เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2661 หมดสติ / ตอนที่ 2662 กังวล
ตอนที่ 2661 หมดสติ
ก็จริง หากไม่มีค่ายกลเคลื่อนย้าย พวกเขาคงไม่ถูกค่ายกลเคลื่อนย้ายนั่นส่งตัวมาถึงที่นี่ เพียงแต่ไม่รู้ว่าค่ายกลของตระกูลหร่วนอยู่ที่ไหนของที่นี่? อยู่ตรงจุดที่พวกเขาถูกส่งตัวออกมาหรือไม่?
นึกมาถึงตรงนี้ เธอก็ลอบส่ายหน้ากับตัวเอง น่าจะเป็นไปไม่ได้ ที่นั่นน่าจะไม่มีค่ายกล หรืออาจเป็นไปได้ว่าตอนนั้นเธอได้ยินเสียงกรีดร้องของเซี่ยซือซือ จึงไม่ได้ตรวจสอบที่นั่นอย่างละเอียด บางทีค่ายกลเคลื่อนย้ายของตระกูลหร่วนอาจซ่อนอยู่ที่นั่นก็ได้
เพียงแต่ตอนนี้พวกเขาเดินออกมาไกลขนาดนี้แล้ว ย่อมเป็นไปไม่ได้ที่จะย้อนกลับไปตามหาค่ายกลเคลื่อนย้ายที่มีอยู่จริงหรือไม่
เฟิ่งจิ่วลอบทอดถอนใจเงียบๆ ดูท่า ทำได้เพียงตามคนของตระกูลกัวออกไปจากที่นี่เสียแล้ว
ค่ำคืนนี้ แม้จะไม่ค่อยสงบนัก แต่หลังเที่ยงคืนกลับเงียบสงบมาก คนที่บาดเจ็บเหล่านั้นแม้จะหวาดวิตกและไม่กล้านอนหลับสนิท แต่สุดท้ายก็หลับไปอย่างสะลึมสะลืออย่างต้านทานความง่วงไม่ไหว
ตอนที่พวกเขาสะดุ้งตื่น กลับค้นพบว่าแสงสว่างยามรุ่งอรุณได้สาดส่องลงมากลางป่า ขับไล่ความมืดออกไปแล้ว สิ่งที่รอต้อนรับพวกเขาอยู่ก็คือเช้าวันใหม่
“ฟ้าสางแล้ว! เมื่อคืนไม่มีสัตว์ร้ายโจมตีพวกเรา ดีจริงๆ!”
เสียงโห่ร้องยินดีดังจากปากทุกคน พวกเขาย่อมไม่รู้อยู่แล้วว่าที่พวกเขาสามารถนอนหลับได้อย่างสบายใจ ไม่ถูกสัตว์ร้ายโจมตีนั้น ก็เพาะมีคนคอยปัดเป่าอันตรายให้พวกเขา เพราะมีคนปกป้องพวกเขา พวกเขาจึงสามารถผ่านค่ำคืนมาได้อย่างปลอดภัย
ชายวัยกลางคนลุกขึ้นมา กระแอมไอเบาๆ หันไปมองทุกคนแวบหนึ่ง เอ่ยขึ้นว่า “ทุกคนเตรียมออกเดินทาง!”
“ขอรับ” ทุกคนรับคำ ใบหน้าแต่งแต้มด้วยรอยยิ้มเบิกบาน
สองพี่น้องตระกูลเซี่ยเห็นเฟิ่งจิ่วเดินกลับมา จึงถามว่า “เสี่ยวจิ่ว เจ้าเหนื่อยหรือไม่?”
เฟิ่งจิ่วส่ายหน้า “ไม่เหนื่อย”
“ข้ามีผลไม้อีก เจ้ากินเถอะ!” เซี่ยซือซือเอาผลไม้ออกมายื่นให้เขา
เฟิ่งจิ่วยิ้ม “ไม่ต้อง ข้ามี” เธอล้วงเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบผลไม้ออกมาสามลูก แบ่งให้พวกเขาคนละลูก “ชิมดู” เอ่ยจบ ตนเองก็กัดหนึ่งคำ
สองพี่น้องตระกูลเซี่ยเห็นผลไม้สีแดงสดก็อดตะลึงไม่ได้ ทั้งสองรับไปกัดหนึ่งคำ เพียงแต่เมื่อเข้าปากแล้วรสชาติที่ได้กลับต่างกัน นี่มันผลไม้วิญญาณนี่!
รสสัมผัสหอมหวานฉ่ำน้ำเคล้ากลิ่นอายพลังวิญญาณ เพียงกัดหนึ่งคำก็รู้สึกได้ว่าลำคออันแห้งผากชุ่มชื้นขึ้นเพราะน้ำผลไม้นั่น กลิ่นอายพลังวิญญาณสายหนึ่งกระจายไปทั่วร่างกาย ทำให้พวกเขารู้สึกกระปรี้กระเปร่า
หลังจากกินผลไม้ พวกเขาก็ออกเดินทางไปกับคนของตระกูลกัว ตลอดเส้นทาง บางครั้งก็เจอสัตว์ร้ายบ้าง เพียงแต่ไม่ได้ปรากฏตัวเป็นฝูงอีก ด้วยเหตุนี้คนของตระกูลกัวจึงรับมือได้ไม่ยากนัก
เพียงแต่ ขณะที่เวลาล่วงเลยมาถึงยามเที่ยงวัน เสียงตะโกนพลันดังมาจากด้านหน้าของคณะเดินทาง
“ผู้อาวุโสสูงสุด!”
“ผู้อาวุโสสูงสุด!”
พวกเขาที่เดินอยู่ข้างหลังมองไปข้างหน้า เหมือนว่าชายชราที่เดินอยู่ข้างหน้าหมดสติไปแล้ว ทุกคนรุมล้อมและตะโกนเรียกด้วยความแตกตื่น
“ผู้อาวุโสสูงสุดเป็นอะไรไป? ทำไมจู่ๆ จึงหมดสติไป?”
“ผู้อาวุโสสูงสุดหน้าซีดมาก เหงื่อไหลทั้งตัวเลย”
ฟังคำพูดของทุกคน พวกเฟิ่งจิ่วเดินเข้าไป เพียงแต่ ด้านหน้าล้วนเป็นคนของตระกูลกัวรุมล้อมกันอยู่ พวกเขาจึงเบียดตัวเข้าไปไม่ได้ ได้แต่มองผ่านช่องว่างอันเล็กน้อยเข้าไป เห็นผู้อาวุโสสูงสุดหมดสติ และกัวซิ่นหนิงกำลังถอดเสื้อตัวนอกของเขาออก
“อาจเพราะบาดแผลแย่ลง” ชายวัยกลางคนเอ่ย แววตาดูกังวล
เฟิ่งจิ่วมองเห็นจากช่องว่างเล็กๆ หลังจากที่กัวซิ่นหนิงถอดเสื้อตัวนอกของชายชราออก ก็เห็นบาดแผลตรงหัวไหล่ของชายชรา…
………………………………….
ตอนที่ 2662 กังวล
ผ้าสีขาวที่พันแผลไว้เปียกชุ่มไปด้วยเลือดสีแดง มีของเหลวสีเหลืองขาวผสมอยู่ด้วย หนำซ้ำยังมีกลิ่นเหม็นเน่าโชยออกมา กัวซิ่นหนิงแกะผ้าพันแผลออก ยามเห็นแผลที่อักเสบและบวมแดง ก็อดสูดปากไม่ได้
“ซี้ด!”
“แผลนี้ ทำไมอาการจึงร้ายแรงเช่นนี้!”
สีหน้าของทุกคนพลันเปลี่ยน มองแผลที่ลึกจนเห็นกระดูกตรงหัวไหล่ของชายชรา นั่นเป็นแผลที่เกิดจากถูกราชาหมาป่าข่วน เป็นรอยแผลหลายเส้นที่น่าสะพรึงกลัวมาก โดยเฉพาะยิ่งตอนนี้มันอักเสบ ยิ่งทำให้คนอกสั่นขวัญหาย
“นึกไม่ถึงเพียงคืนเดียว แผลจะกลายเป็นอย่างนี้แล้ว” ชายวัยกลางคนสีหน้าหนักอึ้ง
กัวซิ่นหนิงถามชายวัยกลางคน “ท่านลุงซุน ท่านมีวิธีหรือไม่?” ทักษะการแพทย์ของเขานับว่าอยู่อันดับต้นๆ ของตระกูล ครั้งนี้ติดตามคณะเดินทางออกมา นอกจากพลังต่อสู้ของเขา ทักษะการแพทย์ของเขาก็นับเป็นปัจจัยสำคัญด้วย
“อาการไม่ค่อยสู้ดีนัก” ชายวัยกลางคนเอ่ย “บาดแผลนี่เพียงคืนเดียวก็เป็นอย่างนี้แล้ว นอกจากพิษร้อนในร่างกาย ยังต้องลดการอักเสบที่แผลด้วย เพียงแต่ออกมาครั้งนี้พกยาออกมาด้วยน้อยเกินไป ยาน้ำลดอาการอักเสบก็ไม่มีแล้ว ยารักษาแผลก็ไม่มีแล้ว”
“อาการของผู้อาวุโสสูงสุดเกรงว่าจะยืนหยัดไปจนถึงค่ายกลเคลื่อนย้ายของพวกเราไม่ไหว” กัวซิ่นหนิงเอ่ย รอบข้างพลันเงียบกริบไปชั่วขณะ
“เรื่องนี้ หากขูดเนื้อที่เน่าออกแล้วจะทำให้อาการดีขึ้นหรือไม่?”
เสียงที่ดังขึ้นทำให้ทุกคนตะลึงงัน พวกเขาเอียงหน้าหันไปมอง สายตาที่จับจ้องไปที่เซี่ยอวี้ถังแฝงแววไม่พอใจและดูแคลน “เจ้าพูดง่าย นั่นคือการขูดเนื้อ จะทำส่งเดชได้เสียที่ไหน?”
เซี่ยอวี้ถังลูบจมูกเก้อๆ ก่อนเอ่ยว่า “ตอนแรกข้าก็มีแผลที่อักเสบและเน่าเหมือนกัน เป็นเฟิ่งจิ่วที่ช่วยรักษาให้ข้า ข้าเลยคิดว่า…”
ยังพูดไม่ทันจบ ทุกคนก็หันมามองเขา เขาจึงโบกมือ “ช่างเถอะ หากพวกเจ้าคิดว่าวิธีนี้ใช้ไม่ได้ฟังไว้ก็พอ ไม่จำเป็นต้องคิดจริงจัง”
เฟิ่งจิ่วเหลือบมองเขาอย่างหมดคำพูด เจ้าทึ่มคนนี้สมองกระทบกระเทือนจนกลายเป็นคนโง่ไปแล้วหรือ? ทำไมถึงได้หาเรื่องใส่ตัวได้ตลอดกันนะ?
ตามคาด เขาเพิ่งจะพูดจบ ก็เห็นกัวซิ่นหนิงหันมองมา “เฟิ่งจิ่ว เจ้ารู้วิชาแพทย์หรือ?”
เฟิ่งจิ่วชะงักเล็กน้อย ก่อนตอบเขาว่า “รู้บ้างเล็กน้อย!”
ได้ยินคำตอบนั้น ทุกคนที่ตอนแรกรู้สึกมีความหวังขึ้นมากลับรู้สึกผิดหวังอีกครั้ง “เขาเป็นแค่เด็กหนุ่มจะไปรู้ทักษะการแพทย์อะไรได้? ท่านลุงซุนบอกว่าอาการไม่สู้ดี แล้วเขาจะทำอะไรได้?”
“นั่นสิ เจ้าหนูนี่เอาแต่หลบอยู่ข้างหลังตลอด บางครั้งก็ไม่ส่งเสียงสักนิด หากไม่บอกข้ายังคิดว่าเขาเป็นอากาศธาตุ จะไปรู้วิชาแพทย์ได้อย่างไรกัน?”
ฟังพวกเขาพูดอย่างนั้น เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ นัยน์ตาหรี่ลงเล็กน้อย กวาดมองผ่านใบหน้าของทุกคน ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาว่า “แม้จะรู้บ้างเล็กน้อย แต่การรักษาบาดแผลเช่นนี้กลับเป็นเรื่องที่ง่ายดายสำหรับข้า”
กัวซิ่นหนิงแววตาเป็นประกายขึ้นมา “จริงหรือ?”
“แน่นอน” เธอยืนนิ่งไม่ขยับ เพียงรับคำ
“พรืด! เจ้าหนูนี่คุยโวโอ้อวดยิ่งนัก”
“นั่น ไม่กลัวขายหน้าเสียบ้างเลย”
เฟิ่งจิ่วหรี่ตามองพวกเขา “เอาอย่างนี้ไหมเล่า! ข้าช่วยรักษาให้ผู้อาวุโสสูงสุดของพวกเจ้า หากรักษาหายจริงๆ…” เธอลากเสียงพูดยาวๆ ก่อนหยุดพูดไปครู่หนึ่ง หรี่ตามองพวกเขา
“ทำไม? จะเอาเงินเท่าไร?” ลูกหลานตระกูลกัวแต่ละคนมองเขาด้วยสายตาดูแคลน
เฟิ่งจิ่วยิ้ม “ไม่เอาเงิน ขอแค่ต่อไปหากพวกเจ้าเจอหน้าข้า ต้องเรียกข้าว่าท่านบรรพจารย์ก็พอแล้ว”
ทุกคนตะลึงงัน จากนั้นก็แหงนหน้าหัวเราะเสียงดัง ครั้นหยุดหัวเราะก็เอ่ยด้วยสีหน้าเย็นชา “เจ้าหนู เกรงว่าเจ้าจะรับไม่ไหวเสียมากกว่า!”
………………………………….