เสียงตวาดนั้นดัง ทหารวรยุทธ์ระดับปราชญ์เซียนสิบกว่าคนพุ่งเข้ามาล้อมเธอไว้
มองผู้ฝึกตนระดับปราชญ์เซียนพวกนั้น เธออดฉายสีหน้าแปลกๆ ไม่ได้ บนแผ่นดินใหญ่แถบใต้แม่น้ำ ปราชญ์เซียนคนเดียวก็นับว่าหายากแล้ว บนแผ่นดินใหญ่แถบเหนือแม่น้ำ ปราชญ์เซียนค คนหนึ่งสามารถทำให้ตระกูลหนึ่งกลายเป็นตระกูลชั้นนำได้ แต่สถานที่แห่งนี้ที่ถูกเรียกว่าเกาะเซียนเฝิงไหล ในเมืองแห่งนี้นั้น ผู้แข็งแกร่งระดับปราชญ์เซียนกลับมีอยู่ให้เห็น นทั่วไปเหมือนผักกาดขาว
โชคดีที่เธอเป็นผู้แข็งแกร่งระดับจักรพรรดิเซียนแล้ว ไม่อย่างนั้นคงตะลึงค้างไปแล้วตอนที่เห็นคนพวกนี้
คนพวกนี้มีพลังเช่นนี้ตั้งแต่เกิด? หรือเพราะเหตุผลอื่นถึงได้มีพลังเช่นนี้กันแน่นะ? ช่างน่าสงสัยจริงๆ เลย!
เธอเหลือบมองทหารรับระดับปราชญ์เซียนสิบกว่าคนแวบหนึ่ง เบี่ยงตัวเล็กน้อย หันไปมองชายที่นั่งอยู่บนเกี้ยว ก่อนถามว่า “มีธุระ?”
“เจ้าดูหน้าไม่คุ้น เพิ่งมาหรือ?” ชายที่นั่งอยู่บนเกี้ยวหรี่ดวงตาคมปราบ จ้องมองมาที่เฟิ่งจิ่ว
“ใช่แล้ว” เธอรับคำ
“มาจากที่ใด? มาทำอะไรที่นี่?”
เฟิ่งจิ่วได้ยินคำถามก็ยักคิ้ว “ข้ามาทำอะไรที่นี่? ยังต้องรายงานเจ้าอีกหรือ?”
คนรอบข้างได้ยินคำพูดของเฟิ่งจิ่วต่างก็สูดปาก “เจ้าหนูนั่นโง่หรืออย่างไร? ถึงได้กล้าพูดกับเจ้าเมืองน้อยอย่างนั้น? เขายังไม่รู้ว่าเจ้าเมืองน้อยโหดเหี้ยมแค่ไหน”
“เขาเพิ่งมาจะไปรู้ได้อย่างไรเล่า? เดาว่าคงไม่รู้อะไรเกี่ยวกับข้างในนี้เลย ไม่อย่างนั้นจะกล้าพูดอย่างนั้นเสียที่ไหน?”
“เจ้าชื่ออะไร?” ชายที่นั่งอยู่บนเกี้ยวถามขึ้น ราวกับไม่ได้ยินคำพูดของเฟิ่งจิ่ว
เฟิ่งจิ่วหันตัวจะออกเดิน ไม่คิดจะตอบคำถามเขา ทว่าทหารพวกนั้นเห็นท่าก็รีบขวางทาง เฟิ่งจิ่วสะบัดแขนเสื้อ กลิ่นอายพลังวิญญาณขุมหนึ่งพุ่งออกจากแขนเสื้อ ดีดคนพวกนั้นกระเด ด็นออกไปทันที
ชายบนเกี้ยวเห็นเหตุการณ์ก็หรี่ตา เวลานี้ ทหารลงทะเบียนที่ประตูเมืองคนหนึ่งรีบวิ่งมาที่ข้างเกี้ยว กระซิบเบาๆ ว่า “เจ้าเมืองน้อย คนคนนั้นเพิ่งลงทะเบียนเข้าเมืองมา ชื่อเ เฟิ่งจิ่วขอรับ”
เฟิ่งจิ่ว ชื่อของภูตหมอ บนเกาะเซียนเฝิงไหลแห่งนี้ไม่มีผู้ใดไม่เคยได้ยิน ไม่มีใครที่ไม่รู้จักชื่อนี้
ด้วยเหตุนี้ ชายบนเกี้ยวจึงเดินลงมา จ้องชายหนุ่มที่กำลังประมือกับทหารองครักษ์ ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “เฟิ่งจิ่ว ข้าหลิงเทียนอวี่ขอท้าเจ้า! หากเจ้าแพ้ เจ้าต้องมาเป็ นทาสรับใช้ของข้า!” เอ่ยจบ ของสิ่งหนึ่งบินออกจากมือของเขา พุ่งไปทางเฟิ่งจิ่ว
เฟิ่งจิ่วที่ได้ยินอย่างนั้นหลังจากที่โจมตีทหารพวกนั้นให้ล่าถอยไปแล้วหันมา เห็นของสิ่งนั้นพุ่งเข้ามา ยกมือรับไว้โดยสัญชาตญาณ เพียงแต่ เมื่อเห็นเทียบในมือที่เขียนคำว่า ‘สู้’ ไว้บนนั้น เธอตะลึงงัน “นี่อะไร?”
เจ้าเมืองน้อยเห็นเขารับของไว้แล้ว อดกระตุกยิ้มมุมปากไม่ได้ เขาควงแส้ในมือเล่น ก่อนหันไปพูดกับทหารข้างตัวว่า “จั่วอี บอกกฎให้เขาฟังหน่อย”
“ขอรับ”
ชายหน้าตาโดดเด่นในชุดกระชับตัวสีดำคนหนึ่งรับคำ ก่อนจะก้าวออกมา และมองไปทางเฟิ่งจิ่ว