เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2663 ขับไล่ / ตอนที่ 2664 เสียงสัตว์ร้ายคำราม
ตอนที่ 2663 ขับไล่
ชายวัยกลางคนได้ยินคำพูดของเฟิ่งจิ่วสีหน้าพลันเย็นชาขึ้นมา เขาเดินเอามือไขว้หลังไปหาเฟิ่งจิ่ว เอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมว่า “อายุแค่นี้ กลับพูดจาใหญ่โต หรือว่าลืมไปแล้วว่าพว วกเจ้ายังต้องการให้พวกข้าคุ้มครองในการเดินทางครั้งนี้! หากไม่ใช่พวกเรา พวกเจ้าจะรอดมาจนถึงตอนนี้หรือ!”
สองพี่น้องตระกูลเซี่ยอดกังวลไม่ได้ จริงอย่างที่เขาว่า ในการเดินทางครั้งนี้พวกเขาได้รับการคุ้มครองจากคนของตระกูลกัว ไม่อย่างนั้นหากเดินทางเพียงลำพังเกรงว่าต้องเจอกับอันตร รายแน่นอน เฟิ่งจิ่วทำอย่างนี้เท่ากับต้องการบาดหมางกับพวกเขา?
เซี่ยอวี้ถังรู้สึกผิดเล็กน้อย ต้องโทษที่เขาเอ่ยปากส่งเดช แม้จะเกิดขึ้นจากความหวังดี แต่พวกเขากลับไม่เชื่อเฟิ่งจิ่ว ตรงกันข้ามยังมองด้วยแววตาดูถูกและเอ่ยวาจาดูแคลนอีกต่างหาก ไม่แปลกที่เฟิ่งจิ่วจะมีน้ำโหขึ้นมา
เขารู้ดี เฟิ่งจิ่วอาจดูไม่เหมือนคนเจ้าอารมณ์ แต่หากโกรธขึ้นมา แม้แต่เขาก็ยังต้องกลัว
ได้ยินคำพูดของชายวัยกลางคน เฟิ่งจิ่วกระตุกมุมปากเผยรอยยิ้มที่ดูเหมือนยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม “ใครคุ้มครองใครก็ยังไม่รู้แน่!”
“ช่างเป็นเด็กที่ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงจริงๆ!” ชายวัยกลางคนสีหน้าเคร่งเครียด ปล่อยแรงกดดันโจมตีไปทางเฟิ่งจิ่ว แต่ในเวลานี้เอง กัวซิ่นหนิงกลับรีบเข้ามาขวางไว้ก่อน “ท่านลุงซุนโป ปรดระงับโทสะ”
กัวซิ่นหนิงยืนขวางด้านหน้าเฟิ่งจิ่ว เขาบอกชายวัยกลางคนว่า “ท่านลุงซุน ตอนนี้เรื่องสำคัญคืออาการบาดเจ็บของผู้อาวุโสสูงสุดนะขอรับ”
เฟิ่งจิ่วมองชายหนุ่มที่ยืนขวางอยู่ข้างหน้า สายตาไหวระริกเล็กน้อย กัวซิ่นหนิงคนนี้นับว่าเป็นคนดีจริงๆ ออกหน้าปกป้องครั้งแล้วครั้งเล่า เหนือความคาดหมายจริงๆ
“พวกเจ้า รีบไสหัวไปเดี๋ยว! ตระกูลกัวของพวกเราไม่ยินดีจะร่วมเดินทางกับพวกเจ้า!”
ลูกหลานตระกูลกัวคนหนึ่งชี้ไปที่พวกเฟิ่งจิ่ว เขาไม่ถูกชะตาสามคนนี้แต่แรกแล้ว วรยุทธ์ก็ต่ำ เวลาเจออันตรายก็ดีแต่คอยให้พวกเขาปกป้อง สุดท้ายพวกเขาล้วนบาดเจ็บ พวกเขาสามคนกลับ ไม่มีแผลเลยแม้แต่น้อย น่าโมโหยิ่งนัก
“ใช่! ไสหัวไปเลย! ไสหัวออกจากสายตาของพวกข้าไปเสีย!” ลูกหลานตระกูลกัวอีกคนตะโกนเสริม จ้องพวกเฟิ่งจิ่วด้วยสีหน้าขึ้งเคียด
“เหอะ! พวกข้าจะรอดู ไม่มีการคุ้มครองจากพวกข้า พวกเจ้าสามคนจะรอดออกไปจากที่นี่ได้อย่างไร!”
“ไสหัวไป! ไม่ต้องมาตามพวกข้าอีก!”
“ไสหัวไปเลย ไปตอนนี้เลย!”
เสียงก่นด่าดูแคลนมากมายดังขึ้น ทำให้สองพี่น้องตระกูลเซี่ยรู้สึกแย่และลำบากใจ แต่พวกเขากลับไม่พูดอะไร เพียงยืนอยู่ข้างเฟิ่งจิ่วเงียบๆ
พวกเขาเองก็เป็นลูกหลานตระกูลผู้ดีเหมือนกัน เป็นครั้งแรกที่ถูกคนก่นด่าเช่นนี้ ซ้ำยังเป็นคนที่รู้จักกันมาหนึ่งวัน ผ่านความเป็นความตายมาด้วยกัน สำหรับพวกเขา นับว่าเป็นคนกันเอง งแล้ว ตอนนี้กลับเปลี่ยนท่าทีและขับไล่ไสส่งพวกเขา
พวกเขาเองก็ไม่ได้ทำเรื่องเลวร้ายอะไรขนาดนั้น แต่คนของตระกูลกัวกลับด้อยค่าพวกเขา ดูแคลนพวกเขา และคำพูดของเฟิ่งจิ่วก็กลายเป็นชนวน ทำให้เพลิงโทสะของพวกเขาปะทุออกมา ออกปาก ไล่พวกเขาอย่างทนไม่ไหวในที่สุด
“ใจเย็นกันหน่อย”
กัวซิ่นหนิงพยายามพูดให้พวกเขาใจเย็น อย่าทำอะไรวู่วาม แต่เพราะแต่ละคนล้วนบาดเจ็บ ตอนนี้ยิ่งเห็นอาการของผู้อาวุโสสูงสุดแย่ลงจนหมดสติไป ยิ่งร้อนใจดั่งไฟแผดเผา ครั้นอารมณ์ป ปะทุขึ้นมาก็ไม่อาจข่มลงไปได้อีก
“ซิ่นหนิง เจ้าก็อย่าห้ามอีกเลย ให้พวกเขาไปเสีย คณะเดินทางของตระกูลกัวเรารับคนอย่างนี้ไว้ไม่ได้หรอก!” ชายวัยกลางคนพูดขณะเอามือไขว้หลัง เห็นได้ชัดว่าเขาเองก็ต้องการให้ส สามคนนี้ไปเสีย
บางทีสำหรับเขา คำพูดของเฟิ่งจิ่วอาจดูเหมือนต้องการโจมตีพวกเขาอย่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง และต้องการท้าทายอำนาจของพวกเขา หากเฟิ่งจิ่วมีวรยุทธ์แข็งแกร่งก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง แต่ ตอนนี้พวกเขาคิดว่าวรยุทธ์ของเฟิ่งจิ่วอ่อนด้อยนัก พวกเขาย่อมไม่ยินดีให้คนอ่อนแอเช่นนี้มาเอ่ยคำพูดอย่างนี้กับพวกเขาได้
………………………………….
ตอนที่ 2664 เสียงสัตว์ร้ายคำราม
“ท่านลุงซุน!”
กัวซิ่นหนิงเริ่มรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดี สัญชาตญาณบอกเขาว่าจะปล่อยพวกเฟิ่งจิ่วไปจากคณะเดินทางของพวกเขาไปไม่ได้เด็ดขาด ไม่อย่างนั้นจะต้องเกิดเรื่องร้ายขึ้นแน่ๆ
ชายวัยกลางคนเอามือไขว้หลังแล้วหันหลังกลับไป ไม่มองพวกเขาอีก
คนอื่นๆ เห็นอย่างนั้นก็ตะโกนไล่ทันที “ไสหัวไป! ไปไกลๆ!”
“พะ พวกเจ้าอย่าได้รังแกกันเกินไปนัก!
เซี่ยอวี้ถังถูกไล่ตะเพิดครั้งแล้วครั้งเล่า ก็เริ่มรู้สึกเดือดดาลขึ้นมาบ้างแล้ว คนพวกนี้ทำไมถึงได้ไร้เหตุผลขนาดนี้ พวกเขาแค่ร่วมเดินทางมาด้วยแค่วันเดียว กิ่งไม้ก็เก็บเอง เน นื้อก็ย่างกินเอง เฟิ่งจิ่วยังย่างเนื้อให้พวกเขากินอีก! หนำซ้ำเมื่อคืนเขายังช่วยทำแผลให้พวกเขา แล้วยังเอายาของตนเองให้พวกเขาอีก ตอนนี้กลับเปลี่ยนท่าทีไปขนาดนี้
เซี่ยซือซือเองก็ไม่ได้ถูกคนอื่นไล่ให้ไสหัวไปไกลๆ เวลานี้พอได้ยินก็อดหดไหล่ไม่ได้ นางพูดเสียงเบาว่า “ตอนสัตว์ร้ายมาก็เป็นเฟิ่งจิ่วที่ปกป้องพวกเรา พวกเจ้าไม่ได้ปกป้องพวกเ เราเสียหน่อย”
นางพูดความจริง แต่สำหรับคนของตระกูลกัวนั่นกลับกลายเป็นคำพูดท้าทาย หนึ่งในนั้นแค่นเสียง “เหอะ! หากไม่ใช่พวกข้า พวกเจ้าคิดว่าพวกเจ้าจะรอดมาจนถึงตอนนี้หรือ? หากไม่ใช่พวกข้า สู้กับฝูงหมาป่าอสูรอย่างสุดชีวิต พวกเจ้าจะปลอดภัยไร้รอยขีดข่วนอย่างนี้ได้อย่างไรกัน?”
เฟิ่งจิ่วหยักยิ้มมุมปาก ไม่ได้พูดอะไรมาก เพียงหันไปพูดกับสองพี่น้องตระกูลเซี่ยว่า “พวกเราไปกันเถอะ!” พูดจบ ก็หันตัวจะเดินกลับทางเดิม
“เฟิ่งจิ่ว!” กัวซิ่นหนิงรีบเดินมาขวางทางข้างหน้าเขา มองเขาด้วยสายตาซับซ้อน “ต้องทำขนาดนี้จริงหรือ?”
เฟิ่งจิ่วยิ้มหยันน้อยๆ “คำพูดนี้ไม่ควรมาถามข้าเลยจริงๆ” เธอแค่นยิ้ม เอียงหัวหันไปมองเหล่าลูกหลานตระกูล ก่อนเอ่ยว่า “เจ้าว่าคนของพวกเจ้ามีคนไหนที่มองพวกข้าอย่างไม่ดูแคลน นบ้างหรือไม่? ในเมื่อไม่มีใครเห็นพวกข้าอยู่ในสายตา ทำไมพวกข้าต้องตามพวกเจ้าให้โดนดูถูกต่อไปด้วยเล่า!”
เฟิ่งจิ่วหยุดพูดไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยขึ้นอีกครั้งด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชาเกียจคร้าน ท่าทางไม่เหมือนคนซื่อๆ อย่างที่แสดงให้เห็นในยามปกติอีก กลับเต็มไปด้วยความเฉยชาและมั่นใจเต็มเ เปี่ยม “ไปจากพวกเจ้า อย่างมากพวกข้าก็แค่ต้องเดินไกลอีกหน่อย ตระกูลกัวของพวกเจ้ามีค่ายกลเคลื่อนย้ายอยู่ที่นี่ พวกข้าก็ย่อมมีเหมือนกัน”
กัวซิ่นหนิงสายตาไหวระริก มองดูเฟิ่งจิ่วเดินผ่านเขาไป แต่กลับพูดอะไรไม่ออกสักคำ ยิ่งไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากรั้งอย่างไรดี
“พี่ชายกัว รักษาตัวด้วย” เซี่ยอวี้ถังประสานหมัดคารวะเขาขณะเดินผ่านไป
“พี่ชายกัว ลาก่อน” เซี่ยซือซือเองก็เอ่ยลาด้วย นางรีบสาวเท้าเร็วๆ ตามเฟิ่งจิ่วไป แล้วจู่ๆ ก็ก้มมองเท้าตัวเองด้วยความตะลึง นางวิ่งกระโดดไปข้างหน้า “ท่านพี่ เสี่ยวจิ่ว ดูนี สิ ขาของข้าหายดีแล้ว ขาของข้าหายดีเหมือนเดิมแล้ว!”
“เอ๊ะ? หายแล้วจริงหรือ? หายตั้งแต่เมื่อไร?” เซี่ยอวี้ถังถามด้วยความประหลาดใจ เดินจากไปพร้อมกับเฟิ่งจิ่ว พลางสังเกตเท้าของน้องสาวไปด้วย
“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน! เมื่อกี้ข้าก็เพิ่งรู้ตัวว่าเท้าของข้าหายดีแล้ว ฮี่ๆ ถ้ารู้แต่แรกว่าขาหายดีแล้ว ท่านพี่ก็ไม่ต้องแบกข้าอีก”
เฟิ่งจิ่วที่อยู่ข้างหน้าเผยยิ้ม บอกว่า “ให้พี่ชายของเจ้าแบกก็ไม่เป็นไร อย่างไรเขาก็ไม่ค่อยแข็งแรงนัก ควรฝึกฝนให้มากหน่อย”
“หา? เสี่ยวจิ่ว เจ้าหมายความว่าข้าตัวหนักงั้นหรือ? ข้าไม่หนักนะ คนอื่นเขาไม่หนักนะ!” เซี่ยซือซือเบ้ปาก จูงมือพี่ชายของนาง เดินกระโดดโลดเต้นอยู่ข้างๆ เฟิ่งจิ่ว
มองดูพวกเขาสามคนเดินห่างออกไปเรื่อยๆ ไม่รู้ทำไม กัวซิ่นหนิงรู้สึกหนักอึ้งในใจอย่างบอกไม่ถูก
“เอาละ เตรียมตัวให้พร้อม พวกเรา…”
ชายวัยกลางคนยังพูดไม่ทันจบ ทันใดนั้นเสียงคำรามของสัตว์ร้ายหลายตัวพลันดังมาจากรอบข้าง สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไปทันที