เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2731 สังหารงู / ตอนที่ 2732 ทะลวงขั้น
ตอนที่ 2731 สังหารงู
เหล่าผู้แข็งแกร่งที่กำลังมุ่งหน้ามาทางนี้รู้สึกได้ว่าใจกลางเกาะกำลังสั่นสะเทือน ต่างตกตะลึงและถามกันว่าเกิดอะไรขึ้น? ทว่า พวกเขาอยู่ห่างจากใจกลางเกาะมาก แม้จะอยากรู้ แต่ ก็ทำอะไรไม่ได้
พวกเขาตื่นตะลึง รู้สึกได้ว่าต้องเกิดอะไรขึ้นที่ทะเลสาบใจกลางเกาะแน่ๆ แต่ที่นั่นจะเกิดอะไรขึ้นได้? หรือว่าบันไดสู่แดนเซียนปรากฏก่อนเวลา?
นึกมาถึงตรงนี้ พวกเขาเร่งความเร็วมุ่งหน้าไปทางนั้น แต่ทว่า ระหว่างมุ่งหน้าไปทางนั้น กลับค้นพบว่าแรงสะเทือนจากใจกลางเกาะหายไปแล้ว ทุกอย่างกลับมาเงียบสงบเหมือนตอนแรก
แม้จะเป็นอย่างนี้ แต่พวกเขาก็แค่ชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะมุ่งหน้าไปทางนั้นต่อ
ขณะเดียวกัน ณ ใจกลางเกาะ ทะเลสาบที่เคยอยู่ตรงหน้าเฟิ่งจิ่วเหลือไว้เพียงบ่อว่างเปล่าขนาดใหญ่ แห้งเหือดไม่เหลือน้ำสักหยด แม้แต่เฟิ่งจิ่วที่เคยยืนอยู่ข้างทะเลสาบก็หายไปด้วย
เฟิ่งจิ่วในตอนนี้ที่จริงถูกม้วนเข้าไปในทะเลสาบที่อยู่ในห้วงมิติ ตอนที่เธอดูดน้ำเข้าไปในห้วงมิติ ในตอนที่น้ำใกล้ถูกดูดเข้าไปหมดปรากฏว่ามีงูขาวขนาดใหญ่ตัวหนึ่งโผล่ออกมา า งูขาวตัวนั้นใช้หางม้วนเอาตัวเธอเข้าไปพร้อมกับน้ำที่ถูกดูดเข้าไปในห้วงมิติ
ในห้วงมิติ เฟิ่งจิ่วที่เปียกโชกไปทั้งตัวปีนขึ้นมาจากทะเลสาบ ในมือของเธอยังคงกำดาบสั้นไว้ เลือดบนดาบสั้นถูกน้ำในทะเลสาบล้างจนสะอาดเกลี้ยงเกลาเหมือนเดิมแล้ว
เหล่าสัตว์พันธสัญญาของเธอยืนล้อมอยู่ข้างทะเลสาบ เห็นเธอขึ้นมาก็รีบเข้าไปดึงเธอ ก่อนจะรุมถามว่า “นายท่าน เป็นอย่างไรบ้าง? บาดเจ็บหรือไม่?”
“อ๊ะ! นายท่าน ดูนั่น เลือดของงูขาวตัวนั้นหายไปแล้ว” เหล่าไป๋อุทานอย่างตกใจ ชี้ไปที่รอยเลือดในทะเลสาบที่ค่อยๆ หายไป
เฟิ่งจิ่วนั่งอยู่บนฝั่งหันหลังไป เห็นเลือดของงูขาวที่กระจายอยู่บนผิวน้ำค่อยๆ หายไป น้ำทะเลสาบกลับมาเป็นสีเขียวมรกตดังเดิม หากไม่เห็นศพของงูขาวที่ลอยอยู่ด้านหนึ่ง ดูไม่อ ออกจริงๆ ว่าเมื่อครู่น้ำทะเลสาบแห่งนี้เคยปนเปื้อนเลือดมาก่อน
“ไปเอาศพนั่นขึ้นมา อย่าให้น้ำปนเปื้อน” เฟิ่งจิ่วสั่ง หลังจากเก็บดาบสั้นก็หยิบยาเม็ดหนึ่งออกมากิน
นึกไม่ถึงว่าในนี้จะมีงูขาวอยู่ด้วย ตอนที่งูขาวตัวนั้นใช้หางม้วนเอาตัวเธอเข้ามา มันจับเธอไว้ในน้ำ อ้าปากกว้างหมายจะกินเธอ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงฆ่ามันอย่างไม่ลังเล
ใช้กลิ่นอายพลังวิญญาณมากเกินไป กอปรกับเพิ่งผ่านการต่อสู้ใต้น้ำมา ทำให้เธอดูเหน็ดเหนื่อยอย่างเห็นได้ชัด หลังจากเปลี่ยนเสื้อผ้าที่เปียกไปทั้งตัว เธอจึงหันไปบอกกับเหล่าสัตว์คู่ พันธสัญญาของเธอว่า “ห้ามแตะต้องดอกบัวสีทอง” จากนั้นก็หลับไปอย่างสะลึมสะลือ
การนอนหลับครั้งนี้ของเธอ ทำเอาเหล่าสัตว์คู่พันธสัญญาตกใจจนไม่กล้าไปไหนไกล ได้แต่เฝ้าอยู่ข้างๆ กระทั่งเมื่อพักผ่อนเต็มที่จนกลิ่นอายพลังวิญญาณกลับมาเต็มเปี่ยมเหมือนเดิมเฟิ่งจ จิ่วจึงค่อยตื่น ครั้นตื่นมาอีกทีก็พบว่าผ่านไปสามวันแล้ว
แต่เธอครุ่นคิดครู่หนึ่ง สามวันนี้ในนี้ เท่ากับวันเดียวของข้างนอก ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่รีบร้อนออกไป แต่หันมาศึกษาเรื่องดอกบัวสีทองก่อน
ผู้เฒ่าเทียนจีสั่งให้เธอมาที่บันไดสู่แดนเซียน คงไม่ใช่เพื่อสิ่งนี้หรอกกระมัง? อย่างไรเสียในร่างกายของเธอก็มีเม็ดบัวเขียวโบณาณอยู่ และบัวสีทองนี่ ก็ดูเหมือนจะไม่ธรรมดา
เธอขมวดคิ้วเล็กน้อย นึกถึงคำพูดของผู้เฒ่าเทียนจีที่ฟังดูมีความหมายแฝง อดไม่ได้ที่จะกอดอกเพ่งมองดอกบัวสีทองนั่นอย่างกลัดกลุ้ม สุดท้าย สายตาของเธอไหวระริก ก่อนเผยรอยยิ้มออกมา า
“ไม่ว่าจะมาเพื่อดอกบัวสีทองนี่หรือไม่ แต่เป็นเรื่องจริงที่ดอกบัวสีทองนี้เป็นของดี หากนำมาใช้เป็นส่วนประกอบในการกลั่นยา จะได้ยาแบบใดออกมากันนะ?” เธอพึมพำเบาๆ อดไม่ได้ที จะรู้สึกคาดหวัง
สายตาตวัดมองไปที่ดอกบัวเหล่านั้น ปลายเท้าเขย่ง เงาร่างสีแดงพาดผ่าน ฝักบัวถูกเด็ดขึ้นมา
………………………………….
ตอนที่ 2732 ทะลวงขั้น
เธอแกะเม็ดบัวเม็ดหนึ่งออกมากิน สัมผัสได้ว่าพลังวิญญาณในร่างกายเพิ่มขึ้นเป็นเท่าตัว วรยุทธ์ที่หยุดชะงักอยู่ที่ระดับจักรพรรดิเซียนขั้นสูงสุด กลับมีร่องรอยว่าจะทะลวงขั้นขึ้น นมารางๆ แล้ว หัวใจของเฟิ่งจิ่วสั่นสะท้าน อดไม่ได้ที่จะเก็บฝักบัวให้ดีแล้วกำชับกับเหล่าสัตว์คู่พันธสัญญาสองสามประโยค จากนั้นก็มานั่งขัดสมาธิฝึกวรยุทธ์อยู่ด้านหนึ่ง
กลิ่นอายพลังวิญญาณในร่างกายพวยพุ่ง ราวกับกระแสน้ำที่ไหลไปรวมกันในมหาสมุทร เกิดคลื่นซัดสาดลูกแล้วลูกเล่า กระแสกลิ่นอายพลังวิญญาณอันเชี่ยวกราดกำลังขยายเส้นชีพจรในร่างกายขอ องเธอ เส้นชีพจรขยายใหญ่ขึ้นอีกครั้ง พลังวิญญาณไหลทะลักเข้าไปในจุดตันเถียน ทุกอณูขุมขนบนร่างกายเปิดกว้าง ดูดเอากลิ่นอายพลังวิญญาณในห้วงมิติเข้าไปในร่างกายอย่างบ้าคลั่ง
ไม่ใช่เพียงแค่เส้นชีพจรของเธอที่กำลังขยายใหญ่ แม้แต่บัวเขียวในร่างกายของเธอก็กำลังดูดกลืนกลิ่นอายพลังวิญญาณอย่างบ้าคลั่ง กลิ่นอายพลังวิญญาณที่ไหลทะลักเข้าร่างกายเธอ หาก ไม่ใช่ว่ามีบัวเขียวคอยแบ่งไป เกรงว่าเธอคงตายเพราะร่างกายระเบิดไปแล้ว
การดูดซับกลิ่นอายพลังวิญญาณอันบ้าคลั่งของเธอทำให้เหล่าสัตว์คู่พันธสัญญาทั้งหลายต่างก็ตื่นตะลึง แต่เมื่อนึกถึงคำสั่งของนายท่าน พวกมันจึงเพียงยืนดูอยู่ห่างๆ ไม่ได้เข้าใกล้
ภายใต้แผ่นดินและผืนฟ้านี้ ชั้นเมฆบนฟ้าแปรปรวน พลังวิญญาณเบื้องล่างพลุ่งพล่าน ขณะเดียวกันข้างๆ เฟิ่งจิ่วที่กำลังนั่งสมาธิอยู่ กระแสพลังและแรงกดดันอันแข็งแกร่งแผ่กระจายอยู่รอบ ๆ กลิ่นอายพลังวิญญาณที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าห่อหุ้มเธอให้อยู่ตรงกลาง เหล่าสัตว์คู่พันธสัญญาที่ยืนดูอยู่ไกลเริ่มมองไม่ค่อยเห็นเงาร่างของเธอ
“ครืน!”
“เปรี้ยง!”
สายฟ้าพาดผ่านกลางอากาศ ราวกับจะฟาดฟันใส่เฟิ่งจิ่วที่อยู่เบื้องล่าง ไม่นาน เห็นเพียงสายอัสนีบาตรผ่าลงมาจากท้องฟ้า ฟาดลงมาที่เฟิ่งจิ่วซึ่งกำลังนั่งสมาธิอยู่ กระแสพลังอันแข็งแก กร่งที่พวยพุ่งและหมุนวนอยู่รอบกายส่งเสียงดังหึ่งๆ…
“อ๊า!”
เสียงกรีดร้องดังออกจากปากของเฟิ่งจิ่ว เสื้อคลุมสีแดงบนตัวเธอไหม้เกรียมเพราะสายฟ้าที่พาดลงมา ส่งกลิ่นไหม้จางๆ กระแสลมอันรุนแรงราวกับกำลังทำการแร่เนื้อหนังอยู่รอบกายเธอ กรี ดเสื้อคลุมของเธอจนขาด และกรีดผิวหนังของเธอจนเป็นแผลเลือดไหลท่วมตัว ดูน่าสยดสยอง
บัวเขียวในร่างกายกำลังหมุนโคจรอยู่ข้างใน มันค่อยๆ ใหญ่ขึ้น กลีบดอกเบ่งบานทีละกลีบ กลิ่นอายสีเขียวจางๆ และกลิ่นอายพลังวิญญาณอันบริสุทธิ์นั่นกระจายอยู่รอบตัวเธอ แต่กลับไม่ได ด้รักษาบาดแผลบนตัวเธอให้หาย
“ครืน!”
“เปรี้ยง!”
แสงสว่างวาบผ่านขอบฟ้า สายอัสนีบาตรฟาดลงมาที่เฟิ่งจิ่วอีกครั้ง ชั่วพริบตา เสียงกรีดร้องดังขึ้นมาอีกครั้ง
เหงื่อเย็นผสมกับเลือดบนตัวของเฟิ่งจิ่ว สายอัสนีบาตรครั้งนี้แตกต่างจากที่ผ่านมา สายฟ้าที่ฟาดลงมาแต่ละครั้งล้วนทำให้เธอรู้สึกเจ็บปวดที่กระดูกและผิวหนังอย่างแสนสาหัส ผิวหนั งบนตัวถลอกปอกเปิก สะเก็ดไฟจากสายฟ้าแผดเผาผิวของเธอ ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าทรมานขนาดไหน
แต่ทว่า สิ่งที่ทำให้เธอทรมานมากที่สุดก็คือเส้นชีพจรในร่างกายของเธอกำลังยืดยาวขึ้นทีละนิ้วๆ แล้วก็เหมือนกับมีคนกำลังใช้มีดคมค้อนหนักทุบกระดูกของเธอ มันเจ็บปวดไปทั่วทุก อณู เจ็บไปจนถึงก้นบึ้ง
“ครืน!”
“เปรี้ยง!”
สายอัสนีบาตรเส้นที่สามฟาดฟันลงมาอีกครั้ง ยามที่สายฟ้าอันดุดันรุนแรงเส้นนั้นฟาดใส่ตัวเธอ เธอกระอักเลือดออกมาเต็มปาก ขณะที่ร่างกายโงนเงนใกล้จะล้ม จู่ๆ ดวงจิตของเธอก็ล่องลอ อย ราวกับเข้าไปในดินแดนอันเลื่อนลอยแห่งหนึ่ง…
ขณะเดียวกันข้างนอก คนพวกนั้นที่มาถึงใจกลางเกาะเมื่อพบว่ารอบข้างเงียบสงบ ราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นอย่างไรอย่างนั้น แต่ครั้นสายตาของพวกเขาสะดุดที่ทะเลสาบอันแห้งเหือด กลับอดอุทา านอย่างตกใจไม่ได้
“สวรรค์! นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่? ทะ ทะเลสาบเล่า? ดอกบัวสีทองในทะเลสาบไปไหนแล้ว?”