เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 5 หนึ่งคมมีดที่ปาดคอ + ตอนที่ 6 แรกพบชายแกร่ง
ตอนที่ 5 หนึ่งคมมีดที่ปาดคอ
ความแตกแล้ว! วิ่งสิ!
นี่คือการตอบสนองแรกของเธอ และเธอก็ลากเท้าวิ่งออกไปด้านนอกจริงๆ แต่ใครจะรู้ว่ากลับมีแสงเย็นเยียบสายหนึ่งแวบมาเบื้องหน้า กลิ่นอายกระหายเลือดชวนขนลุกนั้นชัดเจนว่าเป็นจิตสังหารที่น่าพรั่นพรึง พอเห็นแสงเย็นวาบตรงมาทางนี้ เธอย่อตัวลงทันทีอย่างไม่ต้องคิด
“ฟุ่บ!”
“กรี๊ด…”
พลังกระบี่ที่รวดเร็วดุดันเหมือนแฉลบผ่านเหนือหัวไป ข้างหูเต็มไปด้วยเสียงอุทานและเสียงกรีดร้อง ฝูงชนที่วิ่งกันสะเปะสะปะต่างผลักกันไปมา เฟิ่งจิ่วกลับพบว่าข้างกายมีที่ว่างเพิ่มมามากมาย พอเงยหน้าขึ้น คนรอบข้างก็ถูกหนึ่งกระบี่นั้นปาดคอจนล้มลงสิ้นใจโดยมีเธอเป็นศูนย์กลาง
‘โชคยังดีที่เราหลบได้เร็ว’
ขณะที่เธอแอบนึกว่าตนเองช่างโชคดี ก้าวขาเตรียมจะเคลื่อนไหว รองเท้าข้อสูงสีดำคู่หนึ่งกลับมาหยุดลงตรงหน้า ดวงตาของเธอที่หลุบลงพลันมีแสงสลัววาบผ่าน เธอเงยหน้าขึ้นอย่างขลาดกลัว ร่างก็กำลังสั่นเทิ้ม “ฮือ…”
มีชายสวมชุดดำผู้หนึ่งยืนอยู่เบื้องหน้า ใบหน้ามีผ้าสีดำปิดไว้จึงเห็นหน้าไม่ชัด แต่ดวงตาคู่นั้นฉายแววโหดเหี้ยมชั่วร้าย เฉกเช่นยาพิษที่ทำให้คนอกสั่นขวัญแขวน เวลานี้กระบี่ที่เขาถือชี้ลงพื้นยังมีเลือดสีสดไหลริน หยดลงบนพื้นทีละหยดจนเป็นจุดคล้ายมีดอกเหมยแดงเบ่งบาน
ไม่รู้ว่าเธอจงใจหรือไม่ ผ้าผืนบางที่คลุมอยู่บนร่างลื่นหล่นลงพื้นเพราะร่างกายสั่นเทา เผยให้เห็นผิวพรรณขาวเนียนเกลี้ยงเกลา เธอปิดบังใบหน้าไว้ แต่ดวงตาที่ตราตรึงใจกลับเอ่อคลอไปด้วยน้ำ ประกอบกับร่างแบบบางที่สั่นไหว ทำให้ดูแล้วน่าสงสารยิ่ง
เห็นชัดว่าชายชุดดำผู้นั้นไม่ใช่คนหลงใหลในนารี ยามเห็นผิวกายขาวเนียน แววตาชั่วร้ายฉายประกายขึ้นมาชั่วขณะหนึ่งแต่ก็ละสายตาไปอย่างรวดเร็ว เขามองไปยังกลุ่มคนที่ถอยหนีราวกับกำลังค้นหาอะไร และตอนนั้นเอง มือที่ถือกระบี่ไว้ก็ขยับเบาๆ เตรียมจะฆ่าคนที่ขวางหูขวางตาตรงหน้านี้เสีย
รังสีการฆ่าฟันตลบอบอวล ทำให้เฟิ่งจิ่วตะโกนขึ้นอย่างตื่นตระหนก “ฮือ…อย่าฆ่าข้าเลย…” ทว่าพริบตาที่กำลังยืนขึ้น มือของเธอสัมผัสผ่านต้นขา ก่อนที่กริชประกายคมกริบจะฟันไปที่ข้อมือซึ่งถือกระบี่ไว้ด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าฟาด
“ฉัวะ! แกร๊ง!”
เพราะไม่รู้สึกว่าเด็กสาวตรงหน้ามีจิตคิดสังหาร ทำให้เขาประมาทเลินเล่อไป อีกทั้งด้วยระยะใกล้ ข้อมือที่ไม่ทันระวังจึงบาดเจ็บเลือดไหลและสั่นไหวไม่หยุด กระบี่ในมือจับไว้ไม่อยู่ร่วงลงพื้นอย่าง ก่อนที่เขาจะยกเท้าเตะไปตามสัญชาตญาณ
เท้าที่เตะไปนั้นมีทั้งคลื่นลมและพลังแฝงรุนแรง ถึงผู้มีวรยุทธ์รับลูกเตะของเขาไปก็รอดชีวิตยาก แต่กลายเป็นว่านางหลบเท้าของเขาที่เตะไปตรงหน้าอกนางได้ด้วยท่วงท่าพิสดาร เพียงแวบหนึ่ง เขาเห็นว่าเด็กสาวกระโจนเข้ามา กริชในมือนางเล็งมาที่หน้าอกของเขา จึงยื่นมือออกไปต้านรับตามสัญชาตญาณ แต่ใครจะคิดว่าที่นางโจมตีเป็นการหลอกล่อ ในขณะที่กริชนั้นแทงมา เท้านางก็เตะเข้าตรงหว่างขาของเขา
“อ๊าก!”
ความเจ็บปวดแทบขาดใจทำให้เขาร้องครวญอย่างทรมาน สองขาหดชิดและอ่อนยวบลงไปโดยไม่อาจควบคุมได้ แต่เพราะเหตุนี้จึงเป็นโอกาสทองของนาง กริชเล่มนั้นถูกนางดึงกลับมาปาดเข้าที่ลำคอเขา หนึ่งคมมีดปาดคอหอย! ปลิดชีวิตในหนึ่งการโจมตี!
ถึงตายแล้ว ดวงตาของชายชุดดำก็ยังคงเบิกกว้างอย่างไม่ยอมและแค้นใจ ราวกับไม่อยากเชื่อว่าตนเองจะตายด้วยน้ำมือของสตรีนางเดียว
ฝูงชนที่ตื่นตกใจจนถอยห่างไปด้านในต่างมองเหตุการณ์เบื้องหน้าด้วยความตกตะลึง พวกเขาเบิกตาโตอย่างเหลือเชื่อ ไม่กล้าเชื่อว่าเด็กสาวอ้อนแอ้นที่ก่อนหน้านี้ยังร้องไห้เสียงเบาจะกลายเป็นมือสังหารในพริบตา ซ้ำยังสังหารชายชุดดำผู้นั้นด้วยวิธีที่โหดเหี้ยมดุดัน แต่ไม่รอให้พวกเขาได้สติ หลังจากสังหารคนแล้วเด็กสาวก็วิ่งหนีออกไปโดยไม่คิดจะหันหลังกลับ และหายลับไปในยามค่ำคืน…
…………………………………………………….
ตอนที่ 6 แรกพบชายแกร่ง
เงาร่างผอมเล็กร่างหนึ่งนั่งหาวอยู่ตรงมุมถนนอับสายตาผู้คน ดวงตานางชำเลืองมองทหารแต่ละกองลาดตระเวนไปมาบนทางถนนใหญ่ซึ่งมีผู้คนสัญจร มือหยิบแอปเปิลลูกหนึ่งจากในอกเสื้อขึ้นมากัดอย่างเบื่อหน่าย
ร่างนั้นสวมเสื้อผ้าขอทานที่ทั้งเก่าและสกปรก ใบหน้ามอมแมมเปรอะดินอยู่ไม่น้อย เส้นผมทั้งหมดรวบเก็บไว้ในเศษผ้าชิ้นหนึ่ง ดูไปแล้วเป็นขอทานน้อยร่างผอมบาง ใครก็คงนึกไม่ถึงว่าคณิกาหอนางโลมที่ทำให้ผู้ดูแลเมืองโกรธเกรี้ยวจนต้องออกคำสั่งตามจับ จะเป็นขอทานน้อยอยู่มุมถนนเช่นนี้
‘ซวยจริงๆ! จะออกไปยังดี? ต่อให้เราอดทนรอได้ แต่ยาพิษในตัวเรารอไม่ได้หรอกนะ!’ เฟิ่งจิ่วกัดแอปเปิลพลางถอนใจเสียงเบา หากเธอรู้ตั้งแต่แรกว่าชายน่ารังเกียจที่ถูกตนฆ่าเมื่อคืนเป็นลูกชายเพียงคนเดียวของผู้ดูแลเมือง จะอย่างไรเธอก็ไว้ชีวิตเขา อย่างน้อยตอนนี้ผู้ดูแลเมืองก็คงไม่ส่งทหารอารักขามาตามหาตัวเธอกันทั่วเขตเมือง
แต่ชายชุดดำเมื่อคืนเป็นใครกัน? นักฆ่าหรือ
เมื่อนึกถึงกลิ่นอายพลังที่พวยพุ่งออกมาจากร่างในขณะที่เขาลงมือ ใจเธอขุ่นเคืองอยู่บ้าง เดิมทีเธอคิดว่าคนส่วนใหญ่จะเกิดใหม่ในยุคราชวงศ์โบราณอะไรทำนองนั้น แต่ใครจะรู้ว่าคนของโลกนี้ฝึกวิชาเซียนด้วย วิชาเซียน ของพวกนี้ช่างเพ้อฝันเกินไปแล้ว แต่พอคิดว่าคนจากศตวรรษที่ 21 เช่นเธอมาเกิดใหม่ในที่ประหลาดนี้ได้ ก็ไม่แปลกอะไรนักแล้ว
ฝึกบำเพ็ญเป็นเซียนเลยนะ! หากอยู่ต่อหน้าเหล่าผู้ฝึกเซียน ทักษะฝีมือของเธอก็ไม่มีประโยชน์แล้ว!
พอกินแอปเปิลหมดเธอก็โยนทิ้ง ก่อนจะนั่งถอนหายใจอยู่ตรงนั้นอย่างเหงาหงอยไร้ชีวิตชีวา จนกระทั่งมีเสียงหนึ่งดังกังวานขึ้นตรงหน้า
“แกร๊ง!”
ด้านในชามผุพังเบื้องหน้า มีก้อนเงินก้อนหนึ่งกลิ้งวนรอบแล้วหยุดนิ่งตรงกลางชาม เฟิ่งจิ่วตกตะลึง เธอเห็นเงินในชามเก่า จึงหยิบขึ้นมาดู ความรู้สึกไม่ต่างอะไรจากก้อนหินเลย แค่ภายนอกเป็นสีเงินเท่านั้น
เธอเงยหน้ามองไปทางคนที่โยนเงินมา เห็นเพียงแผ่นหลังอันงดงามซึ่งสวมเสื้อคลุมสีดำไว้ เขากำลังเดินอย่างช้าๆ ด้วยย่างก้าวแผ่วเบามั่นคง ทั้งร่างมีรัศมีเย็นชาที่คนทั่วไปไม่อาจเข้าใกล้แผ่กระจาย
เฟิ่งจิ่วขบคิด ก่อนพุ่งเข้าไปหมายจะกอดต้นขาเขาไว้โดยไม่ลังเล ปากก็ตะโกนร่ำไห้ว่า “ฮือ…พี่เขย! พี่เขยข้าหาท่านเจอแล้ว! อืม!” ทันใดนั้นคนตรงหน้าเบี่ยงตัวหลบ เธอกระโจนเข้าหาพื้นที่ว่างเปล่าเบื้องหน้าเพราะแรงเฉื่อย สองมือถลอกปลอกเปิกจนต้องร้องครวญ
ชายในเสื้อคลุมสีดำขมวดคิ้วน้อยๆ หลังจากสายตาที่ลึกล้ำและแข็งกร้าวกวาดมองขอทานบนพื้น เขาก็ก้าวเดินต่อไป มองแวบเดียวเขาก็ดูออกว่าขอทานบนพื้นเป็นแค่คนธรรมดาที่ไร้วรยุทธ์
แน่นอนว่าตอนนี้เฟิ่งจิ่วเป็นเพียงสามัญชนคนธรรมดาจริงๆ ระดับพลังเล็กน้อยของร่างก่อนก็สูญสลายไปเพราะยาที่ซูรั่วอวิ๋นบังคับยัดเข้าปากมา เธอในเวลานี้จึงเป็นแค่คนคนหนึ่งที่ไร้ซึ่งวรยุทธ์
ด้วยเหตุนี้ เมื่อเหล่าผู้ฝึกเซียนเห็นสามัญชนที่ไร้วรยุทธ์อย่างเธอ ก็จะยิ่งไม่สนใจและไม่ระวังตัวกันมากนัก
“พี่เขย! พี่เขยอย่าทิ้งข้าเลย ฮือ…ช่างยากเย็นยิ่งนักกว่าข้าจะหาท่านพบ พี่เขย…” เมื่อเธอตะเกียกตะกายขึ้นมาได้ก็กระโจนไปด้านหน้าอีก และล้มลงอีกหลายครั้ง จนในที่สุด ชายในเสื้อคลุมสีดำตรงหน้าก็หยุดฝีเท้าลง
“พี่เขย!” เฟิ่งจิ่วไม่ปล่อยให้โอกาสหลุดมือไป ทั้งแขนและขากอดเข้าที่ขาของชายผู้นั้น รัดเขาเอาไว้แน่น แล้วปรายตาที่มีน้ำตาคลอเบ้าขึ้นมองอย่างขลาดกลัวเล็กน้อย
แต่เมื่อมองเห็นใบหน้าของชายผู้นี้ มุมปากเธอกลับกระตุกแวบหนึ่งโดยไม่อาจควบคุม…เธอกอดผิดขาเสียแล้วหรือเปล่า?
…………………………………………………….