เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2751 ไม่รู้จะไปทางไหนดี / ตอนที่ 2752 กลับบ้านอย่างเงียบงัน
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 2751 ไม่รู้จะไปทางไหนดี / ตอนที่ 2752 กลับบ้านอย่างเงียบงัน
ตอนที่ 2751 ไม่รู้จะไปทางไหนดี
“งั้นหรือ?”
เฟิ่งจิ่วหยักยิ้มมุมปาก จู่ๆ ก็ย่อตัวลง นิ้วมือขยับไหว เข็มเงินแต่ละเล่มส่องสะท้อนใต้แสงอาทิตย์ ทำให้ผู้พบเห็นอกสั่นขวัญหาย
“เจ้าจะทำอะไร!”
ผู้ฝึกตนพวกนั้นตวาดถาม ครั้นเห็นท่าไม่ดีก็กัดฟัน เขาตั้งใจจะถอดดวงจิตหนี แต่ใครจะรู้เมื่อเข็มเงินทิ่มลงมาที่ตัว กลิ่นอายพลังวิญญาณในร่างกายราวกับหายไปหมด รู้สึกปวดเมื่อ อยและอ่อนแรงไปทั้งตัว
เมื่อแทงเข็มเงินลงไป เฟิ่งจิ่วไม่ได้รีบถามทันที แต่หันไปมองผู้ฝึกตนคนอื่นๆ ก่อน
ผู้ฝึกตนพวกนั้นครั้นถูกเธอตวัดสายตามอง ก็พลันรู้สึกขนลุกไปทั้งตัว ไอสังหารในแววตาเธอชัดเจนถึงขนาดนั้น ทำให้พวกเขารับรู้ได้ถึงอันตรายสุดขีด
“พวกเจ้าล้วนกินยาพิษเข้าไปแล้วใช่ไหม?” เฟิ่งจิ่วเอ่ยอย่างแช่มช้า ในน้ำเสียงแฝงแววไม่ยี่หระ “พวกเจ้าคิดจะสละชีวิตตนเองเพื่อเจ้านายของพวกเจ้าอย่างนี้หรือ? เขาให้พวกเจ้ากินยาพิ ษเข้าไป คิดดูแล้วเจ้านายของพวกเจ้าก็ไม่ใช่คนดีอะไร”
ได้ยินคำพูดของเขา สายตาของผู้ฝึกตนพวกนั้นไหวระริก แต่กลับไม่พูดอะไร กระทั่งได้ยินประโยคต่อไปของเขา หัวใจของพวกเขาพลันสั่นสะท้าน
“ถ้าหากข้าบอกว่า ข้าแก้พิษในตัวพวกเจ้าได้ พวกเจ้ายังจะภักดีกับเจ้านายของพวกเจ้าอยู่หรือไม่?” เธอหยักยิ้มมุมปาก ถามด้วยน้ำเสียงเนิบช้า
เห็นสายตาตื่นตะลึงระคนเหลือเชื่อของพวกเขา เฟิ่งจิ่วพูดขึ้นว่า “ไม่ต้องสงสัยในความสามารถของข้า พวกเจ้าน่าจะรู้ดี ข้าก็คือภูตหมอ ขอแค่ข้าต้องการ ใต้หล้านี้ไม่มีพิษใดที่ข ข้าแก้ไม่ได้”
จำต้องบอกว่าคำพูดของเธอทำให้พวกเขาสั่นคลอน หากเป็นไปได้…
ความคิดนี้เพิ่งจะผุดขึ้นมา พยับเมฆบนท้องฟ้าพลันก่อตัว สายฟ้าฟาดฟันลงมาติดๆ กันหลายเส้น ชั่วขณะหนึ่ง เสียงกรีดร้องดังลั่นป่า กลิ่นเหม็นไหม้ลอยตามสายลมทั่วทิศกระจายไปทั่วทิศ ศ
เหตุการณ์นี้ทำให้เฟิ่งจิ่วที่ถอยหลังต้องขมวดคิ้ว “ฟ้าดินลงทัณฑ์?” เฟิ่งจิ่วจ้องมองศพที่มอดไหม้สิบกว่าศพนั้น เธอพึมพำขึ้นมา “ที่แท้ก็อย่างนี้เอง”
คนพวกนี้แม้จะถูกพิษควบคุม แต่ขณะเดียวกันก็ได้ให้คำสาบานต่อฟ้าดิน ทันทีที่มีความคิดทรยศ ฟ้าดินก็จะสังหารพวกเขาเป็นการลงโทษ
จำต้องยอมรับว่าเธอฝึกเซียนมานานขนาดนี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เห็นกฎแห่งสวรรค์ลงโทษผู้ทรยศกับตา ไม่น่าเล่า เวลาที่บางคนต้องการให้อีกฝ่ายภักดีต่อตนเอง พวกเขามักจะให้อีกฝ่า ายสาบานต่อฟ้าดิน
คำสาบานเช่นนี้ แม้ตัวจะอยู่ที่ใด ขอเพียงเกิดความคิดทรยศ แม้เจ้านายของพวกเขาไม่ฆ่าพวกเขา พวกเขาก็ไม่อาจหนีพ้นความตาย
“ดูท่า หากอยากรู้ข้อมูลของผู้ที่อยู่เบื้องหลังคนพวกนี้ คงต้องหาทางด้วยวิธีอื่น” เธอพึมพำเบาๆ อย่างนึกเสียดาย
ไม่ง่ายเลยกว่าจะดึงดูดความสนใจจากคนพวกนั้นมาที่เธอ เพื่อดึงอันตรายออกห่างจากครอบครัวและสหายของเธอ หากกลับไปตอนนี้ เกรงว่าคนพวกนั้นก็จะตามหาเธอจนเจอ และทำให้เดือดร้อน ไปถึงครอบครัวของเธอด้วย
นึกมาถึงตรงนี้ เธออดทอดถอนใจเบาๆ ไม่ได้ เดินเข้าไปเก็บแหวนมิติบนตัวคนพวกนั้น จากนั้นก็สาวเดินจากไป
เดินอยู่กลางป่า เธออดครุ่นคิดไม่ได้ ลองคำนวณเวลาดูแล้ว พี่ชายของเธอพาพวกเฟิ่งเยี่ยกลับไป น่าจะใกล้ถึงบ้านแล้วกระมัง? ไม่รู้ว่าตอนที่พวกท่านปู่เห็นเฟิ่งเยี่ยกลับบ้าน จะดีใ ใจขนาดไหนกันนะ?
นึกมาถึงตรงนี้ เธออดเม้มปากยิ้มไม่ได้ ไม่มีอะไรเทียบได้กับการที่ครอบครัวได้อยู่พร้อมหน้าพร้อมตากัน เธอคิด พวกเขาจะต้องมีความสุขมากแน่ๆ เพียงน่าเสียดาย เธอไม่สามารถกลับไปได้ ไม่อย่างนั้นเธอก็อยากจะแบ่งปันความสุขนี้กับพวกเขาด้วยเหลือเกิน
เธอเดินๆ หยุดๆ อยู่ในป่า ประมาณสิบกว่าวันจึงจะเดินออกจากที่นี่ได้ เมื่อเธอออกมาถึงข้างนอก เห็นถนนตรงหน้า กลับไม่รู้ว่าจะเดินไปทางไหนดี
………………………………….
ตอนที่ 2752 กลับบ้านอย่างเงียบงัน
เธอยืนนิ่งเงียบ ครุ่นคิดอย่างละเอียด จ้องมองสถานที่ที่ไม่คุ้นเคยแห่งนี้ สถานที่ที่ไม่มีครอบครัวหรือสหายของเธออยู่เลยสักคน จู่ๆ เธอก็อยากกลับไปอยู่กับครอบครัวและเหล่าสหายข ของเธอเหลือเกิน
ยืนนิ่งอยู่นาน เธอก็หยิบแกนเคลื่อนย้ายในห้วงมิติออกมา แกนเคลื่อนย้ายที่เธอหลอกมาจากตาเฒ่าตอนนั้นไม่มีชื่อของเกาะเซียนเฝิงไหลเขียนไว้ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงไม่สามารถใช้มันเดิน นทางจากเมืองร้อยนทีมาถึงที่นี่ได้ แต่กลับสามารถใช้มันกลับไปที่เมืองร้อยนทีได้
เธอก้มหน้ายกมือขึ้น มองเสื้อผ้าสีแดงสะดุดตาของตนเอง ลอบคิดว่า ‘แม้จะกลับไป ก็ไม่อาจกลับไปในสภาพที่สะดุดตาเช่นนี้ได้’ ด้วยเหตุนี้ เธอจึงหายตัวเข้าไปในห้วงมิติ จัดการตนเองใ ใหม่ตั้งแต่หัวจรดเท้า
ในห้วงมิติ เธอสวมเสื้อผ้าขอทานที่ทั้งเก่าและขาด ดวงหน้าที่ผ่านการแปลงโฉมดูธรรมดาไม่มีอะไรโดดเด่น เนื้อตัวดูสกปรกมอมแมม รองเท้ามีรูขาดๆ หลายรู เผยให้เห็นส้นเท้าเล็กๆ สอ องข้า
เธอมองการแต่งตัวของตนเอง ก่อนจะยิ้มขึ้นมาอย่างไร้สาเหตุ ตอนนั้นเธอก็แต่งตัวอย่างนี้ตอนที่ตามพัวพันกับโม่เจ๋อ และเคยร่อนเร่พเนจรไปทั่วด้วยสภาพเช่นนี้ ตอนนี้ก็รู้สึกว่าการ รแต่งตัวอย่างนี้ไม่สะดุดตา และสะดวกต่อการเดินทางที่สุดแล้ว
แต่หากจากไปทั้งอย่างนี้ เดาว่าพวกเขาก็จะไปตามหาเธอที่นั่นอีก เธอต้องคิดหาวิธีหลอกล่อสายตาพวกเขาก่อน
ด้วยเหตุนี้ เธอจึงนึกถึงหุ่นเชิดขึ้นมา
เฟิ่งจิ่วเดินไปที่มุมหนึ่งซึ่งมีกล่องไม้วางไว้ เธอควานหาตำราเกี่ยวกับหุ่นไม้เล่มหนึ่ง นั่งขัดสมาธิแล้วพลิกอ่าน ตั้งใจศึกเรื่องหุ่นเชิดอย่างจริงจัง…
สามวันต่อมา
เธอมัดหุ่นฟางขึ้นมาสิบตัว บนหุ่นฟางแต่ละตัวมีเส้นผมของเธอมัดติดไว้หนึ่งเส้น กอปรกับถ่ายดวงจิตเข้าไปหนึ่งสายด้วย
“กลายร่างเปลี่ยนรูป จงเปลี่ยน!”
สิ้นเสียงตวาดลั่นของเธอ เห็นเพียง หนึ่งในหุ่นฟางมีประกายแสงวาบผ่าน ไม่นาน เด็กหนุ่มที่สวมใส่เสื้อผ้าสีแดง รูปร่างหน้าตาเหมือนกับเธอทุกประการก็ปรากฏและกระพริบตาถี่ๆ มองเธออ อยู่ตรงหน้า
เป็นครั้งแรกที่ได้เห็นตนเองที่เกิดจากการใช้วิชาหุ่นเชิดเสกขึ้นมา เธออดตะลึงงันไม่ได้ รู้สึกเพียงว่าเหมือนมาก เกรงว่าแม้แต่พวกโม่เจ๋อก็อาจจะดูไม่ออกว่าหุ่นเชิดนี้เป็นตัว ปลอม
“พูดอะไรสักอย่างสิ” เฟิ่งจิ่วยิ้มๆ ก่อนเอ่ยกับคนตรงหน้า
“พูดอะไรเล่า? พูดกับตัวเองน่าสนุกตรงไหน?” หุ่นเชิดที่ใส่เสื้อคลุมสีแดงยอกย้อนเฟิ่งจิ่ว การตอบสนองของมันเรียกได้ว่าแทบจะเป็นไปโดยสัญชาตญาณ
เฟิ่งจิ่วตะลึงงัน ก่อนจะหัวเราะขึ้นมา “ดีๆๆ อย่างนี้แหละดีมาก” มีหุ่นเชิดที่เสกขึ้นมาให้มีรูปร่างเหมือนเธออย่างนี้ คนพวกนั้นจะต้องอยู่บนเกาะเซียนเฝิงไหลเพื่อตามเธอต่ออย่าง งแน่นอน ในระหว่างนี้ เธออยากทำอะไรก็สามารถทำได้อย่างวางใจแล้ว
ด้วยเหตุนี้ เธอจัดการเรื่องหุ่นเชิดให้เรียบร้อย เพราะมีดวงจิตและเส้นผมของเธอ เธอจึงสามารถควบคุมการกระทำและคำพูดของพวกมันได้ หลังจากสะสางทุกอย่างเสร็จ เธอจึงหยิบแกนเคลื่อนย้ ายออกมา ในใจนึกถึงป่าแห่งหนึ่งที่อยู่นอกเมืองร้อยนที
เมื่อบังเกิดความคิด ประกายแสงวาบผ่าน เฟิ่งจิ่วหายตัวไปจากตรงนั้นทันที…
ในป่าหลังเวลาเที่ยงวันมีสายลมเย็นๆ พัดผ่าน ยามสาวเดินอยู่กลางป่า เพราะมีต้นไม้บดบังความร้อนจากแสงแดด จึงทำให้รู้สึกเย็นสบายขึ้นหลายส่วน
สายลมเย็นไล้ผ่านเบาๆ นกที่เกาะอยู่บนกิ่งไม้ส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว ให้ความรู้สึกสงบสุขและสบายใจ
เฟิ่งจิ่วในสภาพขอทานเก็บกิ่งไม้กิ่งหนึ่งขึ้นมาจากในป่า และถือชามใบใหญ่ที่ไม่รู้เก็บมาจากที่ไหน เดินทอดน่องเข้าไปในเมือง…