เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2813 จับตัวกลับไป / ตอนที่ 2814 เอ่ยปาก
ตอนที่ 2813 จับตัวกลับไป
“อ้าว แม่นาง” หนึ่งในนั้นยื่นมือไปหมายจะคว้าตัวเฟิ่งจิ่วที่นั่งอยู่บนหลังม้า แต่กลับนึกไม่ถึงเหล่าไป๋จะหมุนตัว ยกเท้าถีบออกไป ทั้งความเร็วและความแรงทำให้ผู้ฝึกตนคนนั้นหลบ ไม่ทัน ถูกถีบกระเด็นล้มลงบนพื้น
“พรืด!”
เลือดกระอักออกจากปากของเขา ผู้ฝึกตนคนนั้นหน้าซีดเผือด เขาถลึงตาจ้องเหล่าไป๋ที่พ่นลมออกทางจมูก ผ่านไปครู่หนึ่งก็ตะคอกอย่างเกรี้ยวโกรธ “ยังมัวยืนดูอะไรกันอยู่ จับเจ้าม้า าขาวตัวนี้ตัดตอนเสีย!”
ผู้ฝึกตนที่เหลือได้สติก็รีบดึงกระบี่ดึงดาบออกมาหมายจะลงมือ แต่ทว่าพวกเขายังไม่ทันได้ทำอะไร ก็เห็นทหารเฝ้าเมืองกลุ่มหนึ่งล้อมวงเข้ามา ตะคอกใส่พวกเขาเสียงดัง
“หาเรื่องทะเลาะวิวาทบนถนน! จับตัวตามคำสั่งท่านเจ้าเมือง!”
หัวหน้าทหารออกคำสั่ง โบกมือสั่งให้ทหารที่ล้อมอยู่รอบๆ จับตัวพวกเขาให้หมด ผู้ฝึกตนพวกนั้นเห็นท่าไม่ดีทำท่าจะหนี แต่ไม่นานก็ถูกจับตัวกดไว้กับพื้น
“เอาตัวไป!”
หัวหน้าทหารตะโกนสั่งให้คุมตัวผู้ฝึกตนพวกนั้นกลับไป จากนั้นก็หันไปมองหญิงสาวในชุดสีแดงสะดุดตาบนหลังม้าสีขาว ยามเห็นนาง ดวงตาของเขามีแววตะลึงลานในความงามพาดผ่าน
เป็นผู้ฝึกตนหญิงที่งดงามมากจริงๆ ไม่น่าเล่าเจ้าเมืองรู้ข่าวแล้วจึงสั่งให้พวกเขารีบมาพาคนกลับไป เขาคิดดังนั้นก่อนเก็บงำอารมณ์แล้วเอ่ยกับหญิงชุดแดงว่า “เชิญแม่นางไปกับพว วกเราด้วย”
เฟิ่งจิ่วหยักยิ้มมุมปาก ก่อนเผยรอยยิ้มจางๆ “นำทาง”
ทหารชะงักไปเล็กน้อย ตอนแรกนึกว่าต้องใช้กำลังบังคับ นึกไม่ถึงหญิงชุดแดงจะรู้สถานการณ์ขนาดนี้ ก็จริง รู้สถานการณ์จึงจะไม่ได้ต้องลำบาก
ด้วยเหตุนี้ ทหารกลุ่มหนึ่งจึงนำทางอยู่ข้างหน้า ส่วนอีกกลุ่มเดินรั้งท้าย เพื่อไม่ให้ผู้ฝึกตนหญิงชุดแดงบนหลังม้าหลบหนี พวกเขาพาตัวนางไปส่งที่จวนเจ้าเมืองแบบกึ่งคุ้มกันกึ่งบ บังคับ
เฟิ่งจิ่วขี่ม้าตามไปอย่างผ่อนคลายตลอดทาง ชมทิวทัศน์ในเมือง ขณะกำลังจะถึงจวนเจ้าเมือง นางถามขึ้นว่า “ได้ยินว่าเจ้าเมืองของที่นี่กำลังซ่อมแซมตำหนัก”
หัวหน้าทหารมองนางแวบหนึ่ง ก่อนตอบว่า “ใช่แล้ว”
“ไม่ทราบว่าในอาคารที่ซ่อมแซมอยู่ที่ใด” เฟิ่งจิ่วถาม ขณะที่สายตาจับจ้องไปยังจวนเจ้าเมืองด้านหน้า
“อยู่ในจวนเจ้าเมือง แม่นางเข้าไปก็จะเห็นเอง” ทหารคนนั้นตอบ เขาพาเฟิ่งจิ่วเดินผ่านประตูหลัก ตอนมาถึงประตูข้าง เขาก็เดินเข้าไปก่อน “แม่นาง เชิญ”
เฟิ่งจิ่วยักคิ้ว “นึกไม่ถึงว่าเจ้าเมืองกลับต้อนรับแขกเช่นนี้ นี่คิดจะให้ข้าเข้าทางประตูข้างหรือ ช่างเสียมารยาทจริงๆ”
“ประตูหลักจะเปิดให้เฉพาะคนที่มีฐานะสูงส่ง ปกติประตูหลักมักจะไม่เปิด” ทหารคนนั้นอธิบาย
“เช่นนั้นหรือ” เฟิ่งจิ่วนั่งอยู่บนหลังเหล่าไป๋ ก่อนจะเอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า “ข้าจะเข้าทางประตูหลักเท่านั้น เจ้าไปรายงานเจ้าเมืองที ข้าจะรออยู่ข้างนอก”
“นี่…”
หัวหน้าทหารคนนั้นลังเลเล็กน้อย เขามองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปกำชับเหล่าทหารที่อยู่ข้างหลัง “ดูแลแม่นางท่านนี้ให้ดี!” พูดจบก็ส่งสายตาให้พวกเขา ก่อนจะรีบเข้าไปข้างใน
หลังจากรายงานเรื่องให้เจ้าเมืองที่อยู่ในจวนเจ้าเมืองทราบ อีกฝ่ายก็เอ่ยด้วยความประหลาดใจ “มีเรื่องอย่างนี้ด้วยหรือ”
“ขอรับ แม่นางคนนั้นรออยู่ข้างนอกไม่ยอมเข้ามา บอกว่าจะไม่เข้าทางประตูข้าง จะเข้าทางประตูหลักเท่านั้น” ทหารก้มหน้ารายงาน
“หึๆ น่าสนใจ ข้ากลับอยากเห็นนัก ว่านางมีคุณสมบัติมากพอที่จะให้ข้าเชิญนางเข้ามาทางประตูหลักหรือไม่” เขาเอ่ยขณะเดินเอามือไพล่หลังออกไป
………………………………….
ตอนที่ 2814 เอ่ยปาก
เมื่อมาถึงข้างนอก ยามได้เห็นหญิงสาวในชุดสีแดงสะดุดตาบนหลังม้าสีขาว เขาหรี่ตาเล็กลง จ้องนางอย่างพินิจพิจารณา หญิงสาวคนนั้นเอียงหน้าเล็กน้อย ทำให้มองไม่เห็นรูปโฉมของนาง ทว ว่าเรือนร่างโค้งเว้าของนางช่างน่าหลงใหลยิ่งนัก
โดยเฉพาะม้าขาวและชุดสีแดงนั่น ยิ่งทำให้ดูโดดเด่นสะดุดตายิ่งขึ้น บางทีอาจเพราะรู้สึกได้ถึงสายตาของเขา หญิงสาวนางนั้นพลันหันหน้ามองมา มองเขาจากบนหลังม้าที่อยู่สูงกว่า ยาม เห็นหน้านาง แม้แต่เขาที่เคยพบเห็นหญิงงามมามากมายก็ยังอดสูดหายใจไม่ได้ หัวใจเต้นโครมคราม รู้สึกว่าหน้าตาของหญิงชุดแดงตรงหน้าช่างงดงามเหมือนเทพเซียน…
เฟิ่งจิ่วจ้องพิจารณาคนตรงหน้า เห็นว่าเป็นชายวัยกลางคนคนหนึ่ง สวมชุดผ้าไหม อ้วนลงพุงเล็กน้อย ดวงตาหรี่เล็กสะท้อนแววโง่เขลาเบาปัญญา เวลานี้เขากำลังจ้องพิจารณานางอยู่เช่นกัน น
นางขมวดคิ้วเล็กน้อยจนแทบสังเกตไม่เห็น คนอย่างนี้น่ะหรือเป็นเจ้าเมืองของที่นี่?
“หึๆ แม่นาง เชิญ เชิญเข้ามาเร็ว” เขาผายมือ สั่งให้คนเปิดประตูใหญ่
เฟิ่งจิ่วขี่ม้าขาวเข้าไปในจวนเจ้าเมือง นางไม่ได้ลงจากม้า เพียงสังเกตสภาพแวดล้อมรอบๆ จากบนหลังม้า หลังจากเข้าไปข้างใน จึงเห็นอาคารที่กำลังซ่อมแซมอยู่ ยังคงมีเพียงแค่โครงสร้าง ง ขนาดสูงกว่าอาคารอื่นๆ เล็กน้อย
สายตาของเฟิ่งจิ่วจับจ้องไปยังอาคารที่กำลังซ่อมแซม เจ้าเมืองถามยิ้มๆ “แม่นางสนใจทางนั้นหรือ ข้าพาแม่นางไปดูดีหรือไม่” เขาก็เดินไปทางนั้นพลางเอ่ยขึ้นอีกว่า “ที่นั่นเป็นอาค คารที่ผู้แซ่ห่าวกำลังซ่อมแซม ตั้งใจว่าหากสร้างเสร็จแล้วจะย้ายไปอยู่ที่นั่น”
เขาแนะนำ พลางยิ้มถามเฟิ่งจิ่วว่า “ยังไม่ทราบชื่อแซ่ของแม่นางเลย”
เฟิ่งจิ่วเหลือบมองเขาแวบหนึ่ง เอ่ยว่า “เจ้าเมืองห่าวเรียกข้าว่าภูตหมอก็ได้”
“เจ้าเมืองตะลึง “ภูตหมอ?” ขณะกำลังจะถามว่าเหตุใดจึงชื่อภูตหมอ ก็เห็นม้าสีขาวเร่งฝีเท้าเดินไปข้างหน้าก่อน
เมื่อเข้าไปใกล้ เฟิ่งจิ่วมองสถานที่แห่งนั้น กลุ่มชายฉกรรจ์ที่สวมใส่เสื้อผ้าขาดๆ กำลังทำงานแบกหามอยู่ทางนั้น คนพวกนั้นล้วนเป็นชายฉกรรจ์อายุประมาณยี่สิบถึงสี่ห้าสิบปี ไม่รู้ ว่ากินไม่อิ่มหรืออย่างไร แต่ละคนดูค่อนข้างผอมแห้ง
มีหญิงวัยกลางคนเดินออกมาจากข้างในหนึ่งคน นางยื่นน้ำให้แก่ชายฉกรรจ์คนหนึ่งดื่ม ครั้นเห็นเจ้าเมืองและเฟิ่งจิ่วอยู่ที่นี่ ก็รีบก้มหน้าแล้วเดินออกไปทันที
“หึๆ ภูตหมอ ที่นี่ยังสร้างไม่เสร็จ ที่จริงไม่มีอะไรน่าดู ไม่สู้พวกเราไปนั่งในห้องโถงด้านหน้าดีกว่า ข้าจะให้คนเตรียมสุราอาหารให้ ต้อนรับเจ้าอย่างดี” เจ้าเมืองห่าวเอ่ย ก่อนจ จะผายมือเชิญเฟิ่งจิ่ว
เฟิ่งจิ่วกระโดดลงจากหลังม้า ก่อนเอ่ยกับเหล่าไป๋ว่า “เจ้าเดินเล่นแถวๆ นี้ไป อย่าวิ่งเพ่นพ่าน”
เหล่าไป๋พ่นลมออกจากจมูกสองข้าง ยืนอยู่ด้านหนึ่ง มองนายท่านของมันเดินไปกับเจ้าเมืองห่าว หลังจากที่พวกเขาเดินออกไปไกล เหล่าไป๋หันไปมองคนเหล่านั้นที่กำลังทำงานอยู่แวบหนึ่ ง ก่อนจะเข้าไปเดินเล่นบริเวณนั้น
จู่ๆ ก็มีม้าตัวหนึ่งปรากฏขึ้น คนเหล่านั้นมองหน้ากัน ต่างก็หลีกทางให้ไม่กล้าเผชิญหน้า
เหล่าไป๋เห็นอย่างนั้นก็ส่ายหาง มันมองคนที่อยู่ที่นี่ ก่อนถามขึ้นว่า “ที่นี่มีคนจากหมู่บ้านประมงหรือไม่”
มันไม่พูดยังไม่เท่าไร ครั้นพอพูดก็ทำเอาคนเหล่านั้นสะดุ้งตกใจ แต่ก็ยังมีคนใจกล้าเดินเข้ามา “จะ..เจ้าพูดเป็นได้อย่างไร”
“ข้าเป็นสัตว์วิญญาณ ข้าพูดได้อยู่แล้ว” เหล่าไป๋เหล่มองคนพวกนั้นแวบหนึ่ง ก่อนถามอีกว่า “ที่นี่มีคนของหมู่บ้านประมงหรือไม่”
พอได้ยินมันถามขึ้นอีกครั้ง ทุกคนต่างก็ตะลึงเล็กน้อย