เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 703 เจ้าหน้าอ่อนเฟิ่งจิ่ว + ตอนที่ 704 ไล่ออกจากสำนักศึกษา
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 703 เจ้าหน้าอ่อนเฟิ่งจิ่ว + ตอนที่ 704 ไล่ออกจากสำนักศึกษา
ตอนที่ 703 เจ้าหน้าอ่อนเฟิ่งจิ่ว + ตอนที่ 704 ไล่ออกจากสำนักศึกษา
ตอนที่ 703 เจ้าหน้าอ่อนเฟิ่งจิ่ว
“ฟะ เฟิ่งจิ่ว? เจ้ามาได้อย่างไร?” ไป๋รั่วเฟยแค่เห็นเขาก็ลุกขึ้นยืนทันที สีหน้าท่าทีที่เคยตึงเครียดยิ่งเครียดเข้าไปใหญ่
“ข้ามาหาเยี่ยจิง” มุมปากเธอยกเล็กน้อย มองไปยังเยี่ยจิง “ข้ามีธุระกับเจ้า”
เยี่ยจิงได้ยินเช่นนี้ หลังจากลุกขึ้นบอกลาไป๋รั่วเฟยก็เดินไปทางเฟิ่งจิ่ว และตามอีกฝ่ายมายังสถานที่ไร้ผู้คน จากนั้นจึงถาม “พวกเราจะไม่จับนางไปห้องเรียนหรือ?”
“ไม่ต้องๆ ข้ามีวิธีจัดการที่ดีกว่า” เธอหรี่ตายิ้ม กระดิกนิ้วให้สัญญาณเยี่ยจิงเข้ามาใกล้หน่อย
เยี่ยจิงเห็นเช่นนี้จึงเข้าไปใกล้เล็กน้อยและเอี้ยวหูเข้าไป ฟังเสียงกระซิบจากเฟิ่งจิ่วพลางพยักหน้า “อืม ข้ารู้แล้ว เช่นนั้นตอนนี้เจ้าไปเถอะ” กล่าวจบถึงหมุนตัวจากไป
ไม่นานนัก เฟิ่งจิ่วไปยังเรือนไป๋รั่วเฟยอีกครั้ง หลังจากกดจุดลมปราณทำให้สลบก็แบกนางไป
บริเวณประตูเขตเรือนของสำนักพลังวิญญาณ ไป๋รั่วเฟยที่สองมือถูกมัดไว้ด้วยกันห้อยอยู่ระหว่างเสาประตูหินสองขาลอยกลางอากาศห่างจากพื้นเกือบหนึ่งเมตร ซ้ำยังหมดสติและแกว่งไปมาอยู่ตรงนั้น น้ำหนักตัวถูกรับด้วยเชือกที่รัดไว้ เพราะเหตุนี้สองมือจึงโดนรัดจนมีรอยเลือด
“นั่นไป๋รั่วเฟยที่ตามอยู่ข้างกายเยี่ยจิงบ่อยๆ ไม่ใช่หรือ? ทำไมนางโดนห้อยไว้บนนั้น?”
“เป็นไป๋รั่วเฟยคนนั้น แล้วทำไมนางถึงหมดสติ?”
“ใครแขวนนางไว้ตรงนี้ นางไปขัดใจใครเข้าหรือ?”
เหล่านักเรียนสำนักพลังวิญญาณโดยรอบยิ่งมารวมตัวกันมากขึ้น แต่ละคนต่างชี้มือชี้ไม้ไปยังไป๋รั่วเฟยที่ถูกแขวนไว้ กลับไม่มีใครคิดจะปล่อยนางลงมา
บริเวณไม่ไกล เฟิ่งจิ่วเห็นนักเรียนรอบๆ รวมตัวกันไม่น้อยแล้วก็ยกริมฝีปาก เก็บหินก้อนเล็กขึ้นมา จากนั้นยื่นแขนดีดออกไปคลายจุดลมปราณ ครั้นจุดลมปราณถูกคลาย เพียงได้ยินไป๋รั่วเฟยคนนั้นร้องอู้อี้ ด้วยเหตุนี้ยาอายุวัฒนะที่เฟิ่งจิ่วใส่ไว้ในปากนางจึงลื่นลงคอไปในทันทีโดยที่ยังไม่ทันตอบสนองอะไร
“เฮือก!”
เมื่อฟื้นคืนสติ ความเจ็บบนมือทำให้นางสูดลมหายใจ ดิ้นรนคิดจะแก้มันออก แต่พบว่าตัวเองห้อยอยู่กลางอากาศ ตนเองถูกมัดสองมือไว้แน่นย่อมแก้ไม่ออกแน่นอน และไม่รู้ว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ เห็นแต่โดยรอบมีนักเรียนไม่น้อยล้อมไว้ จึงร้องขอความช่วยเหลือ
“ใครก็ได้ปล่อยข้าลงไปที ช่วยข้าหน่อยสิ แก้เชือกปล่อยข้าลงไป”
“เจ้าคือคนคนนั้นที่ตามอยู่ข้างศิษย์พี่เยี่ยจิงบ่อยๆ ไม่ใช่หรือ ทำไมถึงถูกแขวนไว้ตรงนี้? เจ้าไปขัดใจใครหรือไม่?” มีนักเรียนถามเสียงสูงพร้อมเดินเข้าไปจะแก้เชือกออก ทว่าเมื่อได้ยินคำพูดต่อมา ร่างกายก็ชะงักทันควัน แล้วมองไปยังหญิงชุดขาวคนนั้นด้วยความตกตะลึง
“เยี่ยจิง? ใช่ๆๆ ข้ากับเยี่ยจิงเป็นพี่น้องกัน พวกเรา…ใครเป็นเป็นพี่น้องกับนางกัน? นางแพศยานั่นวางท่าถือตัวทั้งวัน…”
เอ่ยเช่นนี้ออกไป ไป๋รั่วเฟยก็ตื่นตกใจ สีหน้าพลันขาวซีดขึ้นมา แต่ไม่รู้เป็นอะไรนางถึงเหมือนอยากจะกล่าวคำพูดในใจออกมา ตนเองอยากควบคุมยังทำไม่ได้ แม้คิดปิดปากก็ยังอ้าปากพูดต่อไปโดยไม่รู้ตัว
“นางแพศยาเยี่ยจิงถือสิทธิ์อะไรศิษย์พี่โอวหยางถึงชอบนาง? นางไม่มีค่าพอจะทำให้ศิษย์พี่โอวหยางหวั่นไหวด้วยซ้ำ ทุกครั้งที่ข้าเห็นนางล้วนอยากจะฉีกหน้ากากแสนเย่อหยิ่งนั่นทิ้ง เสียดายที่หาโอกาสไม่ได้ เหอะๆ นางน่ะเป็นคนโง่ถึงได้ตามข้าไปเทือกเขาหมื่นอสูร ข้าจงใจหลอกล่ออสูรศักดิ์สิทธิ์ไปไล่ฆ่านาง ไม่นึกว่านางจะโชคดีแม้เป็นเช่นนั้นแล้วก็ยังไม่ตาย เจ้าหน้าอ่อนสมควรตายเฟิ่งจิ่วนั่นช่วยนางไว้ เฮอะ ในเมื่อฆ่าไม่ได้ข้าก็จะทำลายนางเสีย นางเดินชิดใกล้เจ้าหน้าอ่อนนั่นไม่ใช่หรือ? ข้าแค่…”
………………………………………………….
ตอนที่ 704 ไล่ออกจากสำนักศึกษา
ผู้คนด้านล่างต่างอึ้งตกใจ มองไป๋รั่วเฟยคนนั้นเล่าความลับต่างๆ ไม่หยุดหย่อน ฟังว่านางพูดเรื่องใส่ร้ายเยี่ยจิงและปล่อยข่าวลืออย่างไรตั้งแต่ต้นจนจบ ขณะที่นักเรียนสำนักพลังวิญญาณพวกนั้นสูดลมหายใจ ภายในความคิดมีเพียงคำพูดประโยคหนึ่งผุดขึ้นมา
พิษร้ายแรงที่สุดคือหัวใจหญิงสาว!
เยี่ยจิงปฏิบัติต่อนางเฉกเช่นพี่น้อง นางกลับใส่ร้ายและทำลายชื่อเสียงความบริสุทธิ์ของเยี่ยจิงเพราะความริษยา ผู้หญิงคนนี้…ใจดำเกินไปจริงๆ
บริเวณไม่ไกล เฟิ่งจิ่วลูบๆ คาง ‘เจ้าหน้าอ่อน? เธอหน้าตาเหมือนเจ้าหน้าอ่อนหรือ? โกหกชัดๆ! ชัดเจนว่าเธอเป็นเพียงหนุ่มน้อยรูปงามที่ใครเห็นก็รักดอกไม้เห็นยังเบ่งบาน’
ดวงตาที่หรี่ลงครึ่งหนึ่งเหลือบมอง สายตาหยุดลงบนร่างอาจารย์สองสามคนกับเยี่ยจิงที่อยู่ไม่ไกล ดูท่าทางเรื่องนี้เธอคงไม่ต้องอธิบายอะไรอีกแล้ว ดังนั้นจึงหมุนตัวเตรียมจะจากไป ตอนกลับจะถือโอกาสแวะเก็บของกินที่ห้องครัวอีกนิดหน่อยด้วย…
รอจนฤทธิ์ยาผ่านไป ไป๋รั่วเฟยที่หน้าขาวซีดเห็นสายตากล่าวโทษจากผู้คนเบื้องล่าง ได้ยินพวกเขาชี้นิ้วด่าทอ เห็นท่าทางโกรธเคืองของอาจารย์พวกนั้น ใจนางหล่นวูบ รู้ว่าตนเองแย่แล้ว
เลือดลมพุ่งขึ้นมา เบื้องหน้าพลันดำมืด ก่อนจะเป็นลมไปเพราะยอมรับเหตุการณ์ต่อไปไม่ได้
“น่ารังเกียจเกินไปแล้ว! สำนักศึกษามีนักเรียนเช่นนี้ น่าเกลียดเหลือเกิน!” อาจารย์หลูผู้อารมณ์ฉุนเฉียวคนนั้นด่ากราด สั่งกับนักเรียนโดยรอบว่า “แก้เชือกนางลงมา คุมตัวไปห้องแนะแนวรอให้รองเจ้าสำนักจัดการ!”
“เยี่ยจิง? เยี่ยจิง?”
เมื่อพวกอาจารย์จะเรียกเยี่ยจิงมาสอบถามสาเหตุ ถึงสังเกตว่าสาวน้อยที่เมื่อครู่ยังอยู่ข้างกายไม่รู้ไปไหนแล้ว เห็นเช่นนี้พวกเขาก็ไม่สนใจ แต่สั่งพวกนักเรียนพาไป๋รั่วเฟยคนนั้นกลับไปรอรับการลงโทษ
ภายในยอดเขาหลัก
“พูดออกมาเอง?” รองเจ้าสำนักมองอาจารย์หลี่ว์ที่เข้ามารายงานอย่างแปลกใจ ถามว่า “ไม่มีใครบังคับถามก็พูดออกมาเอง?”
“ขอรับ เป็นเช่นนี้ ตอนที่พวกเรารีบไปนักเรียนผู้นั้นถูกแขวนไว้บนเสาหินประตูของสำนักพลังวิญญาณ ท่าทางนางตื่นตระหนกและหวาดกลัว อยากจะปิดปากหลายครั้งกลับยังพูดอย่างควบคุมไม่ได้ นักเรียนคนนี้โดนคุมตัวไปห้องแนะแนวการสอนแล้ว รอท่านรองเจ้าสำนักคิดว่าจะจัดการอย่างไร”
“ไล่ออกจากสำนักศึกษา บันทึกเข้าบัญชีดำ ไม่รับเข้าเรียนอีกตลอดไป” รองเจ้าสำนักพูดจบ ก็โบกๆ มือให้สัญญาณอาจารย์หลี่ว์ถอยไป
อาจารย์หลี่ว์ได้ยินเช่นนี้ หลังจากขานรับแล้วถึงถอยหลังไป ก่อนจะออกไปยังเงยหน้ามองชายหนุ่มชุดขาวคนข้างๆ อย่างอดไม่ได้ คนคนนี้ว่ากันว่าเป็นคุณชายโม่เฉิน ศิษย์ผู้เฒ่าเทียนจี
“ทำไมถึงพูดความจริงออกมาเอง? เป็นใครคงไม่ทำเช่นนี้กระมัง หรือว่าถูกบังคับ?” รองเจ้าสำนักพึมพำ ลูบเคราพลางครุ่นคิด
โม่เฉินยกถ้วยชาขึ้นเกลี่ยน้ำชาเบาๆ มองใบชาที่ลอยบนน้ำชาเหล่านั้น แววตาเขาสั่นไหวเล็กน้อย ก่อนเอ่ยอย่างนาบเนิบ “ยาสัจจะ”
“อะไรนะ?” รองเจ้าสำนักหันกลับไปมองเขา
“บนโลกใบนี้เคยมียาอายุวัฒนะชนิดหนึ่งเรียกว่ายาสัจจะ แค่กินเข้าไปจะทำให้คนพูดความจริงด้วยตัวเอง แต่ตำรายานี้สูญหายไปหลายปีแล้ว”
“ยาสัจจะ?”
รองเจ้าสำนักตกใจเล็กน้อย กล่าวด้วยสีหน้าแปลกๆ ว่า “สำนักศึกษาเราทำไมถึงมียาอายุวัฒนะเช่นนี้ได้? ยิ่งไปกว่านั้น เจ้าบอกว่าตำรายานั้นสูญหายไปเนิ่นนานแล้ว”
ทว่าสิ้นเสียงก็เหมือนนึกอะไรออก ท่าทีเปลี่ยนไปเป็นพิลึกยิ่ง “เรื่องนี้…จะเป็นฝีมือเฟิ่งจิ่วหรือไม่? แต่เขาเป็นนักเรียนสำนักยาเซียนที่เพิ่งเข้ามา ต่อให้มีตำรายาก็ไม่น่ากลั่นยาสัจจะออกมาได้กระมัง?”
“ยาสัจจะเป็นยาอายุวัฒนะระดับสอง” โม่เฉินหลับตาลง กล่าวอย่างเย็นชาว่า “ไม่ใช่สิ่งที่นักเรียนผู้สัมผัสยาอายุวัฒนะครั้งแรกจะกลั่นได้แน่นอน”
………………………………………………….