เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 2899 ถีบตกเวที / ตอนที่ 2900 คารวะอาจารย์
ตอนที่ 2899 ถีบตกเวที
เขาตะโกนพลางวิ่งไปทางซื่อเชวีย ท่าทางอันน่าขันนั่นทำเอาเหล่าผู้ชมเบื้องล่างต่างปากอ้าตาค้าง ดูเอาเถิด เสื้อผ้ายังไม่ทันจัดแจงให้เรียบร้อย ก็ออกวิ่งไปอย่างสะบักสะบอมแล้ว มีความน่าเกรงขามของผู้อาวุโสหลงเหลืออยู่ที่ไหนกัน?
ซื่อเชวียที่กำลังสู้กับเซวียนหยวนโม่เจ๋อได้ยินดังนั้นก็หันไปถลึงตาใส่เขาทันที “ข้ายังเอาตัวไม่รอด จะช่วยเจ้าได้อย่างไร!”
“พวกเราร่วมมือกัน! ทำให้เฟิ่งจิ่วลงจากเวทีให้ได้ก่อน ค่อยมาจัดการเซวียนหยวนโม่เจ๋อ!” มู่ซินเสนอ
“ความคิดนี้ไม่เลว” เฟิ่งจิ่วที่ไล่ตามหลังมายิ้มเอ่ย ก่อนมองมู่ซินแล้วบอกว่า “เตะท่านลงเวทีก่อน ค่อยจัดการซื่อเชวีย”
ซื่อเชวียได้ยินอย่างนั้น เขาใช้กระบี่คู่ในมือปะทะกับกระบี่เซวียนหยวนของเซวียนหยวนโม่เจ๋อ ก่อนจะรีบถอยหลัง ขณะเดียวกันก็ดึงมู่ซินมาข้างๆ จากนั้นก็หอบหายใจ มองสองคนที่ยืนอยู่ด้วยกันตรงหน้า เขามองกระบี่ในมือของเซวียนหยวนโม่เจ๋อ ก่อนจะหันไปมองเฟิ่งจิ่วต่อ “เฟิ่งจิ่ว เจ้า…” เขายังพูดไม่ทันจบ ก็ถูกเฟิ่งจิ่วตัดบทก่อนแล้ว
“ในฐานะลูกศิษย์ ไม่สามารถเรียกชื่ออาจารย์ตรงๆ ได้นะ” เฟิ่งจิ่วกลอกตา ก่อนจะหยักยิ้มมุมปาก มองทั้งสองคน “ไม่อย่างนั้น พวกข้าในฐานะอาจารย์ เห็นทีคงจะต้องสั่งสอนพวกท่านใหม่เสียแล้ว”
“จะ…เจ้า!”
ทั้งสองโกรธจนควันออกหู หากเป็นยามปกติ จะมีใครกล้าสามหาวยอกย้อนพวกเขาเช่นนี้กัน? พวกเขาเพียงแค่ปั้นหน้าขรึม บรรดาลูกศิษย์ใต้อาณัติก็ล้วนก้มหัวคารวะอย่างว่าง่ายแล้ว
แต่ตอนนี้ เฟิ่งจิ่วผู้ที่เพิ่งจะได้พบกันวันนี้ กลับทำให้พวกเขาโกรธไม่รู้ตั้งกี่หนแล้ว ที่น่าชังที่สุดก็คือพวกเขาสองคนไม่ถนัดต่อปากต่อคำ พอถูกนางว่าอย่างนี้ก็มักจะพูดไม่ออก ทำได้เพียงข่มไฟโทสะเอาไว้เต็มอก
มู่ซินที่มาอยู่ข้างซื่อเชวียหอบหายใจ หลังจากปรับอารมณ์ เขาจ้องหน้าเฟิ่งจิ่วก่อนพูดขึ้นว่า “เจ้าอย่าได้ย่ามใจนัก ข้ายังไม่ได้สู้กับเจ้าอย่างเต็มกำลัง อีกเดี๋ยวข้า…ทำไมจู่ๆ เจ้าก็ลงมือแล้วเล่า!”
เขาสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที หน้าตาดูลนลานแตกตื่น ยังพูดไม่ทันจบ เฟิ่งจิ่วที่เดิมทียืนอยู่ห่างจากเขาหลายจั้งก็พลันถือกระบี่พุ่งเข้ามา
พลังกระบี่อันดุดันพร้อมประกายแสงสีเขียว ปลายกระบี่แหลมมีเปลวไฟลุกไหม้ นั่นทำให้เขาอดกลืนน้ำลายไม่ได้ เขาที่เป็นถึงผู้อาวุโสกลับถูกเฟิ่งจิ่วทำให้หวาดกลัวเสียแล้ว หากลือกันออกไป เขาจะมีหน้าไปเจอใครที่ไหนอีก?
ตอนนี้เอง เขาดึงอาวุธและพุ่งออกไปเช่นกัน กระบี่สองเล่มปะทะกัน เสียงเคร้งดังขึ้นพร้อมกับสะเก็ดไฟที่สว่างวาบ ขณะเดียวกัน ซื่อเชวียเองก็พุ่งออกโจมตีเฟิ่งจิ่วด้วยกระบวนท่าอันดุดันเช่นกัน พวกเขาคิดจะทำให้เฟิ่งจิ่วลงจากเวทีก่อน แล้วค่อยหันมาจัดการเซวียนหยวนโม่เจ๋อต่อ
เห็นทั้งสองรุมโจมตีเฟิ่งจิ่ว เซวียนหยวนโม่เจ๋อแค่นเสียง เงาร่างสีดำพุ่งเข้าไปร่วมวงต่อสู้ ทั้งสี่คนสู้กันอยู่บนเวที เงาร่างและเงากระบี่พาดผ่านโฉบไหว พลังกระบี่มากมายพวยพุ่งอยู่บนเวที บ้างก็พุ่งไปทางผู้อาวุโสที่นั่งอยู่บนเวที บ้างก็พุ่งไปทางผู้ชมที่อยู่ข้างล่าง พวกเขาตกใจจนร้องออกมา เหงื่อเย็นอาบท่วมหัว
ขณะที่กำลังสู้กัน มู่ซินกับซื่อเชวียสัมผัสได้ถึงแรงกดดันอันแข็งแกร่งขุมหนึ่งพุ่งมาจากเซวียนหยวนโม่เจ๋อและเฟิ่งจิ่ว แผ่ปกคลุมมาทางพวกเขา แรงกดดันอันน่าพรั่นพรึงนั้นทำให้พวกเขาต่างหยุดชะงัก และเพียงชั่วขณะนั้นเอง พวกเขาก็ได้ยินเพียงเสียงกระแทกอย่างแรงดังขึ้น ก่อนที่พวกเขาทั้งสองคนจะถูกถีบตกลงจากเวที…
………………………………….
ตอนที่ 2900 คารวะอาจารย์
“บึ้มๆ!”
เสียงของหนักกระแทกพื้นดังขึ้นสองเสียง ตามมาด้วยเสียงโอดครวญ รวมถึงเสียงสูดปากของผู้คนรอบข้าง นอกเหนือจากนี้ก็มีเพียงความเงียบ ไม่มีใครพูดอะไร ได้แต่เบิกตามองผู้อาวุโสสองคนที่ถูกถีบตกเวทีในสภาพน่าอนาถ
นะ…นี่คือแพ้แล้วหรือ? พ่ายแพ้แล้ว? แพ้ให้กับผู้ฝึกตนสองคนที่มาจากโลกเบื้องล่าง? พวกเขาไม่ได้ดูผิดไปใช่หรือไม่?
ซื่อเชวียกับมู่ซินที่ถูกถีบตกเวทีลุกขึ้นยืนพร้อมกับกุมหน้าอกอย่างเจ็บปวด พวกเขามองเงาร่างหนึ่งดำหนึ่งแดงที่เดินลงมาจากเวที ชั่วขณะหนึ่งใบหน้าของทั้งสองร้อนผ่าวไปทั้งดวง
ไม่นึกเลยว่าพวกเขาจะแพ้แล้ว
ต่อหน้าคนมากมายขนาดนี้ พวกเขากลับพ่ายแพ้ให้กับสองคนนั้น
แม้จะเหลือเชื่อและยากจะทำใจยอมรับ แต่อย่างไรเสียสองคนนั้นก็ไม่ธรรมดาจริงๆ ไม่นานพวกเขาจึงสงบใจได้ พวกเขามองสองคนที่อยู่ตรงนั้น ก่อนจะคารวะอย่างนอบน้อมและเป็นทางการ
“ซื่อเชวีย”
“มู่ซิน”
“คารวะอาจารย์ทั้งสองท่าน ขอบคุณอาจารย์ที่ออมมือ”
แม้พวกเขาจะแพ้การประลอง แต่ไม่อาจเสียสัจจะได้ ในเมื่อแพ้แล้วก็ต้องทำตามคำสาบานก่อนหน้า อีกอย่างพวกเขาก็รู้ด้วยว่าการประลองเมื่อครู่ ทั้งสองได้ออมมือให้อย่างเห็นได้ชัด หาไม่แล้วเกรงว่าตอนนี้พวกเขาไม่ตายก็คงบาดเจ็บสาหัส
ผ่านการต่อสู้ครั้งนี้ พวกเขายอมรับในวรยุทธ์ของทั้งสองจากใจจริง การคารวะนี้ก็ย่อมมาจากความจริงใจด้วยเช่นกัน
เฟิ่งจิ่วยิ้มตาหยี หันไปมองเซวียนหยวนโม่เจ๋อแวบหนึ่ง ทั้งสองพูดขึ้นพร้อมกันว่า “ลุกขึ้นมาเถอะ!”
ทั้งสองเสียงนั้น หนึ่งทุ้มต่ำเย็นชา หนึ่งผ่อนคลายสบายใจ พวกเขาสองคนได้แต่ทอดถอนใจอยู่ภายใน ก่อนจะรับคำอย่างนอบน้อมแล้วลุกขึ้นยืน
เมื่อเห็นดังนั้น พวกผู้อาวุโสที่นั่งอยู่บนเวทีจึงได้สติกลับมา ผู้อาวุโสหลิงมู่หัวเราะเสียงดัง “นึกไม่ถึงเลย นึกไม่ถึงจริงๆ! ใช้เวลาเพียงแค่ไม่นาน สองในสี่ของพวกเราก็กลายเป็นลูกศิษย์ของเฟิ่งจิ่วเสียแล้ว ฮ่าๆๆๆ ใครใช้ให้พวกท่านเล่นสกปรก! คิดจะแย่งของของพวกข้า นี่แหละคือผลลัพธ์”
ผู้อาวุโสหลิงมู่ดูดีใจอย่างเห็นได้ชัด นี่เป็นผลลัพธ์ที่เขาไม่เคยคาดคิด
“หึๆๆ โชคดีที่ข้าไม่ได้ทำตามพวกท่าน” ผู้อาวุโสเสวี่ยอวี้ปิดปากยิ้มๆ นางเองก็ยืนดูด้วยความสนอกสนใจเช่นกัน เป็นอย่างไรเล่า เดิมทีตั้งใจจะชิงตัวเซวียนหยวนโม่เจ๋อกับเฟิ่งจิ่วไปเป็นลูกศิษย์ แต่ใครจะรู้ว่ากลับถูกพวกเขาสองคนรับไว้เป็นศิษย์แทน เดาว่าท่านเซียนทั้งหลายเองก็คงนึกไม่ถึงกระมัง?
นัยน์ตางามหันไปมองเซียนทั้งสี่ เห็นพวกเขาแต่ละคนมีสีหน้าตะลึงค้าง เห็นได้ชัดว่ายังไม่ได้สติ
หวันเหยียนเชียนหวาที่ยืนอยู่มุมหนึ่งข้างล่างเวทีเองก็ยิ้มกว้างเหมือนดอกไม้แย้มบาน นางชอบมาก พวกเขาไม่เพียงมีลูกศิษย์ที่แข็งแกร่งเพิ่มมามองคน ยังชนะเดิมพันได้ทรัพย์สินมามากมาย แล้วก็ได้ชื่อเสียงอันเลื่องลือในสี่สำนักมาครองด้วย
เวลานี้ เซียนผู้หนึ่งที่เป็นเจ้าภาพลุกขึ้นมา ก่อนเดินมาหยุดตรงหน้าเซวียนหยวนโม่เจ๋อและเฟิ่งจิ่ว กล่าวว่า “นี่สินะที่เขาเรียกว่าคลื่นลูกใหม่แซงคลื่นลูกเก่า ทั้งสองช่างน่าทึ่งยิ่งนัก”
“ท่านเซียนชมเกินไปแล้ว” เฟิ่งจิ่วเอ่ยรับ หันไปมองสองคนที่ยืนอยู่ข้างล่างเวที ก่อนพูดขึ้นว่า “ซื่อเชวีย มู่ซิน ยังไม่รีบไปเตรียมถ้ำไว้ให้อาจารย์พักผ่อนอีกหรือ”
สองคนที่ยืนอยู่ข้างล่างพลันได้สติ “ขอรับ เชิญอาจารย์ทั้งสองตามศิษย์มา” พวกเขาสองคนมองท่านเซียนที่ยืนอยู่บนเวที ประสานมือคารวะและกล่าวว่า “ท่านเซียน พวกข้าขอพาอาจารย์ทั้งสองไปพักผ่อนก่อน”
“ไปเถอะ!” เซียนผู้นั้นไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดีในเวลานี้ ทำได้เพียงปล่อยพวกเขาไป
………………………………….