เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 305 เลือกไปเป็นพระชายารอง + ต
ตอนที่ 305 เลือกไปเป็นพระชายารอง?
ได้ยินคำพูดนี้ สมุหนายกวัยกลางคนก็หัวเราะ “ท่านแม่ทัพเฟิ่งจะโกรธเคืองไปทำไมเล่า? ท่านรู้ไว้ นี่เป็นเรื่องที่หลายคนคาดหวังแต่กลับไม่ได้รับ แคว้นเหินเวหานี้เป็นแคว้นระดับหก ได้ไต่เต้าขึ้นไปเกี่ยวดองกับพวกเขานับเป็นความโชคดีที่ชั่วชีวิตบางคนไม่อาจบันดาลมาได้”
“ยิ่งไปกว่านั้น ท่านที่ส่งคนมาสู่ขอยังเป็นสมเด็จรัชทายาทแห่งแคว้นเหินเวหา ว่าที่ผู้ครองแคว้นในอนาคต แม้เป็นเพียงพระชายารองก็เป็นเกียรติอันสูงสุดแล้ว”
“เจ้าพูดจาไร้สาระ! มุกงามในมือเฟิ่งเซียวจะไปเป็นชายารอง? เกียรติยศสูงสุด? ในเมื่อเป็นเรื่องดีดั่งพรจากสวรรค์ทำไมเจ้าไม่ส่งลูกสาวไปล่ะ?”
เฟิ่งเซียวเดือดดาล พอปริปากก็พ่นคำสบถทันที เพราะยืนอยู่เบื้องหน้าสมุหนายกน้ำลายจึงกระเซ็นโดนหน้าสมุหนายกคนนั้น ทำให้สีหน้าเขาเปลี่ยนไปเดี๋ยวดำเดี๋ยวแดง
สมุหนายกคนนั้นลูบหน้าเช็ดน้ำลายที่สาดมา แอบด่าว่า ‘เฟิ่งเซียวคนนี้ช่างบ้าบิ่นตั้งแต่หัวจรดเท้า!’
ในใจแอบเคืองแต่ยังจดจำภารกิจในการเดินทางครั้งนี้ได้ ดังนั้นจึงกล่าวอย่างจริงจัง “การหมั้นหมายนี้ไม่ใช่แค่เรื่องของตระกูลเฟิ่งเจ้า แต่เกี่ยวโยงถึงความสัมพันธ์สองแคว้น เจ้าต้องรู้ไว้ว่าแคว้นเหินเวหาเป็นแคว้นใหญ่ขั้นกลางระดับหก ไพร่พลและกำลังต่อให้เป็นสิบแคว้นแสงสุริยันก็เทียบพวกเขาไม่ได้ หากการหมั้นหมายนี้เกิดเหตุร้ายอะไรขึ้น เจ้ารู้หรือไม่ว่าแคว้นแสงสุริยันอาจตกอยู่ในสถานการณ์ที่ไม่อาจฟื้นคืนตลอดไป?”
“นั่นก็ไม่มีเหตุผลที่จะเลือกลูกสาวข้าไปเป็นพระชายารอง! ยิ่งไปกว่านั้น ข้าให้สัญญาไว้แล้วว่าจะให้นางตัดสินใจเรื่องแต่งงานเอง ใครก็ก้าวก่ายไม่ได้!”
เห็นเขาเริ่มพูดจาไม่เหมาะสมก็คุยกันไม่รู้เรื่องโดยสิ้นเชิง สมุหนายกพิจารณาว่าตนล้วนพูดคำดีๆ ไปหมดแล้ว แต่คุยกับเฟิ่งเซียวคนนี้ก็เหมือนสีซอให้ความฟัง ตอนนี้จึงไม่สนใจ กล่าวว่า “ในเมื่อลูกสาวท่านไม่อยู่บ้าน งั้นท่านรับราชโองการไว้ก็เหมือนๆ กัน”
พูดจบก็เปิดราชโองการออกจะอ่านออกเสียง ใครจะคาดคิดว่าการกระทำนี้ทำให้เฟิ่งเซียวยิ่งขุ่นเคืองเสียจนเข้าไปดึงคอเสื้อเขายกขึ้นมาโดยไม่บอกไม่กล่าว
“เฟิ่งเซียว! นี่เจ้าทำอะไร? ปล่อยข้าลงเร็วเข้า!”
กำลังเขาสู้เฟิ่งเซียวไม่ได้ ยามนี้ร่างกายถูกดึงคอเสื้อยกขึ้นอย่างกะทันหัน สองขาลอยพื้นลำคอโดนคอเสื้อรัดเสียจนหายใจไม่ค่อยออกสีหน้าก็แดงก่ำตามมา สองแขนปัดป่ายขัดขืนแต่กลับตีไม่ถึงตัว
“ข้าบอกแล้วว่าไม่รับราชโองการนี้ เจ้ายังกล้าประกาศอีก?”
เฟิ่งเซียวด่าทออย่างโมโหเดือดดาล ดึงคอเสื้อหิ้วเขาก้าวยาวเดินไปข้างนอกแล้วโยนออกประตูใหญ่จวน “ไสหัวกลับไปซะ! หากกลับมาอีกข้าจะหักขาเจ้า!”
พอสิ้นเสียงประตูใหญ่จวนก็ปิดลงดังปัง เหลือไว้เพียงเหล่าผู้ติดตามที่ถูกไล่ออกมาและยังตกตะลึง
“เฟิ่งเซียว! เจ้า เจ้าคนบ้าบิ่น! ข้าจะรายงานเรื่องเจ้าต่อหน้าผู้ครองแคว้นแน่!”
สมุหนายกที่ทรุดนั่งอยู่บนพื้นเสื้อคลุมล้วนถูกดึงเสียจนยับยู่ยี่ดูแล้วน่าอับอายไม่สิ้นสุด เห็นประตูใหญ่จวนตระกูลเฟิ่งปิดลงจึงด่ากราดอย่างขุ่นข้องใจด้วยสีหน้าแดงก่ำ หลังลุกขึ้นมาจัดการเสื้อคลุมก็เดินโกรธปึงปังไปยังราชวัง
ผู้คนที่แอบสังเกตการเคลื่อนไหวจวนตระกูลเฟิ่งแอบสะดุ้งในใจ นี่เฟิ่งเซียวจะกบฏงั้นรึ? นึกไม่ถึงว่าจะกล้าโยนท่านสมุหนายกออกมา หรือว่าเขาคิดจะปฏิเสธไม่ทำตามราชโองการ?
อันที่จริงในสายตาพวกเขาการได้เป็นที่โปรดปรานของสมเด็จองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหินเวหานับเป็นเรื่องที่ดียิ่ง ถึงอย่างไรแคว้นเหินเวหาก็ไม่ใช่แคว้นธรรมดา ต่อให้เป็นพระชายารองตำแหน่งนั้นก็แตกต่างไปอย่างแน่นอน
แต่พวกเขาไม่เข้าใจ สมเด็จองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหินเวหาผู้เกรียงไกรต้องการผู้หญิงแบบไหนก็ได้ แต่ทำไมถึงส่งคนมาสู่ขอพร้อมชี้เฉพาะชื่อแซ่เป็นเฟิ่งชิงเกอด้วย?
…………………………………………
ตอนที่ 306 พินาศหรือยอมตาม?
สำหรับพวกเขา เฟิ่งชิงเกอนอกจากรูปโฉมเลิศเลอ พละกำลังก็ไม่ถึงกับขึ้นแท่น ผู้หญิงที่ไม่คู่ควรแม้แต่กับท่านอ๋องสามอย่างมู่หรงอี้เซวียนจะคู่ควรกับรัชทายาทแคว้นเหินเวหาได้เช่นไร?
มู่หรงอี้เซวียนที่อยู่ในจวนตระกูลเฟิ่งก็ตะลึงเล็กน้อย เพราะนึกไม่ถึงว่าเฟิ่งเซียวไม่เพียงไม่รับราชโองการ ยังโยนตัวสมุหนายกออกไป นี่เป็นการตบหน้าเสด็จพ่อเขาอย่างเปลือยเปล่า ด้วยอารมณ์โกรธเสด็จพ่อ หลังได้รับรู้เรื่องนี้เกรงว่าจะโมโหเป็นฟืนเป็นไฟแน่
“หึ! เกียรติยศยิ่งใหญ่? ตระกูลเฟิ่งข้าไม่ต้องการเกียรตินี้!”
เฟิ่งเซียวกลับห้องโถงอย่างโกรธปึงปัง เห็นมู่หรงอี้เซวียนยืนอยู่ในเรือนยังไม่ออกไปก็บอกว่า “ท่านอ๋องสาม กลับไปเสียเถอะ! พ่อบ้าน ส่งแขก!”
อาจเพราะการกระทำนี้ของมู่หรงป๋อทำให้เขาขุ่นเคือง ด้วยเหตุนี้แค่มองมู่หรงอี้เซวียนเขาก็รู้สึกขัดๆ ตาขึ้นมา
“เดี๋ยวก่อน ท่านอาเซียว”
มู่หรงอี้เซวียนเรียกหยุดฝีเท้าที่จะจากไปของเขาไว้ บอกว่า “ท่านอาเซียว ถึงอย่างไรเสด็จพ่อก็เป็นผู้ครองแคว้น การกระทำท่านในวันนี้ไม่เหมาะสมจริงๆ ขอรับ”
“ทำเช่นนี้ไม่เหมาะ แล้ววิธีการพ่อท่านถูกต้องรึ? ตระกูลเฟิ่งปกป้องแคว้นแสงสุริยันมาหลายชั่วอายุ ยามนี้จวนข้าเหลือเพียงชิงเกอเป็นไข่มุกล้ำค่าเม็ดเดียวในมือ ไม่นึกเลยว่าจะตอบรับการหมั้นทันทีโดยไม่แม้แต่จะถามพวกเรา ส่งลูกสาวไปเป็นพระชายารอง? ได้ยินชัดหรือไม่ พระชายารอง? ใครเล่าจะอยากได้?”
มู่หรงอี้เซวียนก็อึดอัดอยู่ในใจ เอ่ยว่า “ข้าว่าที่เสด็จพ่อทำเช่นนี้เพราะไม่มีทางเลือก ถึงอย่างไรแคว้นเหินเวหาเป็นแคว้นระดับหก หากพวกเขามากดดันแคว้นแสงสุริยันเรารับไม่ไหวแน่”
“เอาล่ะ ท่านอย่าพูดเลย ยังไงซะข้าก็ไม่ส่งลูกสาวไปเป็นพระชายารองหรอก” เขาพูดพร้อมโบกมือ ไม่อยากฟังเขาพูดอะไรมากความอีกจึงสาวก้าวออกไปทันที
“ท่านอ๋องสาม เชิญขอรับ” พ่อบ้านที่คอยอยู่ข้างๆ โค้งเอวน้อยๆ ทำท่ามือเชิญออกไป
เห็นเช่นนี้ มู่หรงอี้เซวียนจึงสาวก้าวเดินออกไป เมื่อออกประตูห้องโถงฝีเท้าก็ชะงักลง หันข้างเล็กน้อยเพี่อถามพ่อบ้านข้างกาย “คุณหนูใหญ่พวกเจ้าไม่ได้บอกรึว่าไปไหน? จะกลับมาเมื่อไหร่?”
พ่อบ้านยิ้มๆ กล่าวอย่างขออภัย “เรื่องนี้พวกเราเป็นบ่าวรับใช้จึงไม่ทราบขอรับ”
ได้ยินเช่นนี้ มู่หรงอี้เซวียนถึงจะไม่ถามอะไรมากอีก ก่อนจะสาวก้าวออกประตูใหญ่จวน
ภายในพระราชวัง
“ปัง!”
หลังฟังรายงานสมุหนายกจบ มู่หรงป๋อก็ตบมือหนึ่งลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง ลุกยืนขึ้นด้วยความโมโห ตะโกนเสียงดังลั่น “ทหาร! จับเฟิ่งเซียวไปขังไว้ในคุกซะ!”
สมุหนายกที่ยืนอยู่ข้างๆ ได้ยินคำพูดนี้ก็รีบร้อนห้ามปราม “ใจเย็นก่อนพะยะค่ะท่านผู้ครองแคว้น ทำเช่นนี้ไม่ได้แน่นอน”
“เฟิ่งเซียวช่างเหิมเกริมเหลือเกิน! หากไม่สั่งสอนเขา คงลืมไปแล้วว่าตนเป็นข้าราชสำนักของข้า!” มู่หรงป๋อสีหน้าโกรธเคือง กล่าวเสียงเข้ม “ฝ่าฝืนปฏิเสธไม่รับราชโองการอย่างโจ่งแจ้ง ลำพังแค่เรื่องนี้ข้าก็ลงโทษเขาฐานไม่เคารพได้แล้ว!”
สมุหนายกถอนหายใจ บอกว่า “แต่ท่านผู้ครองแคว้น ถึงอย่างไรเฟิ่งเซียวก็ไม่ใช่คนธรรมดา ทั้งบ้านตระกูลเฟิ่งมีเขาคอยป้องกัน หากจับเขามาขังไว้ในคุกจำจะต้องทำให้กลุ่มอำนาจจวนตระกูลเฟิ่งวุ่นวาย ทำเช่นนี้ไม่ได้จริงๆ พะยะค่ะ”
“หรือจะยกประโยชน์ให้เขาเช่นนี้? ไม่เอาเรื่อง? งั้นข้าจะเอาหน้าไปไว้ไหนได้?” ความโกรธในใจเขายากจะขจัด นึกถึงช่วงก่อนหน้านั้นที่ถูกปฏิเสธให้อยู่หน้าประตู ตอนนี้ยังละเมิดไม่ปฏิบัติตามราชโองการและท้าทายอำนาจเขาอีก ความอดทนเขาถึงขีดสุดแล้ว
“ท่านผู้ครองแคว้น สมเด็จองค์รัชทายาทแห่งแคว้นเหินเวหาจะมาถึงเร็วๆ นี้แล้ว ถึงเวลานั้น เรื่องนี้ค่อยผลักให้เขาไปจัดการเป็นพอ กระหม่อมเชื่อว่าเฟิ่งเซียวไม่กล้าปฏิเสธการหมั้นอีกแน่ แม้จวนตระกูลเฟิ่งจะแข็งแกร่งในแสงสุริยันก็สู้กลุ่มอำนาจแคว้นเหินเวหาไม่ได้ หากไม่อยากพินาศสิ้นมีเพียงต้องยอมตาม ข้อนี้พวกเขาไม่มีทางไม่รู้หรอกพะยะค่ะ”
…………………