เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2895 ตื่นตะลึง / ตอนที่ 2896 สะบักสะบอม
ตอนที่ 2895 ตื่นตะลึง
สองคนนี้ล้วนเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเซียนสวรรค์หรือ จะเป็นไปได้อย่างไร! ทั้งที่เซวียนหยวนโม่เจ๋อแสดงวรยุทธ์ระดับเซียนสวรรค์ออกมาไม่ผิดแน่ แต่ว่า นั่นไม่ใช่วรยุทธ์ระดับเซียนสวร รรค์ อีกทั้งเฟิ่งจิ่วตอนที่พวกเขาสังเกตก่อนหน้านี้ วรยุทธ์ของนางอยู่แค่ระดับจักรพรรดิเซียนขั้นสูงสุดแท้ๆ เหตุใด…เหตุใดตอนนี้จึงเปลี่ยนไปได้เล่า…
ชั่วขณะนั้น ความคิดหนึ่งผุดขึ้นมาในหัว ทำให้พวกเขาต้องสูดหายใจโดยไม่รู้ตัว
พวกเขาซ่อนวรยุทธ์เอาไว้!
ไม่นึกเลยว่าพวกเขาสองคนจะซ่อนวรยุทธ์เอาไว้! อีกทั้งยังซ่อนวรยุทธ์ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ด้วย แม้แต่พวกตนที่พิจารณาซ้ำแล้วซ้ำเล่า กลับยังมองวรยุทธ์ของพวกเขาไม่ออก! การปิดบ บังอันน่ากลัวนี้ทำให้หัวใจของพวกเขาสะท้านสะเทือน
ก่อนหน้านี้คิดว่าสองผู้อาวุโสอย่างไรก็ต้องชนะแน่นอน เวลานี้กลับรู้สึกสังหรณ์ใจขึ้นมาเสียแล้ว โดยเฉพาะยิ่งเซวียนหยวนโม่เจ๋อกับเฟิ่งจิ่วเสนอว่าให้พวกเขาเอ่ยคำสาบานต่อหน้าฟ้าด ดินอย่างไม่เกรงกลัวสักนิด มาคิดดูตอนนี้แล้ว ราวกับว่าพวกเขาได้ขุดหลุมรอให้ผู้อาวุโสสองคนนั้นกระโดดลงไป
วรยุทธ์ของผู้อาวุโสทั้งสองคนอยู่ในระดับเซียนสวรรค์ เช่นเดียวกับสองคนนั้น ตามหลักแล้ววรยุทธ์ของสองผู้อาวุโสหยุดนิ่งอยู่ในระดับเซียนสวรรค์มานานหลายปีแล้ว แม้ว่าจะเป็นวรยุทธ ธ์ระดับเดียวกัน เดาว่าก็คงยากจะมีใครเทียบเคียงพวกเขาได้ แต่ตอนนี้พวกเขากลับเริ่มไม่มั่นใจเสียแล้วเมื่อเห็นแววตาที่สะท้อนถึงความมั่นใจของเซวียนหยวนโม่เจ๋อและเฟิ่งจิ่ว
ทั้งสองไม่ได้ซ่อนพลังไว้อีก แรงกดดันและกลิ่นอายอันทรงอานุภาพพวยพุ่ง หนึ่งดำหนึ่งขาว ราศีของพวกเขาเหมือนกันปานนั้น ราวกับเทพเซียนลงมาเยือนโลกมนุษย์ สะท้านสะเทือนไปทั่วทั้ง งแปดทิศ!
นาทีนี้ พวกเขาต่างจิตใจสับสน การประลองครั้งนี้ พวกเขาจะเสียผู้อาวุโสสองคนไปหรือ? หรือจะได้บุคคลที่ล้ำค่ามาเพิ่มอีกสองคน?
“พวกเจ้าเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเซียนสวรรค์ขั้นสูงสุดหรือ”
ซื่อเชวียกับมู่ซินเองก็เบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง เจ้าวิปริตสองคนนี้! พวกเขายังอายุเท่าไรกันเอง? ไม่นึกเลยว่าจะฝึกวรยุทธ์ถึงระดับเซียนสวรรค์แล้ว? ต้องบอกก่อนว่าแม้จะเข้า าสู่ระดับเซียนสวรรค์แล้ว บางคนแม้จะใช้เวลาฝึกตนถึงห้าสิบปีหรือแม้กระทั่งหนึ่งร้อยปีก็ยังไปไม่ถึงระดับเซียนสวรรค์ขั้นสูงสุด แต่เจ้าสองคนนี้กลับ…กลับเป็นผู้แข็งแกร่งระดับเซียน นสวรรค์ขั้นสูงสุดแล้ว!
ไม่น่าเล่าพวกเขาถึงกล้ารับคำท้าประลอง ที่แท้ก็มีไพ่ตายเช่นนี้ซ่อนอยู่นี่เอง แต่แม้พวกเขาจะเป็นผู้ฝึกตนระดับเซียนสวรรค์ขั้นสูงสุด ก็เกรงว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสจากสำ ำนักเซียนอย่างพวกเขาสองคน!
เฟิ่งจิ่วยิ้มตาหยีมองพวกเขา ก่อนเอ่ยอย่างไม่ยี่หระว่า “ช่างไม่บังเอิญเสียเลย ช่วงก่อนเพิ่งจะทะลวงขั้นพลัง หาคู่ฝึกซ้อมไม่ได้เสียที วันนี้โชคดีไม่เบาเลยนะนี่!”
สองผู้อาวุโสได้ยินคำพูดของนางก็มุมปากกระตุก นี่คิดจะเอาพวกเขาเป็นคู่ซ้อม? เฟิ่งจิ่วคนนี้ปากกล้าไม่เบาเลยจริงๆ
“อย่างนั้นพวกข้าก็ขอดูหน่อยแล้วกันว่าเจ้าเก่งกาจขนาดไหน!” ผู้อาวุโสมู่ซินว่า พูดจบเงาร่างของเขาก็หมุนคว้างไปข้างหน้าราวกับพายุคลั่ง บรรดาศิษย์จากสี่สำนักเห็นเพียงพายุคล ลั่งลูกหนึ่งพัดเอาแรงกดดันที่สามารถมองเห็นได้ด้วยตาเปล่าพุ่งออกไป พวกเขาไม่เห็นกระทั่งเงาร่างของผู้อาวุโสมู่ซิน ยิ่งไม่ต้องพูดถึงกระบวนท่าของเขาเลย
แต่ทว่า เฟิ่งจิ่วที่ยืนอยู่ตรงนั้นกลับหรี่ตาจ้องไปข้างหน้า นางมองทะลุพายุคลั่งลูกนั้นไปยังมู่ซินที่อยู่ตรงจุดใจกลาง ก่อนจะหันไปบอกเซวียนหยวนโม่เจ๋อ “ข้าขอยืดเส้นยืดสายก่อน น”
พูดจบ เงาร่างสีแดงสะดุดตาไหวออกไปราวกับลูกไฟ ขณะที่นางโฉบตัวออกไป กลางฝ่ามือสองข้างมีไฟสองลูกปรากฏ ลูกไฟนั่นกลายเป็นกระแสพลังอยู่ใจกลางฝ่ามือของนางก่อนจะซัดออกไปทางผู้อา าวุโสมู่ซิน ความเร็วดุจสายฟ้าผ่าทำให้ผู้คนหลบเลี่ยงไม่ทัน
………………………………….
ตอนที่ 2896 สะบักสะบอม
ผู้อาวุโสมู่ซินไม่ได้คิดจะหลบ เขามองกระแสพลังของลูกไฟสองลูกนั้นในมือเฟิ่งจิ่วที่พุ่งเข้ามาราวกับสัตว์ร้ายสองตัว เขาพลิกฝ่ามือ กระแสพลังสองสายกลายเป็นหมาป่าสองตัวที่อ้า าปากและกระโจนออกไป ราวกับต้องการจะกลืนกินเปลวไฟของนาง
“หมัดพายุหมาป่า!”
ผู้อาวุโสมู่ซินคำราม น้ำเสียงดุดันน่าเกรงขามทำให้เลือดลมในร่างกายของผู้ชมด้านล่างเวทีปั่นป่วน
เซียนสี่ท่านที่อยู่บนเวทีกลั้นหายใจมองพวกเขาสองคน ขณะเดียวกัน เซวียนหยวนโม่เจ๋อกับซื่อเชวียยังไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด พวกเขาเองก็กำลังดูเฟิ่งจิ่วกับมู่ซินต่อสู้กันอยู่
พวกเขาอยากรู้ว่าพลังต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายอยู่ในระดับใดกันแน่ แม้ซื่อเชวียจะคิดว่าเฟิ่งจิ่วกับเซวียนหยวนโม่เจ๋อไม่มีทางเอาชนะพวกเขาได้ แต่หลังจากเห็นพลังของสองคนนี้ ก็ให ห้รู้สึกแปลกใจและเริ่มระวังตัวขึ้นมาบ้าง
ทว่าบนเวทีในเวลานี้ ผู้อาวุโสมู่ซินใช้พลังถึงเจ็ดส่วนในการโจมตีนี้ แม้แต่เขาเอง หากจะตั้งรับก็เกรงว่าจะไม่ง่าย ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเฟิ่งจิ่วเลย
ด้วยเหตุนี้ เขาคิดว่าการโจมตีครั้งนี้ เฟิ่งจิ่วอาจถูกกระแทกจนตกเวที หากเป็นอย่างนั้นแพ้ชนะย่อมตัดสินกันได้อย่างชัดเจน
แต่ใครจะรู้ พริบตาต่อมา เหตุการณ์หลังจากนั้นทำให้เขาตกใจจนแทบกระโดดโหยง
ยามที่สัตว์ร้ายสองตัวซึ่งเกิดจากเปลวไฟของเฟิ่งจิ่วปะทะกับหมาป่าพายุของมู่ซิน กระแสพลังสองขุมพุ่งชนกัน เกิดเป็นกระแสลมแรงและแรงกดดัน เสียงลมและเสียงเปลวไฟดังสนั่น ราวกับ บเสียงคำรามของมังกรคลั่งที่ชวนอกสั่นขวัญหาย
เขามองพายุหมาป่ากลืนกินเปลวไฟในคำเดียวจากนั้นก็โถมกระโจนใส่เฟิ่งจิ่ว แต่ใครจะรู้ว่าในพริบตาต่อมา หมาป่าพายุสองตัวกลับถูกเปลวไฟแผ่ปกคลุม จากสองรวมกันกลายเป็นหมาป่าเพลิง งหนึ่งตัว ก่อนจะหันเปลี่ยนทิศพุ่งใส่มู่ซินแทน
“ซี๊ด! เป็นไปไม่ได้!”
มู่ซินตกตะลึง เขาคิดจะถอยหลัง แต่แม้เขาจะถอยด้วยความเร็วแค่ไหน ก็ยังเร็วสู้หมาป่าเพลิงที่เกิดจากกระแสพลังสองขุมรวมตัวกันไม่ได้ เปลวเพลิงนั่นพุ่งเข้ามาใส่เขาแทบจะในชั่วพริ บตา
ในช่วงเวลานั้นเอง ร่างกายของเขามีพายุคลั่งลูกหนึ่งห่อหุ้มคุ้มกันเอาไว้ และพยายามที่จะทำให้หมาป่าเพลิงที่กระโจนเข้ามากลายเป็นเถ้าถ่าน แต่ทว่า พายุคลั่งที่ห่อหุ้มรอบกายเขาท ทำได้เพียงรักษาชีวิตของเขาในชั่วอึดใจนั้น และลดความรุนแรงของการโจมตีครั้งนี้ให้เบาลงเท่านั้น
“วืด! วืด!”
พลังและเปลวเพลิงอันแข็งแกร่งโจมตีเข้ามา พุ่งทะลุผ่านพายุคลั่งลูกนั้นก่อนจะกระแทกร่างของมู่ซินอย่างเต็มแรง เปลวเพลิงขยายใหญ่ขึ้นก่อนลุกไหม้ที่ชายเสื้อคลุมของเขา แรงกระแทก กของพลังนั่นทำให้ร่างของเขากระเด็นถอยหลังไปหลายจั้ง
“ซี๊ด! อ๊าก! ร้อนจะตายแล้ว!”
มู่ซินร้องตกใจ เขารีบดับไฟแต่กลับพบว่าไม่สามารถทำได้ จึงตัดสินใจถอดเสื้อคลุมออกทันที ก่อนจะปัดไฟบนตัวออก แต่ถึงอย่างนั้นขนคิ้วของเขาก็ยังถูกเผาไหม้ ใบหน้าน่าเกรงขามเวลานี กลับดำมอมแมม สภาพสะบักสะบอมไม่น้อย ผู้ชมเบื้องล่างต่างก็ตะลึงตาค้างไปตามๆ กัน
“ปะ…เป็นไปได้อย่างไร?”
เพียงกระบวนท่าเดียว ถึงขั้นทำให้ผู้อาวุโสมู่ซินตกอยู่ในสภาพสะบักสะบอมได้เช่นนี้? ทำเอาผู้อาวุโสมู่ซินที่ปกติมีบุคลิกเคร่งขรึมน่าเกรงขามเวลานี้กลับสวมแค่เสื้อด้านในสีขาวยืนอย ยู่บนเวที พร้อมทั้งยกมือลูบขนคิ้วและสำรวจเส้นผมตนเอง สภาพมอมแมมสะบักสะบอมนั่น ทำให้พวกเขาอดกลั้นขำไม่ได้
แต่พอเห็นสีหน้าดำทะมึนของเขา พร้อมทั้งคิดว่าหากหัวเราะออกมาในเวลานี้เขาจะต้องรู้สึกอัปยศมากเป็นแน่ จึงได้แต่กลั้นหัวเราะต่อไป และพยายามเบนสายตามองไปทางอื่น
ขณะเดียวกัน เซวียนหยวนโม่เจ๋อที่เห็นเหตุการณ์นั้นก็เพียงหยักยิ้มมุมปาก ละสายตาจากเฟิ่งจิ่ว ก่อนจะมองไปทางซื่อเชวีย