เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2585 ไม่อาจผูกแค้น / ตอนที่ 2586 ตำรา
ตอนที่ 2585 ไม่อาจผูกแค้น
“คนอย่างนาง ต้องผูกมิตรเท่านั้น ไม่อาจผูกแค้นได้” ชายชราครุ่นคิด มองเขาแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยว่า “เจ้าต้องสั่งสอนเทียนอวี่ บอกเขาว่าอย่างทำอะไรเหลวไหล คนอย่างนี้มีอนาคตไกล ห้ามไปผิดใจด้วยเด็ดขาด”
เจ้าเมืองหลิงได้ยินก็กลืนน้ำลาย รีบรับคำว่า “ขอรับ ท่านพ่อ ข้าทราบแล้ว”
“เฮ้อ!”
ชายชราถอนหายใจ “หากไม่ใช่ว่าเทียนอวี่มีปัญหาขัดแย้งกับนานงก่อน จะลองให้เขาไปเกี้ยวพานางดูก็ได้ ถ้าหากเปลี่ยนนางให้เป็นคนของตระกูลหลิงได้ จะต้องกลายเป็นกำลังเสริมที่ยิ่งใหญ่ให้ตระกูลหลิงได้แน่ น่าเสียดาย…” เขาส่ายหน้า ท่าทางดูเสียดายอย่างมาก
เจ้าเมืองได้ยินก็สะดุดใจ นึกถึงเรื่องที่ลูกชายของตนเองเกือบต้องกลายเป็นทาสของเฟิ่งจิ่ว แล้วนี่จะให้เทียนอวี่ไปเกี้ยวพานาง แม้เทียนอวี่จะยอม แต่เดาว่าเฟิ่งจิ่วคงไม่พึงใจเขาแล้ว
อดไม่ได้ที่จะรู้สึกเสียดายขึ้นมาเหมือนกัน คนที่ทำให้ท่านพ่อเอ่ยปากชมเช่นนี้ได้มีไม่มาก น่าเสียดายที่โอกาสวางอยู่ตรงหน้าแล้วแต่กลับปล่อยให้หลุดลอยไปเฉยๆ
เจ้าเมืองหลิงครุ่นคิด ก่อนถามอีกว่า “ท่านพ่อ อย่างนั้นสามวันไห้หลังหากนางออกจากหอตำราแล้ว พวกเราจะรั้งให้นางอยู่ต่อสักหน่อยดีหรือไม่? ถือโอกาสผูกไมตรีกับนาง?”
“ในเมื่อนางกำลังตามหาบันไดสู่แดนเซียนอยู่ จะรั้งอยู่ที่นี่นานได้อย่างไร? เมื่อถึงตอนที่นางออกจากหอตำรา ข้าเดาว่านางจะต้องบอกลาทันทีแน่นอน” ชายชราเอ่ยเสียงแช่มช้า เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนเอ่ยต่อว่า “เอาเป็นว่าเจ้าไม่ต้องฝืนทำอะไรเกินไป ขอเพียงไม่เป็นศัตรูกับนางก็พอ”
“อย่างนั้นบันไดสู่แดนเซียนนี่…” เขามองผู้เป็นพ่ออย่างระมัดระวัง ก่อนถามต่อว่า “พวกเราจะบอกนางหรือไม่ว่าบันไดสู่แดนเซียนอยู่ที่ใด?”
ชายชราสายตาไหวระริก ตอบว่า “หากนางมีวาสนาต่อบันไดสู่แดนเซียน ย่อมหาเจอเอง ยิ่งไปกว่านั้น ปีนั้นแม้แต่ข้าก็ยังขึ้นบันไดสู่แดนเซียนไม่ได้ นางอายุยังน้อยขนาดนั้น แม้จะหาเจอแล้วอย่างไรเล่า?”
“ขอรับ ลูกเข้าใจแล้ว อย่างนั้นลูกกลับก่อน” เจ้าเมืองหลิงคารวะ จากนั้นก็ถอยออกไป
หลังจากเห็นเขากลับออกไปแล้ว ชายชราหันตัวกลับเข้าไปฝึกวรยุทธ์ข้างในต่อ
ส่วนเจ้าเมืองหลิงที่กลับจากหลังเขาและมุ่งหน้าไปยังเรือนหลัก บังเอิญเจอลูกชายของเขาระหว่างทาง เห็นเขายืนอยู่ตรงนั้น จึงสั่งสอนด้วยน้ำเสียงเข้มขรึม “บอกให้เจ้าตั้งใจฝึกวรยุทธ์ไม่ใช่หรือ? เหตุใดจึงออกมาวิ่งข้างนอกอีกแล้ว?”
“ท่านพ่อ ท่านไปหาท่านปู่มาหรือ? หาท่านปู่ทำไม? เพราะเรื่องของเฟิ่งจิ่วนั่นใช่หรือไม่?” หลิงเทียนอวี่ถามเขา ครั้นเอ่ยปากก็เข้าประเด็นสำคัญทันที
เจ้าเมืองหลิงชำเลืองมองเขา ตอบว่า “ใช่ ข้าไปหาท่านปู่ของเจ้ามา รายงานเรื่องแย่ๆ ที่เจ้าทำให้เขารู้ เดิมทียังตั้งใจจะแวะไปที่เรือนของเจ้าสักหน่อย ในเมื่อเจ้ามาแล้ว อย่างนั้นข้าก็จะบอกเจ้า ท่านปู่ของเจ้ามีคำสั่งลงมาแล้ว ให้เจ้าอย่าได้ไปหาเรื่องผิดใจกับเฟิ่งจิ่วอีก เขาไม่ใช่คนที่เจ้าจะมีปัญหาด้วยได้”
หลิงเทียนอวี่ขมวดคิ้ว “ทำไมเล่า? หรือท่านพ่อกับท่านปู่กลัวแม้กระทั่งเขาที่เป็นแค่เด็กคนหนึ่งเท่านั้น?”
“คำพูดของผู้อาวุโส เจ้าทำตามก็พอ เจ้าแค่รู้ไว้ว่า พวกเราไม่ทำร้ายเจ้าแน่นอน!” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “กลับไปเถอะ! จำคำพูดของข้าเอาไว้ให้ดี!” เอ่ยจบ ก็สาวเท้าเดินจากไป
มองดูผู้เป็นพ่อเอามือไขว้หลังเดินจากไป ดวงตาของหลิงเทียนอวี่มีประกายสงสัยพาดผ่าน สะดุดใจเล็กน้อย ลอบคิดในใจ ‘เจ้านั่นเป็นใครมาจากไหนกันแน่? ท่านพ่อพูดอย่างนี้ก็แล้วไป เหตุใดแม้แต่ท่านปู่ก็ยังพูดเช่นนี้ด้วย?’
นึกถึงว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วอยู่ในหอเก็บตำรา และยังมีคำสั่งของท่านพ่ออีก ด้วยเหตุนี้ เขาจึงทำได้เพียงกลับเรือนของตนเอง
ในหอเก็บตำราของจวนเจ้าเมือง เฟิ่งจิ่วกำลังตั้งหน้าตั้งตาตามหาข้อมูล และแล้วเวลาหนึ่งวันก็ผ่านไปเช่นนี้เอง…
………………………………….
ตอนที่ 2586 ตำรา
แม้แต่คนที่เจ้าเมืองส่งมาถามไถ่ว่าจะออกมากินข้าวหรือไม่ เธอก็ยังปฏิเสธ
ที่จริง ผู้ฝึกเซียนที่มีวรยุทธ์ระดับพวกเขา แม้จะไม่ได้กินข้าวสิบวันหรือครึ่งเดือนก็ไม่เป็นไร หากเข้าสู่ช่วงบำเพ็ญชาญ แม้จะไม่ได้กินไม่ได้ดื่มเป็นเวลาหลายปีก็ไม่เป็นไร
ยิ่งไปกว่านั้น ในห้วงมิติของเฟิ่งจิ่วก็มีของกินมากมาย เธอจึงจะไม่ออกไปกินข้าวในเวลานี้แล้ว
ตามหาตำรามาหนึ่งวันแล้ว และอ่านตำรามาหนึ่งวันแล้วเช่นกัน ในช่วงเวลาดึกสงัดร้างไร้ผู้คน แสงจันทร์อ่อนๆ สาดฉายเข้ามาจากทางหน้าต่างด้านบน แสงสว่างนวลตา ทำให้เธออดรู้สึกง่วงไม่ได้
เธอหาวด้วยความง่วงงุน บิดขี้เกียจเดินทอดน่องอยู่ข้างใน ในหอตำราแห่งนี้ ทั่วทิศล้วนมีไข่มุกราตรีคอยให้แสงสว่าง เพียงแต่ชั้นวางหนังสือบางชั้นก็วางอยู่ข้างหลังจึงถูกบังไว้ แสงส่องเข้าไปไม่ถึง
เดินช้าๆ ขึ้นไปถึงชั้นสอง วนอยู่บนชั้นสองหนึ่งรอบ หยิบฉวยตำราบางเล่มขึ้นมาอ่านอย่างไม่ใส่ใจนัก พบว่ามีตำราฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสูงบางเล่มที่ลงตราประทับไว้ เปิดอ่านไม่ได้
“ที่แท้ก็อย่างนี้เอง ที่แท้ตำราบางเล่มก็ประทับตราต้องห้ามไว้ หากเป็นเช่นนี้ แม้ข้าจะอยากอ่าน ก็ไม่สามารถอ่านเนื้อหาที่อยู่ข้างในได้”
เธอยิ้มๆ ไม่ได้รู้สึกประหลาดใจแต่อย่างใด เพราะอย่างไรหากไม่มีตราประทับต้องห้าม ตำราฝึกวิทยายุทธ์ขั้นสูงที่อยู่ในนี้ทั้งหมดคงถูกเธออ่านฟรีๆ แล้วไม่ใช่หรือ?
เฟิ่งจิ่ววางตำราต้องห้ามในมือกลับไปที่เดิม จากนั้นก็เดินขึ้นไปข้างบนอีก เดินวนดูที่ชั้นสามหนึ่งรอบ ยังคงเหมือนชั้นสอง ตำราบางเล่มสามารถเปิดอ่านได้ตามสบาย ตำราบางเล่มกลับเปิดอ่านไม่ได้
หลังจากเดินวนหนึ่งรอบ เธอกลับลงไปที่ชั้นหนึ่งอีกครั้ง เวลาหนึ่งวัน แม้แต่ตำราที่ชั้นหนึ่งเธอยังอ่านไม่หมด ภายในเวลาสามวัน จะสามารถหาเบาะแสเกี่ยวกับบันไดสู่แดนเซียนจากในนี้ได้จริงหรือ?
เดินมาถึงบันไดชั้นหนึ่งก็นั่งลง เธอหลับตา ทันใดนั้น คำพูดของชายชราเมื่อตอนกลางวันก็ดังขึ้นมาในหัว
“บันไดสู่แดนเซียน บันไดสู่แดนเซียน หนึ่งก้าวสู่แดนเซียน หนึ่งก้าวสู่ความว่างเปล่า เส้นทางแห่งเซียนคือสวรรค์เหนือผืนฟ้า โลกมนุษย์เบื้องล่างบันไดสักกี่ปี? นี่มันหมายความว่าอะไรกันนะ?” เธอพึมพำ ครั้นสายตาจับจ้องไปยังจุดหนึ่ง นัยน์ตางามพลันไหวระริก
เธอรีบลุกขึ้นเดินไปที่ชั้นหนึ่ง หยุดยืนตรงหน้าชั้นวางตำราสองสามแถวที่อยู่ด้านหลัง ตรงจุดที่วางเก้าอี้ไว้ เฟิ่งจิ่วจ้องเก้าอี้ที่ชายชราเคยใช้ยืนอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะก้าวเท้าขึ้นไปยืนบนนั้น และเริ่มตามหาบนชั้นวางตำรา
“ไม่มี? ข้าคิดมากไปเองหรือ?” เธอคิดอย่างสงสัย เงยหน้าดูอีกรอบ สายตาจดจ้องไปที่ตำราชั้นบนสุด ก่อนจะหยิบตำราบนชั้นนั้นลงมาให้หมด วางลงบนพื้นทีละเล่ม จากนั้นก็นั่งเก้าอี้แล้วตรวจสอบทีละเล่ม
“เอ๊ะ?”
ยามถือตำราที่ถูกประทับตราเล่มหนึ่งไว้ในมือ เธออ่านอักษรที่อยู่บนปก ประกายยินดีผุดขึ้นมาในดวงตา
“บันทึกเฝิงไหล? นี่เป็นตำราที่บันทึกเรื่องราวต่างๆ ของเกาะเซียนเฝิงไหลนี่ ในนี้จะมีข้อมูลเกี่ยวกับบันไดสู่แดนเซียนหรือไม่นะ?” เธอพึมพำกับตนเอง ยามเห็นตราประทับบนนั้นก็อดเผยยิ้มไม่ได้
ไม่ว่าจะเป็นการแก้ตราประทับหรือเขตอาคม หรือแม้แต่ค่ายกล สำหรับเธอล้วนไม่ใช่ปัญหา ตราประทับประเภทนี้ ขอเพียงเธอปลดผนึกออกมาอ่าน เมื่ออ่านจบค่อยประทับตราลงไปอีกครั้งก็พอแล้ว
เธอใช้มือข้างหนึ่งประคองตำรา มืออีกครั้งรวบรวมกลิ่นอายพลังวิญญาณ ปากก็พึมพำท่องคาถาปลดตราประทับ เห็นเพียงกลิ่นอายพลังวิญญาณกลางฝ่ามือของเธอไล้ผ่านปกตำราเล่มนั้นราวกับริ้วไฟ ไม่นานตราประทับบนที่เหมือนลายน้ำบนปกตำราก็หายไป
ครั้นปลดผนึกได้ก็เปิดอ่านทีละหน้า ค้นพบว่าข้างในบันทึกเหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นบนเกาะเซียนเฝิงไหล และบรรยายถึงสี่เมืองใหญ่ไว้ด้วย…
………………………………….