เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2599 บาดเจ็บ / ตอนที่ 2600 อย่างนั้นก็อยู่ต่อ
ตอนที่ 2599 บาดเจ็บ
เฟิ่งจิ่วยกมือข้างหนึ่งกุมแผล ทนเจ็บแล้วลุกขึ้นมา เวลานี้ชายชราผลักเซี่ยซือซือไปข้างเธอ ก่อนที่พุ่งออกไปด้วยฝีเท้าอันรวดเร็ว สังหารคนชุด ดดำสองคนนั้นในพริบตา
เมื่อคนพวกนั้นตาย คนชุดดำมีจำนวนน้อยลงเรื่อยๆ คนที่เหลืออยู่ไม่กี่คนเห็นท่าไม่ดีจึงรีบถอยหนี หลังจากคนพวกนั้นหนีไป รอบข้างกลับมาเงียบส สงบ เพียงแต่ ไม่ว่าจะบนพื้น หรือกลิ่นคาวเลือดในอากาศ ล้วนทำให้คนไม่อาจมองข้ามได้…
“ถังเอ๋อร์ เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? บาดเจ็บหรือไม่?” หญิงงามรีบประคองลูกชายขึ้นมา ก่อนจะมองสำรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า
“ท่านแม่ ท่านพี่แค่มีรอยแผลถลอกที่แขน ไม่ได้เป้นอะไรมาก” เซี่ยซือซือตอบ จากนั้นหันไปมองเฟิ่งจิ่ว “กลับเป็นเฟิ่งจิ่วที่ดูเหมือนจะบาดเจ็บไม่น น้อย บาดแผลยังมีเลือดไหลอยู่เลยเจ้าค่ะ!”
หญิงงามรีบเข้ามาดูอาการ “มา ข้าใส่ยาให้เจ้าก่อน แล้วทำแผลสักหน่อย” นางเอายาออกมา รีบใส่ยาลงบนแผลเฟิ่งจิ่ว พลางเอ่ยขอบคุณเธอด้วย “เมื่อก กี้หากไม่ได้เจ้าช่วยไว้ ถังเอ๋อร์ของข้าคงไม่รอดแล้ว ขอบคุณเจ้าที่ช่วยชีวิตเขา เจ้านับว่าเป็นผู้มีพระคุณของเขา”
“ท่านพี่ มา ข้าใส่ยาให้ท่าน” เซี่ยซือซือว่า นางเดินมาหยุดข้างกายพี่ชายของนาง ตรวจบาดแผลที่ไหล่ของเขาเล็กน้อย หลังจากทำความสะอาดเสร็จก็ใ ใส่ยา และพันแผลเป็นขั้นตอนสุดท้าย
ชายชราและชายวัยกลางคนเห็นสถานการณ์สงบลงแล้ว ทั้งสองกำลังยืนหารือกันเสียงเบาถึงเรื่องบางอย่างอยู่ทางนั้น ส่วนองครักษ์ลับเหล่านั้นกำลังเก ก็บกวาดศพบนพื้น
“ระหว่างทางยังโชคดี นับว่าเดินทางราบรื่นไร้คลื่นลม นึกไม่ถึงล้วนซุ่มโจมตีอยู่ที่นี่กันหมด หากมีคนมากกว่านี้อีกหน่อย เกรงว่าพวกเราคงรับมือ อไม่ไหว” ชายวัยกลางคนเอ่ยเสียงเครียด เขาหันไปมองคนในครอบครัว รวมถึงเด็กหนุ่มที่ได้รับบาดเจ็บตรงนั้นด้วย
“เมื่อครู่โชคดีที่มีเขาอยู่ หากไม่ใช่เขาดึงอวี้ถังออกไป เกรงว่าตอนนี้อวี้ถังคงกลายเป็นแค่ศพศพหนึ่งแล้ว” ชายวัยกลางคนถอนหายใจ “เพื่อช่วย อวี้ถังเขาถึงขั้นบาดเจ็บแล้ว”
ชายชราหันไปมองเฟิ่งจิ่ว ในแววตาเคลือบความสงสัย “เมื่อกี้ข้าเห็นฝีเท้าของเขาดูประหลาดมาก เพียงขยับก้าวฝีเท้าเงาร่างก็พุ่งโฉบออกไปแล้ว ค ความเร็วนั่น ดูไม่เข้ากับระดับวรยุทธ์ของเขาเลย”
ชายวัยกลางคนมองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองภรรยาและลูกๆ ที่รายล้อมเด็กหนุ่มอยู่ สีหน้าฉายแววหนักอึ้ง “ท่านพ่อ พวกเรายังไปไม่ถึ งตระกูลใหญ่ก็เป็นอย่างนี้แล้ว หากไปถึงที่นั่น จะเกิดเรื่องอย่างนี้ทุกวันหรือไม่? ท่านก็รู้ พวกเขาล้วนไม่ถนัดเรื่องการแข่งขันและต่อสู้ ข้าเป ป็นห่วงจริงๆ ว่าพวกเขาจะก่อเรื่องอะไรที่ตระกูลใหญ่เข้า”
“เจ้าก็อย่าพูดส่งเดช” ชายชราเอ่ยเสียงขรึม “ตอนนี้ยังไม่มีหลักฐานใดๆ ว่าเป็นฝีมือของคนจากตระกูลใหญ่ ไม่อาจคาดเดาส่งเดชได้”
“นอกจากพวกเขายังมีใครได้อีก? ครั้งนี้หากไม่ใช่คนของตระกูลใหญ่ให้พวกเราย้ายไปที่ตระกูลใหญ่ ระหว่างทางพวกเราก็คงไม่ต้องเจอเรื่องอย่างนี้”
“เอาละ เรื่องนี้ค่อยว่ากันทีหลัง ไปดูเจ้าหนุ่มนั่นก่อน” ชายชราพูดขึ้น ก่อนจะเดินไปทางเฟิ่งจิ่ว
“เป็นอย่างไรบ้าง? บาดเจ็บหนักมากหรือไม่?” ชายชราถาม พลางมองหน้าเด็กหนุ่มที่กำลังอดทนต่อความเจ็บปวดอยู่
“บาดเจ็บไม่น้อยเลยเจ้าค่ะ แต่ตอนนี้ใส่ยาไปแล้ว เพียงแต่ ต้องใช้เวลาหลายวันกว่าจะหาย” หญิงงามตอบคำ มองแขนของเด็กหนุ่มที่ถูกผ้าพันแผลไว้ พ พลางถอนหายใจเบาๆ
“อวี้ถัง มัวยืนอึ้งอะไรอยู่? มาขอบคุณเสี่ยวจิ่ว หากไม่ได้เขา เจ้าตายไปนานแล้ว”
เด็กหนุ่มลังเลเล็กน้อย สุดท้ายก็เคลื่อนตัวเดินไปทางเฟิ่งจิ่ว…
………………………………….
ตอนที่ 2600 อย่างนั้นก็อยู่ต่อ
“ขอบคุณ” เซี่ยอวี้ถังเอ่ยอย่างประดักประเดิด น้ำเสียงเบาหวิว พูดจบก็รีบวิ่งไปยืนข้างแม่ของเขา
เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ ก้มหน้ามองแผลที่พันเสร็จแล้วของตนเอง
“เผาศพคนของเราให้หมด เอาเถ้ากระดูกของพวกเขากลับไปด้วย เมื่อถึงเวลาส่งกลับไปให้ครอบครัวของพวกเขา” ชายชรากำชับองครักษ์ลับเหล่านั้น เขามอง ศพเหล่านั้น ลอบทอดถอนใจเงียบๆ
แสงจากกองไฟพุ่งทะยานขึ้นท้องฟ้ายามกลางคืน ส่องเจิดจ้าจนท้องฟ้าสว่างไปกว่าครึ่งแถบ เมื่อสายลมพัดผ่าน กลิ่นเหม็นรุนแรงกระจายไปทั่วอากาศ…
องครักษ์ลับเหล่านั้นทำตามคำสั่งของเขา เผาศพทั้งหมดเหล่านั้น เก็บเถ้ากระดูกขึ้นมาใส่ในขวดที่เอาออกมาจากถุงฟ้าดิน
เฟิ่งจิ่วเห็นพวกเขาเคลื่อนไหวคล่องแคล่ว อีกทั้งยังมีการเตรียมพร้อมไว้แล้ว เห็นได้ชัดว่าไม่ได้ทำเรื่องอย่างนี้เป็นครั้งแรก ดูท่าแต่ก่อนเวลาองคร รักษ์ลับของพวกเขาตาย ก็น่าจะเก็บกวาดและจัดการกันเช่นนี้
ก็จริง เทียบกับการฝัง การเผาเช่นนี้นับเป็นวิธีที่หมดจดมากกว่า เพราะอย่างไรก็ไม่มีใครรู้ว่าจะมีสัตว์ร้ายอะไรขุดศพที่ถูกฝังไว้ขึ้นมากัด กินหรือไม่ กอปรกับการเผาแล้วนำเก้ากระดูกกลับไปให้ครอบครัวของพวกเขา ก็ไม่ถึงขั้นทำให้พวกเขาตายแล้วไม่มีคนคำนับศพให้
“พวกเราไปกันเถอะ! กลับกันก่อนแล้วค่อยว่ากัน” ชายชราเอ่ย พยักหน้าให้พวกเขาขึ้นรถม้า องครักษ์ลับที่เดิมทีซ่อนตัวอยู่ในที่มืดต่างก็ปรากฏต ตัวคุ้มกันอยู่รอบๆ รถม้า แล้วคณะเดินทางก็เคลื่อนขบวนต่อ
เมื่อท้องฟ้าเริ่มสว่าง รถม้าค่อยๆ เข้าใกล้เมืองเมืองหนึ่ง ชายชราขมวดคิ้วเล็กน้อย หันไปมองเฟิ่งจิ่วที่อยู่ด้านหนึ่ง ถามว่า “เสี่ยวจิ่ว จากนี เจ้ามีแผนอะไร? มีญาติอยู่ในเมืองหรือไม่?”
เฟิ่งจิ่วส่ายหน้าแทนคำตอบ
ชายชราครุ่นคิด สายตาจับจ้องไปที่แขนที่บาดเจ็บของเขา ก่อนเอ่ยขึ้นว่า “ครั้งนี้พวกเราเดินทางกลับตระกูลใหญ่ ต่อไปก็จะปักหลักอยู่ที่ตระกูลใ ใหญ่ของตระกูลเซี่ยแล้ว หากมีเจ้าเพิ่มมาหนึ่งคน เกรงว่า…”
เซี่ยอวี้ถังที่อยู่ด้านหนึ่งได้ยินเข้า หันไปมองเฟิ่งจิ่วที่กำลังก้มหน้าแวบหนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นว่า “ท่านปู่ ให้เขาใส่ชุดองครักษ์ลับ ปลอมตัว วเป็นองครักษ์ลับของจวนเราก็ได้แล้วไม่ใช่หรือ? หรือไม่เช่นนั้นก็ให้เขาเป็นเด็กรับใช้คอยติดตามข้าก็ได้”
เฟิ่งจิ่วเงยหน้ามองเขาอย่างเหนือความคาดหมาย
“มองอะไร? ข้าแค่ไม่อยากติดค้างหนี้บุญคุณเจ้าเท่านั้น เจ้าไร้ทางไหนไปไม่ใช่หรือ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ อย่างนั้นเจ้าก็เป็นเด็กรับใช้คอยติดตามข้า าก็ได้ อย่างอื่นข้าไม่กล้ารับประกันกับเจ้า แต่มีข้าวกินครบสามมื้อแน่นอน”
ชายชราครุ่นคิด หันไปมองเฟิ่งจิ่ว “หากเจ้าไร้ที่ไปจริงๆ อย่างนั้นก็ติดตามอยู่ข้างกายอวี้ถังเถอะ!” เด็กหนุ่มคนนี้ดูมีนิสัยสุขุมกว่าอวี้ถัง งเสียอีก อีกทั้งหัวคิ้วก็เต็มไปด้วยแววใสซื่อ จากประสบการณ์การอ่านใจคนของเขา เด็กหนุ่มไม่ใช่คนที่มีความคิดชั่วร้ายแน่นอน
เฟิ่งจิ่วได้ฟังชายชราพูดเช่นนั้นก็เผยยิ้มออกมา เธอพยักหน้า และเขียนคำว่าขอบคุณลงบนโต๊ะ
“ดีเหลือเกิน อย่างนั้นต่อไปเจ้าก็เล่นเป็นเพื่อนข้าได้แล้ว” เซี่ยซือซือเอ่ยอย่างดีอกดีใจ
“ข้าจะเล่าเรื่องตระกูลเซี่ยของเราให้เจ้าฟัง หลังจากไปถึงตระกูลเซี่ย เจ้าติดตามอยู่ข้างกายอวี้ถัง ห้ามมีเรื่องบาดหมางกับคนอื่น ถึงอย่างไรเมื ออยู่ในตระกูลใหญ่ พวกข้าก็ไม่ใช่สายเลือดตรง คำพูดจึงมีน้ำหนักไม่มากพอ”
เฟิ่งจิ่วพยักหน้า ตั้งใจฟังชายชราบอกเรื่องที่ควรระวังเมื่อไปถึงตระกูลเซี่ยให้พวกเขาสามคนรับรู้
หลังจากฟังคำพูดและกฎเกณฑ์มากมายเหล่านั้นจนจบ เซี่ยอวี้ถังสีหน้าไม่ค่อยพอใจ พูดขึ้นว่า “ท่านปู่ อย่างนั้นพวกเราจะไปอยู่ที่ตระกูลใหญ่ทำไมเล่า า? พวกเราอยู่บ้านเดิมก็ดีอยู่แล้ว”