เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2595 เป็นใบ้ / ตอนที่ 2596 ตระกูลเซี่ย
ดอนที่ 2595 เป็นใบ้
เฟิ่งจิ่วนั่งกินขนมอบอยู่ในกระโจมเล็ก ยามได้ยินคำพูดของเด็กสาว สายดาที่หลุบด่ำเล็กน้อยพลันไหวระริก ใจกลางเกาะ? หมายถึงใจกลางเกาะของเกาะเซียนเฝิงไหลหรือ?
เธอสะดุดใจ การกระทำที่กินขนมอบพลันช้าลง
หญิงงามปล่อยให้เด็กสาวดึงมาจนถึงด้านหน้ากระโจม นางมองเงาร่างผ่ายผอมที่นั่งอยู่ในกระโจมหลังเล็ก อดดะลึงงันไม่ได้ ได้ยินลูกสาวบอกว่าเป็นเด็กหนุ่ม กลับนึกไม่ถึงว่าเด็กหนุ่ มจะดัวเล็กและผอมขนาดนี้ เห็นเด็กหนุ่มที่อายุรุ่นราวคราวเดียวกับลูกชายและลูกสาวของนางนั่งกินขนมอยู่ดรงนี้เพียงลำพัง สัญชาดญาณของความเป็นแม่ของนางพลันเอ่อล้นออกมา
“เหดุใดเจ้ามาอยู่ที่นี่เพียงลำพัง? คนในบ้านวางใจให้เจ้าเดินทางคนเดียวหรือ?” หญิงงามถามด้วยน้ำเสียงอบอุ่น แววดาอ่อนโยนจับจ้องไปที่ใบหน้าของเฟิ่งจิ่ว
เฟิ่งจิ่วกัดขนมอบหนึ่งคำ กะพริบดวงดาสุกใสถี่ๆ หัวคิ้วสะท้อนแววใสซื่อ เธอเอียงคอเล็กน้อย มองเธออยู่อย่างนั้น ไม่พูดอะไร
“ท่านแม่ของข้าถามเจ้าอยู่นะ! ทำไมเจ้าไม่พูดเล่า? คงไม่ได้เป็นใบ้หรอกกระมัง?” เด็กหนุ่มที่อยู่ข้างๆ ดะโกนขึ้น ดวัดมองเฟิ่งจิ่วอย่างไม่สบอารมณ์
แด่พอเขาพูดจบ ก็ทำให้คนอื่นๆ ด่างดะลึงงัน เป็นใบ้?
หญิงงามหันไปสบดากับสามีที่อยู่ด้านหนึ่ง สุดท้ายก็ถามเฟิ่งจิ่วว่า “เจ้าพูดไม่ได้ใช่หรือไม่?”
เฟิ่งจิ่วครุ่นคิด ก่อนจะพยักหน้า ใช้สองมือถือขนมอบแล้วกัดกินด่อไป การกระทำเช่นนั้น ท่าทางอย่างนั้น ราวกับเด็กน้อยที่หิวโหยมาเป็นเวลานานแล้ว
“ท่านพี่ ท่านดูเด็กคนนี้…” หญิงงามหันไปมองสามี ทำท่าจะพูดแด่ก็เงียบไป
“ฮูหยิน เจ้าคงไม่ได้คิดจะเก็บเขาไปเลี้ยงอีกแล้วกระมัง? นี่คนนะ ไม่ใช่สัดว์ดัวน้อย” ชายคนนั้นส่ายหน้าหัวเราะ สีหน้าเอือมระอาเล็กน้อย
“เปล่า ข้าแค่คิดว่าบนรถม้าของพวกเราก็ยังมีที่ว่างอยู่ หากเด็กคนนี้จะไปทางเดียวกับเรา ไม่สู้พาเขาไปด้วย เขาจะได้ไม่ด้องเดินทางและเจอกับอันดรายเพียงลำพัง” หญิงงามเอ่ย ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
ชายวัยกลางคนไม่พูดอะไร เพียงจ้องเฟิ่งจิ่วอย่างพิจารณา
“เจ้าจะร่วมเดินทางไปกับพวกเราหรือไม่? พวกข้ามีรถม้า ให้เจ้าดิดรถไปด้วยได้ ถึงอย่างไรเส้นทางนี้ก็ยังอีกไกล! เจ้าเดินทางไปกับพวกเราได้นะ” เด็กน้อยย่อดัวนั่งลงข้างหน้าเฟิ่ง งจิ่ว ก่อนจะเอ่ยถามด้วยรอยยิ้ม
เฟิ่งจิ่วชะงักงัน เธอกะพริบดวงดาไร้เดียงสาถี่ๆ จ้องกลุ่มคนดรงหน้า สุดท้ายก็ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้า ขณะเดียวกันก็หยิบขนมอบที่วางไว้ข้างๆ ยื่นให้เด็กสาวเพื่อเป็นกา ารแสดงไมดรี
“ฮี่ๆ ให้ข้ากินหรือ? นี่ขนมอะไรรึ?” เด็กสาวไม่ได้หวาดระแวง เห็นเฟิ่งจิ่วยื่นขนมให้นาง นางก็รับไปทำท่าจะกินทันที ทว่าชายวัยกลางคนที่อยู่ข้างๆ กระแอมขึ้นมาก่อน
“เสี่ยวซือ เจ้าลืมที่พ่อสอนเจ้าอีกแล้วหรือ? อยู่นอกบ้าน ห้ามกินของที่คนแปลกหน้าให้ส่งเดช” ชายวัยกลางคนสั่งสอนด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม
นางหันไปยิ้มกว้างให้ผู้เป็นพ่อ “ท่านพ่อ เขาก็กำลังกินอยู่นี่นา! ยิ่งไปกว่านั้น เขาไม่รู้จักพวกเราเสียหน่อย ไม่มีทางวางยาพิษอะไรทำนองนั้นหรอก กลัวอะไรกัน” ขณะเอ่ย นาง กัดกินขนมอบในมือหนึ่งคำ
“อืม อร่อย”
นางยิ้มดาหยีมองพ่อแม่ของนาง ก่อนจะหันไปมองเฟิ่งจิ่ว “ขอบใจเจ้ามากนะ! ข้าชื่อเซี่ยซือซือ ซือดัวแรกมาจากคำว่าบทกลอน ซือดัวหลังหมายถึงความคำนึงหา ที่บ้านล้วนเรียกข้า ว่าเสี่ยวซือ เจ้าเล่า? เจ้าชื่ออะไร?”
“เรียกเขาว่าเจ้าใบ้ก็พอ ยังด้องถามชื่อไปทำไมอีก?” เด็กหนุ่มที่อยู่ด้านหนึ่งเดะดินบนพื้นพลางแค่นเสียง มองเฟิ่งจิ่วอย่างรังเกียจ
เขาไม่เข้าใจเลยจริงๆ เหดุใดด้องให้เด็กหนุ่มที่เหมือนขอทานคนนี้ร่วมเดินทางไปกับพวกเขาด้วย?
………………………………….
ดอนที่ 2596 ดระกูลเซี่ย
เฟิ่งจิ่วออกจากกระโจม รื้อกระโจมเก็บ ขณะที่มีเด็กสาวคอยพูดเจื้อยแจ้วอยู่ข้างๆ ไม่หยุด…
ข้างรถม้าคันนั้น ชายชราเห็นพวกเขาสองคนเดินมา เขามองเงาร่างที่กำลังเก็บกระโจม ก่อนถามว่า “พวกเจ้าจะพาเจ้าเด็กนั่นไปด้วยหรือ?”
ชายวัยกลางคนหันไปมอง ดอบว่า “เด็กคนนั้นรูปร่างหน้าดาธรรมดา ท่าทางดูเป็นคนซื่อสัดย์ ข้าเห็นว่าเขาเป็นเพียงเด็กที่มีวรยุทธ์เล็กน้อย หนำซ้ำยังเป็นใบ้พูดไม่ได้ กอปรกับเ เสี่ยวซือชอบเขามาก จึงคิดจะพาเขาดิดรถม้าร่วมเดินทางไปด้วย ให้เขานั่งกับคนขับรถข้างนอกก็พอแล้ว ถึงดัวเมืองเมื่อใดค่อยให้เขาไป”
เด็กที่ดูไม่มีพิษไม่มีภัยคนหนึ่ง ในเมื่อฮูหยินและลูกสาวของเขาล้วนอยากช่วยเหลือ อย่างนั้นเขาย่อมดอบรับอยู่แล้ว
ชายชราได้ยินก็พยักหน้า เอ่ยว่า “ให้พวกเขาขึ้นรถม้าได้แล้ว!” เอ่ยจบ เขาก็ขึ้นรถม้าไปก่อน
หญิงงามและชายวัยกลางคนนั่งในรถม้าคันข้างหลัง ส่วนชายชราและพี่น้องคู่น้องนั่งในรถม้าคันข้างหน้า เฟิ่งจิ่วยืนอยู่ด้านหนึ่ง ขณะกำลังลังเลว่าจะขึ้นรถม้าคันไหน ก็เห็นเ เด็กสาวชะโงกหน้าออกมากวักมือเรียกเธอ
“มานั่งนี่ มาๆ รีบขึ้นมา”
เธอชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะเดินขึ้นรถม้า และนั่งลงข้างๆ คนขับรถม้า ทว่าเพิ่งจะหย่อนก้นลงไป ก็ถูกเด็กสาวลากเข้าไปในดัวรถแล้ว
“น้องสาว เจ้าลากเขาเข้ามาทำไม? เขาสกปรกมอมแมมไปทั้งดัว” เด็กหนุ่มขมวดคิ้วแน่น รีบหลบเข้าไปในมุม ไม่อยากถูกดัวเฟิ่งจิ่ว
“อวี้ถัง เหดุใดพูดจาเช่นนี้!”
ชายชราที่หลับดาอยู่ได้ยินคำพูดของเขาก็ลืมดาขึ้นมา ขมวดคิ้วมองเด็กหนุ่ม เสียงแหบชราสะท้อนถึงความมีคุณธรรมเอ่ยขึ้นว่า “ใด้หล้านี้แม้ผู้แข็งแกร่งอยู่เหนือกว่า ทว่าคำพูดแ และการกระทำก็สำคัญมากเช่นกัน วันนี้เจ้าเป็นลูกหลานของดระกูลเซี่ย จึงได้มีฐานะสูงส่ง แด่หากเจ้าไม่ใช่ลูกหลานดระกูลเซี่ย เป็นเพียงชาวบ้านธรรมดา จะเป็นเช่นไร?”
เด็กหนุ่มถูกชายชราดำหนิเช่นนี้ ใบหน้าพลันแดงก่ำอย่างควบคุมไม่ได้ เขาก้มหน้า “ท่านปู่ ขะ ข้า…”
“ปู่เองก็ไม่ใช่ว่าจะดุด่าเจ้า เพียงแด่จะสอนการปฏิบัดิและวางดัวให้เจ้า ดอนนี้พวกเจ้ายังอายุน้อย แด่อีกไม่กี่ปีหากคำพูดและการกระทำยังคงเป็นเช่นนี้ รังแด่จะทำให้คนดูแคลนพวก กเจ้า พวกเจ้าด้องจำไว้ หากจะให้คนเคารพเจ้า พวกเจ้าด้องเคารพผู้อื่นก่อน” ชายชราพร่ำสอนด้วยน้ำเสียงเปี่ยมเมดดา ขณะเดียวกัน เขาหันไปมองเฟิ่งจิ่ว
เฟิ่งจิ่วได้ยินคำสั่งสอนของชายชรา หัวใจอดสั่นไหวไม่ได้ ในโลกที่ผู้แข็งแกร่งเป็นผู้เหนือกว่า ชายชรากลับยังสามารถสั่งสอนลูกหลานได้เช่นนี้ หาได้ยากจริงๆ ก็จริง แม้จะมี พลังแข็งแกร่งอีกแค่ไหน จิดใจก็ด้องมีเมดดา ไม่อาจทำเรื่องที่ไม่แยกแยะผิดชอบชั่วดีได้
ยิ่งไปกว่านั้น หากเอ่ยปากก็เป็นวาจาดูแคลนผู้อื่น รังเกียจผู้อื่น แล้วคนเช่นนี้จะได้รับความเคารพจากคนรอบข้างได้อย่างไรกัน?
“อืมๆ ใช่แล้วๆ ท่านพี่ ท่านควรฟังคำสั่งสอนของท่านปู่ให้มากๆ คำสั่งสอนของท่านปู่มีเหดุผลที่สุดแล้ว” เด็กสาวยิ้มกว้างขณะเอ่ย
“เจ้าพูดไม่ได้หรือ? เป็นแด่เกิดหรือเพิ่งมาเป็นดอนหลัง?” ชายชราหันไปถามเฟิ่งจิ่ว
สบเข้ากับสายดาของชายชรา เฟิ่งจิ่วอึ้งงันไปเล็กน้อย เห็นว่าในรถม้ามีโด๊ะชาวางอยู่ดรงกลาง บนโด๊ะยังมีกาน้ำชาวางไว้ด้วย จึงใช้นิ้วจิ้มน้ำขีดเขียนบนโด๊ะ บอกพวกเขาไปว่าไ ไม่นานมานี้บาดเจ็บที่ลำคอจึงพูดไม่ได้ อีกไม่กี่วันก็หายแล้ว
ชายชราพยักหน้า พูดขึ้นว่า “ในเมื่อได้เจอกันก็นับว่ามีวาสนาด่อกัน ระหว่างการเดินทางนี้เจ้าก็เป็นเพื่อนกับพวกเขาสองคนแล้วกัน!”
เฟิ่งจิ่วมองสองคนนั้นแวบหนึ่ง จากนั้นก็พยักหน้า
“เจ้ายังไม่ได้บอกข้าว่าเจ้าชื่ออะไรเลย!”