เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 707 สามคนสามสัตว์อสูร + ตอนที่ 708 โอหยางซิวกล่าวท้าประลอง
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 707 สามคนสามสัตว์อสูร + ตอนที่ 708 โอหยางซิวกล่าวท้าประลอง
ตอนที่ 707 สามคนสามสัตว์อสูร + ตอนที่ 708 โอหยางซิวกล่าวท้าประลอง
ตอนที่ 707 สามคนสามสัตว์อสูร
“ใช่ ไม่เลวเลย ข้ายังคิดว่า…”
เฟิ่งจิ่วยังเอ่ยไม่ทันจบ ก็เห็นเยี่ยจิงเดินเข้ามาด้วยสีหน้าตะลึง เดินไปพลางหันมองเหล่าไป๋ที่ตามราวกับคุณชายเจ้าชู้อยู่ข้างกาย
“เฟิ่งจิ่ว เหล่าไป๋เป็นอะไรไป?” นางมายังเบื้องหน้าเฟิ่งจิ่ว หลังตั้งสติกลับมาถึงจะสังเกตว่ายังมีชายอีกคนอยู่ จึงพยักหน้าเล็กน้อยพลางเผยรอยยิ้มบางๆ
“เยี่ยจิงเจ้ามาแล้ว พอดีเลยๆ มาๆๆ นั่งสิ” เฟิ่งจิ่วยื่นมือดึงนางมานั่งบนพื้นหญ้า ยิ้มแนะนำตัวให้ทั้งสองคน “เยี่ยจิง นี่พี่ชายข้า กวนสีหลิ่น พี่สีหลิ่น นางคือเยี่ยจิงเพื่อนข้า สาวงามอันดับหนึ่งของสำนักศึกษา”
กวนสีหลิ่นพยักหน้าไปทางนาง เผยรอยยิ้มเอ่ยว่า “ยินดีที่ได้รู้จักเจ้า”
เยี่ยจิงตกใจเล็กน้อย ยามเห็นรอยยิ้มที่ชายหนุ่มตรงหน้าเผยออกมา หัวใจก็เต้นรัวทันควัน ใบหน้าแดงก่ำน้อยๆ พยายามสะกดไว้สุดแรงถึงจะกลับมายิ้มอ่อนโยนได้ “ข้าได้ยินเฟิ่งจิ่วพูดถึงเจ้าบ่อยๆ วันนี้เพิ่งจะเห็นตัวจริง ช่างนึกไม่ถึงจริงๆ”
“นึกไม่ถึง?”
“ใช่ เจ้าเหมือนอย่างที่ข้าจินตนาการไว้เสียที่ไหน” นางก้มลงเล็กน้อยพลางพูดด้วยแววตายิ้มแย้ม เก็บซ่อนความประหม่าในหัวใจไว้
ช่างทำให้นางคาดไม่ถึงจริงๆ นางนึกว่าพี่ชายของเฟิ่งจิ่วเป็นคนอ่อนโยนสง่างาม ไม่เคยคิดว่าจะเป็นชายแกร่งกล้าเช่นนี้ แม้เพียงพบกันครั้งแรก แต่จำต้องเอ่ยเลยว่าชายตรงหน้าทำให้นางรู้สึกวิเศษมาก
เฟิ่งจิ่วข้างๆ มองทั้งสอง แววตาสั่นไหววูบหนึ่ง จากนั้นยิ้มพลางลุกยืนขึ้น “เช่นนั้น ข้าเพิ่งตื่นนอนยังไม่ได้อาบน้ำเลย! พวกเจ้าคุยกันไปก่อน เดี๋ยวข้ามา” พูดจบก็จูงเหล่าไป๋ที่นอนอยู่ข้างกายเยี่ยจิงไปทันที จะได้ไม่รบกวนการพูดคุยทำความรู้จักของคนทั้งสอง
“นี่ เฟิ่งจิ่ว…”
เยี่ยจิงเห็นเฟิ่งจิ่วออกไปก็ยิ่งตึงเครียด นึกถึงครั้งก่อนนางบอกจะแนะนำพี่ชายตัวเองให้รู้จัก ก็ไม่รู้ว่านางบอกพี่ชายไปแล้วหรือยัง? ยามนี้เหลือสองคนเพียงลำพัง ทำให้นางที่ไม่เคยเจอสถานการณ์เช่นนี้ไม่รู้จะทำตัวอย่างไร
กวนสีหลิ่นมองออกว่านางประหม่า จึงอดชะงักไม่ได้ ลูบๆ คางแล้วถามด้วยความสงสัยว่า “ชัดเจนว่าข้าโกนหนวดเคราก่อนออกมา หรือว่าตอนนี้ดูแล้วยังน่ากลัวอีก?”
“หา? ไม่ ไม่หรอก” นางเงยหน้าอย่างตกใจ หลังสบสายตาที่มีรอยยิ้มจากเขาก็ละออกไปด้วยความตื่นตระหนก
กวนสีหลิ่นเห็นท่าทาง แม้รู้สึกแปลกๆ แต่ก็ไม่ได้ใส่ใจ ยิ้มถามไปว่า “เจ้าเป็นคนแคว้นเหินเวหารึ? หรือว่าแคว้นอื่น?”
เมื่อเปิดหัวข้อสนทนา เยี่ยจิงค่อยๆ กลับมาใจเย็นอ่อนโยนเช่นปกติ นางพบว่ากวนสีหลิ่นรู้กว้างไม่น้อย ฟังเขาเล่าเรื่องที่ตามกลุ่มทหารรับจ้างไปฝึกวิชาข้างนอก ทั้งสองจึงค่อยๆ สนทนากันได้
เฟิ่งจิ่วด้านในอาศรมเห็นเช่นนี้ ก็เม้มริมฝีปากยิ้มอย่างอดไม่ได้ เธอบอกแล้วว่าสองคนนี้เหมาะสมกัน
คุยกันได้ก็ดี ไปงีบอีกหน่อยค่อยออกมาแล้วกัน เฟิ่งจิ่วคิดพลางเดินหาวเข้าห้องไปพักผ่อน…
จนกระทั่งเกือบๆ เที่ยง สองคนถึงนึกได้ว่าเฟิ่งจิ่วเข้าไปตั้งนานยังไม่เห็นเงา กวนสีหลิ่นจึงยิ้มพลางลุกยืนขึ้น “เยี่ยจิง เจ้านั่งรอสักครู่ ข้าจะไปเรียกเสี่ยวจิ่วมา แล้วค่อยไปกินปลาย่างตรงลำธารในภูเขาด้วยกัน”
“ได้สิ” นางพยักหน้าขานรับ มองเขาเดินไปยังอาศรมที่ไม่ได้ปิดเขตอาคมไว้
เวลาประมาณครึ่งก้านธูป เฟิ่งจิ่วที่อาบน้ำเรียบร้อยกับกวนสีหลิ่นก็เดินออกมาพร้อมกัน พอได้ยินว่าจะไปจับปลาตรงลำธาร เธอจึงมีสีหน้าตื่นเต้นดีใจ ความง่วงงุนใดๆ หนีหายไปอย่างไร้ร่องรอย
“ทำไมข้าถึงไม่นึกว่ายังไปจับปลากันได้? แต่วันนี้ในที่สุดก็ได้กินแล้ว” เธอกล่าวอย่างตื่นเต้นดีใจ เรียกเหล่าไป๋กับเสี่ยวเฮยรวมถึงอสูรกลืนเมฆามา แล้วสามคนสามสัตว์อสูรก็เดินไปยังภูเขาด้านหลังใกล้ๆ เทือกเขาหมื่นอสูร
………………………………………………….
ตอนที่ 708 โอหยางซิวกล่าวท้าประลอง
ตอนเย็น ทั้งสามที่เที่ยวเล่นแทบทั้งวันก็ต่างคนต่างแยกย้ายกันตรงทางแยก
ขณะที่เฟิ่งจิ่วกำลังพาสามสัตว์อสูรเดินไปยังอาศรม เดินไปได้ระยะหนึ่งกลับเห็นนักเรียนระดับสวรรค์สวมชุดสำนักพลังวิญญาณคนหนึ่งยืนหันหลังให้เธอบนทางเบื้องหน้า แม้เธอกับสามสัตว์อสูรเดินเข้าใกล้ก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหลบ เห็นเช่นนี้จึงเลิกคิ้วทันที
“รบกวนหลีกทางหน่อย”
ยามนี้ ชายที่หันหลังให้เธอก็หันกลับมา เมื่อสี่ดวงตาสบกัน นัยน์ตาทั้งสองต่างฉายประกายหม่น
เฟิ่งจิ่วนั่งบนหลังเหล่าไป๋พลางพินิจมองคนตรงหน้า เครื่องแบบสำนักศึกษาบนร่างยังปกปิดกลิ่นอายหลักแหลมบนร่างเขา รวมถึงท่าทางเช่นผู้เหนือกว่าไม่ได้ คนคนนี้ต่อให้เป็นนักเรียนในสำนักศึกษา ก็คงเป็นนักเรียนที่มีอิทธิพลสามอันดับแรกในสิบผู้มีพรสวรรค์ของสำนัก
ไม่เพียงมีหน้าตาโดดเด่น แต่ยังมีพละกำลังไม่ธรรมดา และมีฐานะสูงกว่าใครๆ คนคนนี้เป็นผู้มีพรสวรรค์อย่างไม่ต้องสงสัย
ภายในสำนักศึกษาหมอกดารา ในหมู่สิบผู้มีพรสวรรค์ คนที่มีบุคลิกและรูปลักษณ์เช่นนี้ได้ นอกจากเนี่ยเถิงคนนั้นแล้ว คงมีแค่รัชทายาทโอวหยางซิวผู้มาจากแคว้นระดับหกอีกคน
โอวหยางซิวเป็นนักเรียนระดับสร้างรากฐานคนที่สองของสำนักพลังวิญญาณ พลังอยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นกลาง เพราะเนี่ยเถิงอยู่สร้างรากฐานขั้นท้ายสุด เขาจึงโดนเนี่ยเถิงกดไว้อันดับสองของสิบผู้มีพรสวรรค์มาโดยตลอด
บอกได้เลยว่าเป็นรองเรื่อยมา
ระหว่างที่เฟิ่งจิ่วพินิจมอง โอวหยางซิวก็กำลังพินิจมองหนุ่มน้อยที่ขี่บนหลังม้าขาวเช่นกัน
ชุดสำนักศึกษาสีฟ้าที่ไม่โดดเด่น กลับมีความสง่างามน่าเกรงขามที่ไม่อาจปกปิด รูปโฉมงดงามปานเทพบุตรของหนุ่มน้อยลิขิตให้เขาเดินไปที่ไหนก็ล้วนเป็นที่สนใจ ทว่าสิ่งที่ดึงดูดความสนใจโอวหยางซิวยิ่งกว่ากลับเป็นบุคลิกและดวงตาสดใสที่ลึกลับจนไม่เห็นก้นบึ้ง
ชัดเจนว่าเป็นแค่เด็กหนุ่มอายุสิบหก สวมเพียงชุดสีฟ้าไม่สะดุดตา กลับสง่างามอย่างยากจะปิดบัง เขานั่งขี่บนม้าขาว ทั่วร่างแผ่กลิ่นอายเกียจคร้าน และแสดงท่าทีเฉยเมย ราวกับเด็กหนุ่มเจ้าสำราญเช่นนั้น
ทว่าเมื่อหนุ่มน้อยเงยหน้าขึ้น ดวงตาสดใสที่ลึกล้ำจนไม่เห็นก้นบึ้งและแฝงความลึกลับกลับแอบซ่อนความดุร้ายและแรงกดดันไว้ มองแค่แวบเดียวก็ทำให้หัวใจเขาสั่นสะท้าน!
เด็กหนุ่มที่ชื่อเฟิ่งจิ่วคนนี้มาจากแคว้นระดับเก้าจริงหรือ?
บุคลิกท่าทาง รูปโฉมหน้าตา และความแพรวพราวสง่างามเช่นนี้ เขาจะเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร?
“เฟิ่งจิ่ว?” เสียงเขาดังมา ในความทุ้มต่ำมีความดุดัน
“โอวหยางซิว?” เฟิ่งจิ่วเลิกคิ้วขึ้นเบาๆ
ดวงตาของโอวหยางซิวหรี่ลง “ข้าได้ยินชื่อเสียงเจ้ามานานแล้ว”
“เช่นกันๆ” มุมปากเฟิ่งจิ่วยกขึ้นเล็กน้อย เหมือนยิ้มแต่ก็ใช่ไม่ยิ้ม
เขามองลึกล้ำที่หนุ่มน้อยบนหลังม้า อยากจะมองให้รู้ตื้นลึกหนาบาง ดังนั้นจึงกล่าวว่า “อีกสามวันให้หลัง ข้าจะรอเจ้าที่ลานประลองวายุเมฆา” กล่าวจบ ไม่รอให้เฟิ่งจิ่วพูดตอบก็หมุนตัวจากไปทันที
ในความคิดเขา คนอย่างเฟิ่งจิ่วผู้นี้ หากตนเองกล่าวท้าประลอง อีกฝ่ายไม่มีทางไม่มา
แต่เขายังไม่เข้าใจและประเมินเฟิ่งจิ่วต่ำไป จึงไม่รู้เลยว่าเฟิ่งจิ่วแค่ฟังคำพูดนี้ไปโดยไม่แม้แต่จะเก็บมาใส่ใจ
ขณะมองร่างที่เดินไกลออกไป รอยยิ้มตรงริมฝีปากเฟิ่งจิ่วยิ่งกว้างขึ้น เธอตบๆ หัวเหล่าไป๋แล้วพูดกับหมีดำตัวใหญ่ข้างๆ ว่า “เสี่ยวเฮย พวกเราไปกันเถอะ!”
หนึ่งคนสามสัตว์อสูรย่างฝีเท้ามุ่งไปยังอาศรมอีกครั้ง
ทางด้านนี้โอวหยางซิวเพิ่งท้าประลองกับเฟิ่งจิ่ว อีกด้านไม่เพียงสำนักพลังวิญญาณ แต่นักเรียนแทบทั้งสำนักศึกษาล้วนได้ยินข่าวอย่างรวดเร็ว ต่างรู้ว่าอีกสามวันให้หลังโอวหยางซิวจะประลองกับเฟิ่งจิ่วที่ลานประลองวายุเมฆา…
………………………………………………….