เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 487 ต้องดูอารมณ์ข้า + ตอนที่ 488 ข้าจะตามเจ้าไปทุกเมื่อ
ตอนที่ 487 ต้องดูอารมณ์ข้า
เพียงกวาดสายตาก็มองปัญหาด้านวรยุทธ์ของนางออก เจ้าตำหนักยมราชไม่สนใจหัวข้อสนทนาก่อนหน้านั้นอีก แต่เอ่ยถามขึ้นมาว่า “วรยุทธ์เจ้าถึงคอขวดแล้วล่ะสิ?”
ได้ยินคำพูดนี้ เฟิ่งจิ่วดวงตาเป็นประกาย รีบนั่งลงตรงข้ามเขา “ใช่ วรยุทธ์พลังเร้นลับข้าอยู่ระดับยอดปรมาจารย์ขั้นสูงสุด แต่ช่วงนี้ฝึกบำเพ็ญมาตลอดกลับบรรลุไม่ได้ ข้ารู้สึกว่าอาจจะขาดจุดประสานไปอย่างหนึ่ง กำลังคิดว่าจะลองออกไปเดินหน่อยดีหรือไม่”
เจ้าตำหนักได้ฟังก็ชายตามองนางนิ่งๆ “จะสลัดข้าทิ้งแล้วออกไปซ่อนตัวกบดาน?”
“แหะๆ ที่ไหนกันเล่า ข้ากำลังอยากถามท่านหน่อยว่าจะไปด้วยกันหรือไม่?” ความคิดถูกมองออกอย่างทะลุปรุโปร่ง เธอจึงยิ้มเจื่อนพลางรีบพูดแก้
“หึ! อยากเชิญข้าไปร่วมทาง ต้องดูๆ หน่อยว่าข้ามีอารมณ์หรือไม่” เจ้าตำหนักแค่นเสียงเย็น ชัดเจนว่าในใจแสนเป็นสุข แต่กลับยังวางท่าอย่างหยิ่งยโส
“อย่างนี้เอง! ไม่เป็นไร ข้าไปเองก็ได้” ดวงตาเธออมยิ้ม มองเขาด้วยอาการเริงร่า
ได้ยินเช่นนี้และได้เห็นท่าทางระรื่นของนาง เจ้าตำหนักก็ถลึงตามอง “ใครบอกว่าข้าไม่ไป? เจ้าอย่าคิดจะทิ้งข้าไว้เชียว!”
มุมปากเธอกระตุกนิดๆ เจ้าผู้ชายจองหองแต่ไม่สำรวมนี่! ทำไมเขาไม่สำรวมต่ออีกสักหน่อยเล่า?
“อะแฮ่ม!”
มือข้างหนึ่งเจ้าตำหนักกำหมัดแตะริมฝีปากพลางกระแอมเบาๆ มองนางแล้วพูดต่อไปว่า “ฝึกบำเพ็ญไม่อาจสำเร็จในชั่วพริบตา ช่วงสองสามเดือนนี้วรยุทธ์เจ้าก้าวหน้ารวดเร็ว เป็นความเร็วในการฝึกบำเพ็ญที่คนมากมายไม่อาจเทียบ แต่จะฝึกบำเพ็ญเช่นนี้ไม่ได้ ทุกระดับล้วนต้องวางรากฐานให้มั่นคง มิเช่นนั้นวรยุทธ์ยิ่งสูง เจ้าจะยิ่งล้มเหลวได้ง่าย”
“ในเมื่อตอนนี้เจ้าพบจุดคอขวด ก็อาศัยโอกาสนี้ตามข้าออกไปฝึกฝนวิชา อย่าเพิ่งพุ่งชนอุปสรรคและพยายามบรรลุขั้นตอนนี้ มิเช่นนั้นจะไม่มีประโยชน์ต่อวรยุทธ์เจ้าในภายหน้า พวกยาอายุวัฒนะสำหรับบรรลุขั้นก็อย่ากิน วรยุทธ์ที่ใช้ยาผลักดันนั้นใช้ไม่ได้ กินยาอายุวัฒนะบ่อยๆ ทำให้เมื่อเจ้ายิ่งถึงวรยุทธ์ขั้นสุดท้ายก็จะยิ่งบรรลุไปได้ยาก”
ได้ยินแล้วเฟิ่งจิ่วก็พยักหน้าอย่างยากจะจริงจัง “อืม ข้ารู้แล้ว” จากนั้นจ้องเขาด้วยสีหน้าประหลาด ถามว่า “ท่านเจ้าตำหนัก ท่านว่างเพียงนั้นจริงเชียว? ไม่ต้องกลับไปบ้านท่านหรือ?”
มุมปากเจ้าตำหนักยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มที่ไม่อาจสังเกตพบ มองนางแวบหนึ่งแล้วจึงถาม “ทำไม? เจ้าอยากถามถึงพื้นเพตระกูลข้าหรือ อยากถามก็ถามสิ ทำไมต้องพูดจาอ้อมค้อม หากเจ้าถามข้าจะบอกเจ้าแน่นอน”
“ฮิๆ ไม่ต้องหรอก ข้าแค่ลองพูด ลองพูดเท่านั้น” เธอถอยห่างทันที ไม่อยากรู้ที่มาที่ไปหรือพื้นเพตระกูลเขาอีก รู้มากเกินไปไม่เป็นผลดีต่อเธอ
เห็นนางพลันถอยกลับไปราวกับเต่าหดหัวเข้ากระดอง เจ้าตำหนักมองนางตาเขียวอย่างไม่ได้ดั่งใจ ผู้หญิงขี้ขลาดนี่! เขาพูดชัดเจนถึงเพียงนี้นางยังทำไขสืออีก!
แต่ไม่ต้องรีบร้อน เขามีเวลาพอมากจะใช้กับนางอย่างช้าๆ อย่างไรท้ายที่สุดนางก็จะเป็นผู้หญิงของเขาเท่านั้น
นึกถึงตรงนี้ จู่ๆ อารมณ์ก็ดีขึ้นมา รอยยิ้มตรงมุมปากยกขึ้นเบาๆ จากหัวใจ ใบหน้าหล่อเหลาองอาจปกติมักเย็นชาแข็งกร้าว ยามนี้ใบหน้าเย็นชาอ่อนโยนขึ้นเพราะรอยยิ้มที่ผุดมาจากใจ ท่าทางนุ่มนวลที่แสดงออกมาโดยไม่ตั้งใจ ทำให้เฟิ่งจิ่วอึ้งมองอย่างอดไม่ได้…
เมื่อเจ้าตำหนักคืนสติกลับมา และเห็นเฟิ่งจิ่วจ้องมองเขาตรงๆ ด้วยสองตาเป็นประกาย รอยยิ้มตรงริมฝีปากก็หุบลง รอยยิ้มนั้นหายไปอย่างไร้ร่องรอย กลับมามีท่าทางเย็นชาเอาแต่ใจ เฟิ่งจิ่วเห็นแล้วมุมปากกระตุก
…………………………………………
ตอนที่ 488 ข้าจะตามเจ้าไปทุกเมื่อ
“ทำไม คิดว่าข้างดงามน่ากินอีกแล้วหรือ?” เจ้าตำหนักยมราชชายตามองเฟิ่งจิ่ว กล่าวอย่างเย็นชา “จะกินข้าไม่ง่ายนักหรอก หากกินแล้วไม่ยอมจ่ายหนี้ละก็ หึๆ!”
“แหะๆ จะกล้าได้ยังไง?” เธอยิ้มกระอักกระอ่วน เก็บท่าทางตะกละตะกลามทันใด แล้ววางสีหน้าจริงจัง “ท่านเจ้าตำหนัก เช่นนั้นท่านว่าพวกเราควรออกเดินทางเมื่อไหร่?”
เห็นนางทำสีหน้าจริงจังอย่างเสแสร้ง เขาแค่นเสียงเบาๆ “จะปล่อยพ่อเจ้าไว้ที่นี่ได้หรือ ขอแค่เจ้าปล่อยวางได้ ข้าตามเจ้าไปได้ทุกเมื่อ”
ได้ยินเช่นนี้แล้ว เฟิ่งจิ่วแอบๆ กลอกตา ตามเธอไปเมื่อไหร่ก็ได้? พูดเสียจนเหมือนตามอะไรไป กระนั้นใบหน้านางก็ยังคงมีรอยยิ้มเอาใจ บอกว่า “ปล่อยวางได้ๆ ท่านพ่อทางนี้ข้าทิ้งผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังสี่คนไว้ให้เขา อีกทั้งยังมีองครักษ์คอยปกป้อง คาดว่าแคว้นเล็กแคว้นอื่นคงไม่กล้ามารุกราน หากแคว้นเล็กอื่นๆ ไม่กล้า คนจากกลุ่มอำนาจทุกฝ่ายในราชวงศ์เฟิ่งหวงยิ่งไม่กล้า ก็ไม่มีเรื่องนั้นแล้ว”
“อีกอย่าง ข้ารู้ฝีมือความสามารถท่านพ่อดี ด้วยอำนาจและความารถในการจัดการ เขาจะดูแลราชวงศ์เฟิ่งหวงนี้ได้แน่นอน โดยเฉพาะเมื่อพวกเราเดิมทีก็เกิดและโตที่นี่ คุ้นเคยเสียจนไม่อาจคุ้นเคยได้อีก ไม่มีอะไรไม่น่าวางใจ”
นี่คือสิ่งที่เธอเคยไตร่ตรองมาหลายครั้ง ท่านพ่อจะปลอดภัยมากที่นี่ และได้แสดงความสามารถเต็มที่ ต่อให้เธอไปสักปีหรือครึ่งปีก็สบายมาก
เห็นเช่นนี้ เจ้าตำหนักยมราชมองนางแวบหนึ่ง “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ จะไปตอนนี้เลย?”
“ไม่จำเป็นต้องรีบถึงเพียงนั้น ยังไงก็ต้องเตรียมการสักพัก!” เธอคิดๆ แล้วจึงบอกว่า “สามวัน สามวันให้หลังค่อยไป ข้ายังต้องเข้าวังไปบอกท่านพ่อเรื่องนี้เสียหน่อย”
“เข้าวัง? ข้าจะไปเป็นเพื่อนเจ้า” พูดจบเขาก็ปัดชุดคลุมพลางลุกยืนขึ้น
เธอมองเขาเมื่อได้ยินเช่นนี้ ถามว่า “ข้าเข้าวังไปบอกลาท่านพ่อ ท่านจะตามไปด้วยทำไม? คงไม่กลัวข้าแอบหนีไปอีกหรอกนะ?”
“แค่ก!”
เจ้าตำหนักกระแอมไอ ในใจกระอักกระอ่วนเล็กน้อย แต่ใบหน้าไม่แสดงออกสักนิด แววตาลึกล้ำเคลื่อนจากใบหน้านางไปมองอีกด้าน กล่าวเบาๆ ว่า “ข้าต้องไปบอกลาเช่นกัน ถึงอย่างไรก็เป็นผู้อาวุโสกว่า”
“ก็ได้! งั้นไปด้วยกัน” เสียงชะงักไป เธอลังเลพักหนึ่ง ก่อนจะมองเขาพลางบอกอีกว่า “แต่ไปหาพ่อข้าแล้ว ท่านอย่าพูดจาซี้ซั้วล่ะ!”
“พูดจาซี้ซั้วอะไร?” ทีแรกเขาไม่เข้าใจจึงเพ่งมองนาง แต่เมื่อเห็นท่าทางนางเล่นหูเล่นตาก็รู้ในทันที
มุมปากเขากระตุก มองท้องฟ้าอย่างหมดคำพูด ผู้หญิงคนนี้กลัวว่าเขาจะพูดเรื่องคืนนั้นที่นางเมาเละเทะหรือ?
“อืม เจ้าเตือนข้าพอดีเลย หากพ่อเจ้ารู้ว่าเราสองคนไปถึงขั้นนั้นแล้ว จะยิ่งวางใจให้เจ้าติดตามข้างกายข้าแน่” เขาเอ่ยอย่างจริงจัง ในดวงตาดำขลับลึกล้ำกลับมีรอยยิ้มแวบผ่าน มุมปากยังยกมุมโค้งเล็กน้อยอย่างที่ไม่อาจสังเกต
เห็นเขาเอามือไพล่หลังสาวก้าวเดินออกไป เฟิ่งจิ่วก็ตกใจ รีบร้อนวิ่งตามไป “ท่านเจ้าตำหนัก ข้าเห็นว่าช่วงนี้ท่านผู้อาวุโสทั้งหล่อ เสน่ห์ความเป็นชายมากล้น…”
“ผู้อาวุโส?”
“แหะๆ พูดผิดไป ท่านนับเป็นผู้อาวุโสไม่ได้ อย่างมากก็เป็นเสน่ห์ชายชาตรีระดับท่านอา”
“ท่านอา?” เจ้าตำหนักแค่นเสียงหยัน “ปีนี้ข้าเพิ่งอายุยี่สิบห้า มากกว่าเจ้าเก้าปีเท่านั้น”
“อืม… เช่นนั้นเรียกพี่ใหญ่?” เธอถามอย่างระมัดระวัง
เจ้าตำหนักชายตามองนาง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ทำไมตอนเจ้าทั้งลูบทั้งกอดข้าถึงไม่เรียกพี่ใหญ่บ้าง?”
………………………………………………….