เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2891 กำราบ / ตอนที่ 2892 ไม่มีปัญหา
ตอนที่ 2891 กำราบ
เซวียนหยวนโม่เจ๋อสีหน้าดำทะมึน หากไม่ใช่เห็นว่านางเป็นหญิง อีกทั้งยังเป็นพี่สาวร่วมสาบานของอาจิ่ว เขาจะต้องตัดมือที่ลูบคลำอย่างส่งเดชคู่นั้นออกมาอย่างแน่นอน
“พี่สาว รักษาภาพพจน์หน่อย” เฟิ่งจิ่วดึงมือของนางลงอย่างหมดคำจะพูด
“ก็จริง” หวันเหยียนเชียนหวายกมือปิดปากยิ้มๆ นางมองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่ง ก่อนจะหันไปพิจารณาเซวียนหยวนโม่เจ๋อ จากนั้นก็ละสายตาออกไป มองผู้อาวุโสสองคนนั้น
“ผู้อาวุโสซื่อเชวีย ผู้อาวุโสมู่ซิน เฟิ่งจิ่วเป็นน้องสาวของข้า พวกท่านอย่ารังแกนาง ไม่เช่นนั้น คิกๆๆ…” นัยน์ตางามของนางกลอกกลิ้ง แววตาสุกใสซุกซนเจ้าเล่ห์ นิ้วมือเรียวงามม้วน ปอยผมเล่น ก่อนจะเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบนาบ “ข้าจะโกรธเอานะ”
ได้ยินดังนั้น กอปรกับเห็นสีหน้าของหวันเหยียนเชียนหวา สองผู้อาวุโสต่างก็รู้สึกขนลุกขึ้นมาทันที นางปีศาจนี่ยิ้มอย่างนี้ดูก็รู้แล้วว่าไม่ใช่เรื่องดีแน่ๆ นึกถึงครั้งแรกที่ นางมาถึงที่นี่ ทุกคืนจะถือธงผีเก็บผีบ้างปล่อยผีบ้าง เสียงโหยหวนของผีพวกนั้นยังชัดเจนเหมือนเพิ่งเกิดขึ้นเมื่อวาน
เฟิ่งจิ่วที่ยืนอยู่ด้านหนึ่งมองหวันเหยียนเชียนหวาด้วยแววตาตื่นเต้นเป็นประกาย ดูเอาเถิดๆๆ นี่ก็คือพี่สาวร่วมสาบานของนาง ไม่นึกเลยว่าจะกล้าข่มขู่คนระดับผู้อาวุโสด้วย ไม ม่เสียแรงที่เป็นพี่สาวของนางจริงๆ!
“โธ่เอ๋ย เชียนหวา ที่แท้ก็เป็นน้องสาวของเจ้าเองหรือ”
ผู้อาวุโสหญิงงามได้ยินก็ยิ้มจนตาเล็กหยี “อย่างนั้นก็เท่ากับเป็นครอบครัวเดียวกันน่ะสิ เฟิ่งจิ่ว เจ้าว่าใช่หรือไม่ พี่สาวเจ้าคารวะข้าเป็นอาจารย์แล้ว เจ้าก็มาด้วยกันเถอะ!”
“เสี่ยวจิ่วเอ๋อร์ ท่านผู้นี้คืออาจารย์ของข้า ผู้อาวุโสเสวี่ยอวี้” หวันเหยียนเชียนหวาแนะนำ
“เฟิ่งจิ่วคารวะท่านผู้อาวุโสเสวี่ยอวี้” นางคารวะอย่างนอบน้อมหนึ่งครั้ง นั่นย่อมเป็นเพราะเห็นแก่หน้าพี่สาวของนาง
“ล้วนเป็นครอบครัวเดียวกัน ไม่ต้องมากพิธี เจ้าถามพี่สาวของเจ้าก็จะรู้เอง ข้าดีกับพวกนางแต่ละคนเหมือนน้องสาวแท้ๆ ของข้า” นางปิดปากยิ้ม ดวงตางดงามจับจ้องไปที่เฟิ่งจิ่ว
เฟิ่งจิ่วได้ยินก็เพียงยิ้มน้อยๆ ก่อนจะหันไปเอ่ยกับหวันเหยียนเชียนหวา “ท่านพี่ ข้าเพิ่งมาถึงที่นี่ รอพวกข้าลงหลักปักฐานได้เมื่อใด ค่อยมาหาท่านก็แล้วกัน!”
“ไปพักกับข้าสักสองวันเถอะ! จากนั้นข้าค่อยลงเขาไปพร้อมกับพวกเจ้า” หวันเหยียนเชียนหวาเสนอ
“ก่อนหน้านั้น ควรประลองกับพวกข้าก่อนหรือไม่” อาวุโสซื่อเชวียเอ่ยขึ้นอีกครั้ง เขามองเฟิ่งจิ่วกับเซวียนหยวนโม่เจ๋อ ก่อนเอ่ยอีกว่า “บันไดสู่แดนเซียนปรากฏเพียงปีละครั้ง เป็น นผู้อาวุโสหลิงมู่กับเสวี่ยอวี้แนะนำให้เปิดไว้ตลอด ตอนนี้พวกเจ้าข้ามมาฝั่งนี้ได้ ก็เป็นเพราะมีวาสนาต่อสำนักของเรา แต่พวกเจ้าก็ทำผู้อาวุโสของพวกเราบาดเจ็บ หากพวกเจ้ากราบเ เป็นศิษย์สำนักของเราก็เป็นอีกเรื่องหนึ่ง หาไม่แล้ว พวกข้าคงปล่อยพวกเจ้าไปเฉยๆ ไม่ได้ ไม่อย่างนั้นสำนักของเราจะเอาหน้าไว้ที่ไหน”
เขามองทั้งสอง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม “การประลองในวันนี้ แม้พวกเจ้าสองคนไม่อยากรับก็ต้องรับ”
“ผู้อาวุโสซื่อเชวียจะบีบคั้นพวกเขาด้วยวิธีนี้หรือ” หวันเหยียนเชียนหวาสีหน้าเย็นชาทันใด บรรยากาศรอบข้างเย็นยะเยือกอย่างบอกไม่ถูก ทำให้คนรอบข้างต่างขนลุกขึ้นมาอย่างไม่อาจคว วบคุมได้
ผู้อาวุโสเสวี่ยอวี้เห็นอย่างนั้นกลับไม่พูดอะไร นางย่อมรู้ดีว่าเหตุใดพวกเขาจึงบีบคั้นทุกย่างก้าวเช่นนี้ เซวียนหยวนโม่เจ๋อกับเฟิ่งจิ่วเพิ่งมาถึงที่นี่ก็ต่อสู้กับผู้อาวุโสคนนั้ น แสดงให้เห็นถึงวรยุทธ์และพรสวรรค์ที่ไม่ธรรมดา ผู้ฝึกตนจากโลกเบื้องล่างสองคนเอาชนะผู้อาวุโสในสำนักเซียนได้ หากเป็นศิษย์ในสำนักก็เป็นเรื่องหนึ่ง แต่พวกเขากลับไม่ใช่
………………………………….
ตอนที่ 2892 ไม่มีปัญหา
ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ คนในสำนักย่อมอยากดึงทั้งสองเอาไว้เป็นพวก แต่กลับจนใจที่ไม่มีวิธีทำให้พวกเขายอมเข้ามาเป็นศิษย์ในสำนัก พวกเขาจึงอยากฉวยโอกาสนี้ใช้พลังกำราบ ทำให้เซวีย ยนหยวนโม่เจ๋อกับเฟิ่งจิ่วรู้ว่าเหนือฟ้ายังมีฟ้า เหนือยอดคนยังมียอดคน แม้วรยุทธ์ของพวกเขาจะแข็งแกร่งอีกสักแค่ไหน ก็สู้เหล่าผู้อาวุโสจากสำนักเซียนไม่ได้
หากไม่ดึงทั้งสองมาเป็นพวก สำนักเซียนของพวกเขาจะต้องเสื่อมเสียชื่อเสียงเพราะการประลองเมื่อครู่อย่างแน่นอน ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงบีบคั้นทุกย่างก้าว คิดจะทำให้อีกฝ่ายรับคำท้า
ทว่า จะว่าไปแล้วการท้าประลองนี้กลับไม่ยุติธรรม เซวียนหยวนโม่เจ๋อสามารถเอาชนะผู้อาวุโสคนนั้นได้ แต่กลับไม่แน่ว่าจะเอาชนะศิษย์พี่ซื่อเชวียได้ อีกทั้งแม้ว่าจะมีโอกาสชนะอยู่ น้อยนิด แม่หนูเฟิ่งจิ่วนั่นก็เกรงกว่าเอาชนะได้เพียงศิษย์พี่มู่ซินเท่านั้น ต้องรู้ก่อนว่าสองคนนี้เป็นผู้แข็งแกร่งที่มีวรยุทธ์สูงสุดในบรรดาผู้อาวุโสรุ่นนี้
พูดมาถึงตรงนี้ ท่านเซียนในสำนักต่างก็ไม่ได้เอ่ยห้าม เห็นได้ชัดว่ายอมรับในการกระทำของพวกเขา ภายใต้การปิดปากเงียบเช่นนี้ แม้แต่หวันเหยียนเชียนหวาก็ไม่อาจขัดขวางได้
เซวียนหยวนโม่เจ๋อที่เงียบมาตลอดตวัดนัยน์ตาลึกล้ำมองไปยังสองคนนั้น ตั้งแต่ที่พวกเขาท้าประลอง เขาก็ลอบพิจารณาอีกฝ่ายแล้ว หลังประเมินดูกลับพบว่าสามารถลองดูได้สักตั้ง
อีกทั้งเขายังรู้ด้วยว่าหากเขากับอาจิ่วเอาชนะสองคนนั้นในการประลองนี้ได้ ไม่เพียงจะทำให้มีชื่อเสียงเลื่องลือในสี่สำนัก แต่จะยังสร้างคลื่นลมลูกใหญ่ได้อีกด้วย
นึกถึงผลประโยชน์ที่จะได้รับ เขาหันไปมองเฟิ่งจิ่วแวบหนึ่งก่อนเอ่ยว่า “อาจิ่ว ในเมื่อพวกเขาอยากสู้กับพวกเรานัก พวกเรารับคำท้าเป็นอย่างไร”
เฟิ่งจิ่วหันไปมองสองคนนั้น ครุ่นคิดเล็กน้อยก่อนยิ้มบอกว่า “อยากสู้กับพวกเราไม่ยากหรอก เพียงแต่ อย่างไรเสียก็ต้องมีข้อตกลงกันก่อน ไม่อย่างนั้นใครจะรู้เล่าว่าประลองครั้งนี้ จบแล้วพวกท่านจะมาไม้ไหนอีก”
“พวกเราพูดคำไหนคำนั้น โดยเฉพาะต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ มีหรือจะกลับคำ!” ผู้อาวุโสซื่อเชวียเอ่ยด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึม คล้ายไม่พอใจกับการตั้งคำถามของเฟิ่งจิ่วเป็นอย่างมาก
เฟิ่งจิ่วชำเลืองมองแวบหนึ่ง ก่อนเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบๆ “ใครจะเชื่อ!”
“เจ้า!”
เขาถลึงตามองด้วยความโมโห เขาเป็นถึงผู้อาวุโส มีหรือจะผิดคำพูด? เฟิ่งจิ่วผู้นี้ช่างน่าโมโหนัก!
“ในเมื่อจะสู้ อย่างนั้นก็ต้องให้ฟ้าดินเป็นพยาน พวกเราถึงจะยอมสู้กับพวกท่าน ไม่อย่างนั้นก็ไม่ต้องมาพูดกัน” นางยิ้มจนตาหยักโค้ง แววตาเจ้าเล่ห์พาดผ่านดวงตา
“ได้! ข้า…” ผู้อาวุโสซื่อเชวียเอ่ย แต่เฟิ่งจิ่วกลับขัดขึ้นมาก่อน
“ช้าก่อน” เฟิ่งจิ่วพูดแทรก ก่อนเอ่ยว่า “หากพวกเราแพ้ ต้องคารวะท่านเป็นอาจารย์ แต่ขณะเดียวกัน หากพวกท่านแพ้ ก็ต้องคารวะพวกข้าเป็นอาจารย์”
“นะ…นะ…นี่มันช่างเพ้อเจ้อไร้สาระ!”
ผู้อาวุโสซื่อเชวียกับผู้อาวุโสมู่ซินถลึงตาด้วยความตกตะลึง สะบัดแขนเสื้ออย่างเดือดดาล พวกเขาเป็นถึงผู้อาวุโส กลับจะให้คารวะเด็กสองคนนี้เป็นอาจารย์? จะเป็นไปได้อย่างไร! หากลื อออกไปผู้คนจะหัวเราะเยาะขนาดไหน
“เพ้อเจ้อ?” เฟิ่งจิ่วยักคิ้ว ก่อนถามว่า “เห็นๆ อยู่ว่าเป็นเรื่องที่ยุติธรรม จะบอกว่าเพ้อเจ้อได้อย่างไร อีกอย่างนี่ก็ยังไม่ได้ประลองไม่ใช่หรือ? แค่นี้ก็กลัวเสียแล้ว ในเมื่อเ เป็นเช่นนี้ยังจะมาประลองอะไรกับพวกเราอีก ปล่อยให้พวกเราไปก็จบแล้วไม่ใช่หรือ”
“จะ…เจ้า!”
ผู้อาวุโสนิสัยเถรตรงสองคนถูกนางทำให้โมโหจนควันออกหู แต่กลับหาคำพูดมาโต้เถียงนางไม่ได้ จะสู้ก็ต้องทำเหมือนกัน แพ้ก็ต้องคารวะอีกฝ่ายเป็นอาจารย์ ไม่อย่างนั้นก็ต้องปล่อยให ห้พวกเขาไป ประโยคนี้ฟังดูไม่มีปัญหา แต่เหตุใดพวกเขาจึงรู้สึกตะขิดตะขวงใจนักเล่า?