เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2655 สู้ไม่ได้ / ตอนที่ 2656 ไร้บาดแผล
ตอนที่ 2655 สู้ไม่ได้
“เตือนภัย! มีฝูงหมาป่า!”
คนเฝ้ายามตะโกนขึ้นในเวลานี้ ขณะเดียวกันแปดคนที่กระจายกันเฝ้ายามรอบทิศรีบถอยกลับเข้ามา
ทุกคนที่กำลังหลับสนิทได้ยินเสียงตะโกนก็รีบพลิกตัวลุกขึ้น ชักกระบี่ที่คาดเอวไว้ตั้งท่าเตรียมสู้ทันที เพียงพริบตาเดียว บรรยากาศรอบๆ แปรเปลี่ยนเป็นหนักอึ้งจมดิ่งทันที ในอากาศ มีแรงกดดันกระจายตัวอยู่
เฟิ่งจิ่วกระโดดลงมาตั้งแต่ที่พวกเขาตะโกนบอกแล้ว เธอยืนอยู่ข้างสองพี่น้องตระกูลเซี่ย
“เฟิ่งจิ่ว มะ มีฝูงหมาป่า!” เซี่ยอวี้ถังพูดด้วยสีหน้าแตกตื่น
“อืม ข้ารู้แล้ว แบกน้องสาวของเจ้าขึ้นหลังเสีย ตามอยู่ข้างข้าอย่าไปไหน” เธอกำชับเสียงเบา
“ได้” ได้ยินคำพูดของเฟิ่งจิ่ว เซี่ยอวี้ถังค่อยๆ ใจเย็นลง รีบแบกน้องสาวของเขาขึ้นหลังและยืนอยู่ข้างกายเฟิ่งจิ่วทันที
คนของตระกูลกัวค่อยๆ ยืนเรียงแถวกันเป็นค่ายกล พวกเขาหันหลังเข้าข้างใน หันหน้าออกข้างนอก ปลายกระบี่แหลมชี้ไปรอบๆ และหลังจากที่พวกเขาสังเกตได้ถึงการเคลื่อนไหวของฝูงหมาป่า ฝูงห หมาป่าที่เดิมทีหมอบซ่อนตัวอยู่ก็ย่างกรายเข้ามาทีละก้าวๆ
กัวซิ่นหนิงเป็นห่วงพวกเฟิ่งจิ่ว เขาจึงเดินมาหยุดข้างกายทั้งสาม บอกว่า “เป็นหมาป่าอสูร พวกเจ้าต้องระวังหน่อย พยายามยืนอยู่ตรงกลาง อย่าออกจากวงคุ้มกันของพวกข้า” เอ่ยจบ เข ขามองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง
“ได้ พวกข้าเข้าใจแล้ว” เซี่ยอวี้ถังรับคำ เห็นเขามองเฟิ่งจิ่ว จึงอดหันไปมองตามไม่ได้ ลอบคิดในใจว่า ‘ทำไมรู้สึกว่าพี่ชายกัวใส่ใจเฟิ่งจิ่วมากขนาดนั้นนะ?’
หลังจากกำชับเสร็จ กัวซิ่นหนิงก็เดินออกมา เขากลับมาอยู่ข้างชายชรากับชายวัยกลางคน ยามเห็นฝูงหมาป่าบีบเข้ามาเรื่อยๆ แม้ทุกคนจะเตรียมใจไว้แล้ว แต่ก็ยังอดสูดหายใจลึกๆ ไม่ได ด้
“นะ นี่มันอย่างไรก็ต้องมีเป็นร้อยตัวแล้วกระมัง?” ลูกศิษย์ตระกูลกัวคนหนึ่งเอ่ยด้วยน้ำเสียงสั่นๆ อย่างไม่อาจควบคุม
“ซี้ด! นี่ไม่ใช่แค่มีเป็นร้อยตัว แต่ครึ่งหนึ่งเป็นหมาป่าอสูรระดับอสูรศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว!” ชายอีกคนสูดหายใจ รู้สึกว่าอันตรายครั้งนี้ใหญ่หลวงนัก
พวกเขาเป็นเพียงกลุ่มที่มีสามสิบสี่สิบกว่าคน จะสู้หมาป่าที่มีนับร้อยตัวได้อย่างไร? หนำซ้ำ ระดับพลังของหมาป่าอสูรเหล่านี้ก็ไม่ได้ต่ำเลย เกรงว่า…
พวกเขาหันไปมองชายชราและชายวัยกลางคนที่เป็นผู้นำ สถานการณ์อย่างนี้ พวกเขาไม่มีความมั่นใจเลยว่าจะเอาชนะได้
“กรรซ์!”
พลันนั้น เสียงหอนของหมาป่าดังก้องท้องฟ้ายามกลางคืน เสียงหอนนั่นดังสะท้อนอยู่กลางอากาศ แยกไม่ออกว่าดังมาจากทิศใด แต่สิ่งที่รู้ก็คือสิ่งที่เปล่งเสียงหอนนี้ออกมาก็คือราช ชาหมาป่า
สิ้นเสียงหอนนั่น ฝูงหมาป่าที่กำลังเพ่งมองอยู่รอบๆ พลันส่งเสียงขู่ แต่ละตัวพุ่งโถมเข้ามา แยกเขี้ยวแยกเล็บกระโจนใส่เหยื่อของพวกมันทันที
หมาป่าอสูรพวกนั้นรวดเร็วมาก ชั่วขณะที่กระโจนเข้ามาพวกมันแยกเขี้ยวและเงื้อกรงเล็บเข้าใส่ทันที กอปรกับพวกมันมีจำนวนมาก ทำให้คนของตระกูลกัวตั้งตัวไม่ทัน ค่ายกลที่ยืนเรียงแ แถวกันเริ่มแตกออก โกลาหลวุ่นวายไปหมด
“ซี้ด! อ๊าก!”
“ชิ้ง!”
เสียงคำราม เสียงกรีดร้อง ดังประสานกับเสียงกระแสพลังที่ตวัดฟันออกไปพร้อมกับกระบี่และดาบ ดังก้องไปทั่วท้องฟ้ายามราตรี ท่ามกลางแสงดาบเงากระบี่ เลือดสาดกระเซ็น กลิ่นคาวเลือดกระจ จายออกไปกลางอากาศ
“ไม่ต้องแตกตื่น! ตั้งสติให้ดี! รักษาค่ายกลไว้!”
ชายวัยกลางคนตะโกนเสียงกร้าว ทว่าทุกคนกลับชุลมุนวุ่นวายเพราะถูกฝูงหมาป่าโจมตี ค่ายกลแตกพ่ายไปหมด และเพราะเหตุผลนี้ พวกเขาที่ตั้งรับไม่ถูกจึงถูกหมาป่าข่วนบาดเจ็บไปหลายคนแล้ ว
“เจ้าตามข้าไปสู้กับราชาหมาป่าตัวนั้น! ไป!”
………………………………….
ตอนที่ 2656 ไร้บาดแผล
ชายชราหันมาบอกกับชายวัยกลางคน ขณะเดียวกันก็สั่งกัวซิ่นหนิงว่า “ตรงนี้มอบหมายให้เจ้า ยืนหยัดไว้ รอพวกข้าโจมตีราชาหมาป่าให้ถอยไปได้ก่อน หมาป่าฝูงนี้ก็จะถอยไปเอง!”
กัวซิ่นหนิงตวัดกระบี่สังหารหมาป่าตัวหนึ่ง ก่อนจะหันมารับคำ “ได้ ผู้อาวุโสสูงสุดกับท่านลุงซุนระวังตัวด้วย!” เอ่ยจบ ก็เห็นทั้งสองรวมพลังเหาะออกไปตามหาราชาหมาป่าตัวนั้น
เดิมทีพวกเขาก็มีคนไม่มากอยู่แล้ว กอปรกับฝูงหมาป่ามีจำนวนมาก หากสู้ต่อไป นานเข้าต้องแพ้อย่างไม่ต้องสงสัยแน่นอน แผนรับมือที่ดีที่สุดในตอนนี้ก็คือทำให้ฝูงหมาป่าถอยออกไปเอง
เพียงแต่…
เขาหันไปมองทุกคนที่สู้สังหารจนดวงตาแดงก่ำ เห็นร่างกายพวกเขาเต็มไปด้วยรอยเลือด การโจมตีอันดุดันของฝูงหมาป่าอสูรทำให้พวกเขาสูญสิ้นความใจเย็นที่เคยมี กลายเป็นคลุ้มคลั่งและแต ตกตื่นลนลาน
เขามองหาเงาร่างของสองพี่น้องตระกูลเซี่ยและเฟิ่งจิ่วท่ามกลางกลุ่มคนอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้ เห็นพวกเขาสามคนถูกบีบต้อนเข้าไปมุม เขาอยากไปหา แต่กลับไม่อาจฝ่าฝูงคนไปจนถึงตรงนั้นไ ได้ ได้เพียงต่อสู้ไปพลาง ขยับไปหาพวกเขาไปพลาง
เซี่ยซือซือที่เห็นหมาป่าอสูรปรากฏตัวพร้อมกันจำนวนมากขนาดนี้ โดยเฉพาะหมาป่าอสูรพวกนี้ยังแยกเขี้ยวแยกเล็บ กระโจนเข้ามาพร้อมกับน้ำลายที่ท่วมปาก ท่าทางดุร้ายอย่างนั้น ทำให้นาง งอดตัวสั่นไม่ได้ ได้แต่ฟุบหน้าลงกับแผ่นหลังของพี่ชาย ไม่กล้าเงยหน้ามองอีก
เซี่ยอวี้ถังถือกระบี่ด้วยมืออีกข้างฟันหมาป่าอสูรที่กระโจนเข้ามา เขาฟังคำสั่งของเฟิ่งจิ่ว ใช้ประโยชน์จากต้นไม้ใหญ่ข้างหลังเป็นกำบัง ทำให้ไม่ต้องห่วงหน้าพะวงหลัง แค่ต้องตั้งใจ สู้กับหมาป่าอสูรที่พุ่งเข้ามาจากข้างหน้าเท่านั้น
เพียงแต่ อย่างไรเขาก็แบกน้องสาวไว้ แล้วยังต้องต่อสู้ด้วยมือเดียวอีก ทำให้มีเรี่ยวแรงมีจำกัด หลังจากสู้อยู่พักหนึ่ง เรี่ยวแรงค่อยๆ ถดถอย ความเร็วในการโจมตีและป้องกันเริ่มลด ดลงไปตาม
ครั้นเห็นหมาป่าอสูรดุร้ายตัวหนึ่งกระโจนเข้ามา เขาตกใจจนหน้าซีด แต่ในเวลานี้เอง เขาเห็นกระบี่แหลมในมือเฟิ่งจิ่วพุ่งแทงออกไป ทะลุร่างกายของหมาป่าอสูร ก่อนจะสะบัดโยนทิ้ง ม มองดูคนที่ยืนบังอยู่ข้างหน้าตนเอง หัวใจของเขาเต้นโครมคราม หอบหายใจคำโตๆ
เขานึกว่า เขานึกว่าจะต้องตายแน่แล้ว
“อยู่ชิดต้นไม้ ยืนอยู่ข้างหลังข้าแล้วพักก่อน” เฟิ่งจิ่วพูดโดยไม่หันกลับมามอง ยืนปกป้องพวกเขาจากอันตรายอยู่ข้างหน้า
สำหรับเขา หมาป่าอสูรพวกนี้ไม่นับเป็นอะไร เพียงแต่เคราะห์กรรมที่คนของตระกูลกัวประสบในครั้งนี้ เธอกลับไม่ได้คิดจะช่วยพวกเขา หนึ่งเพราะพวกเขาก็มีพลังต่อสู้ที่ไม่เลว การต่อสู ครั้งนี้เดาว่าอาจจะได้รับบาดเจ็บ แต่ไม่ถึงกับตายแน่นอน ในอีกด้านเพราะด้วยฐานะในตอนนี้ของเธอ หากทำเรื่องอย่างนั้นจริงๆ ย่อมต้องดึงดูดสายตาของคนอื่น และสร้างปัญหาที่ไม่จ จำเป็นตามมา
ฉะนั้น อย่างไรก็สู้ดีกว่า! ถึงอย่างไรขอแค่เธอปกป้องสองพี่น้องตระกูลเซี่ยไว้ได้ก็พอแล้ว ส่วนคนอื่นๆ จะเป็นจะตายแล้วเกี่ยวอะไรกับเธอเล่า?
สายตากวาดมองรอบๆ เธอหันไปมองกัวซิ่นเจี๋ยที่ตอนนี้สองขากำลังอ่อนแรงอยู่ หยักยิ้มมุมปากเล็กน้อยจนแทบมองไม่เห็น กัวซิ่นเจี๋ยคนนี้ท้องเสียมาทั้งคืนแล้ว ตอนนี้เรี่ยวแรงยังไม่ กลับมาก็ต้องเผชิญหน้ากับหมาป่าอสูรอีก เห็นรอยเลือดกระดำกระด่างบนตัวเขาก็รู้แล้วว่าบาดเจ็บไม่เบา หากไม่ได้พวกคนที่อยู่ข้างๆ คอยช่วยปกป้อง เดาว่าเขาคงถูกฝูงหมาป่าฉีกทึ งร่างไปนานแล้ว
การต่อสู้ดำเนินไปนานมาก ครั้นเห็นคนของตระกูลกัวเริ่มต้านทานไม่ไหวแล้ว แม้แต่กัวซิ่นหนิงก็ถูกหมาป่าข่วนจนบาดเจ็บไปหลายแผล ในตอนนี้เอง เสียงหมาป่าหอนอย่างลนลานพลันดังขึ นท่ามกลางท้องฟ้ายามกลางคืน หลังจากได้ยินเสียงหมาป่าหอนนี้ ฝูงหมาป่าขู่คำรามหนึ่งเสียง แม้จะเจ็บใจ แต่สุดท้ายก็ยังคงถอยไปอย่างรวดเร็ว
ครั้นคนพวกนั้นเห็นฝูงหมาป่าอสูรถอยทัพ แต่ละคนขาอ่อน ทรุดนั่งลงไปกับพื้น
ครั้นกัวซิ่นหนิงเดินมาหยุดยืนต่อหน้าพวกเฟิ่งจิ่ว แล้วเห็นว่าพวกเขาสามคนไม่มีบาดแผลเลยแม้แต่น้อย ก็อดมองพวกเขาอย่างตะลึงงันไม่ได้