เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 721 ขโมยมาจากห้องครัว + ตอนที่ 722 ช่วยได้หรือไม่
ตอนที่ 721 ขโมยมาจากห้องครัว? + ตอนที่ 722 ช่วยได้หรือไม่?
ตอนที่ 721 ขโมยมาจากห้องครัว?
เสียงนั้นดังออกมาจากในอาศรม ไม่เห็นตัวคน ขณะที่ทุกคนด้านนอกตกตะลึง ร่างหนึ่งก็พุ่งเปิดเขตอาคมออกไปปานสายฟ้า แล้วตรงไปยังอาหารรสเลิศพวกนั้น
“พี่สีหลิ่น! ท่านคงไม่ได้วิ่งไปขโมยมาจากห้องครัวกระมัง?”
เฟิ่งจิ่วมองอาหารรสเลิศตรงหน้าที่สมบูรณ์ทั้งสีและกลิ่นด้วยความตกใจยินดี ไม่มีความง่วงงุนใดๆ ในดวงตามีเพียงของกินที่เรียงรายเบื้องหน้า เธอยื่นมือจะไปหยิบน้ำแกงเกี๊ยวเนื้อบางมากินอย่างอดใจไม่ไหว ทว่ามือนั้นยื่นออกไปยังไม่ทันแตะโดน ก็ถูกพี่ชายเธอขัดไว้ก่อน
“พี่ชาย ท่านทำอะไรน่ะ?” เธอถลึงตามองอย่างไม่พอใจ
“ไปจัดการอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนค่อยออกมากิน”
กวนสีหลิ่นพูดจบก็พยักเพยิดให้นางมองไปรอบๆ ในใจทั้งจนปัญญาและสงสาร นี่เสี่ยวจิ่วหิวจนน่าอนาถเพียงใดกัน? ในดวงตามีเพียงของกินพวกนี้ ไม่ได้สังเกตว่าคนรอบข้างแต่ละคนต่างถลึงตามองนางเลยหรือ?
เมื่อเขากล่าวเตือน เฟิ่งจิ่วถึงเงยหน้ามองไปรอบๆ เห็นเช่นนี้ก็งุนงงไปบ้างทันที พวกนักเรียนและอาจารย์แต่ละสำนักตั้งมากมาย แต่ละคนต่างมองเธอราวกับเห็นผี ทำให้เธอขณะที่ตกตะลึงอดสงสัยไม่ได้
“พี่ชาย ข้าแค่นอนหลับไป ทำไมตื่นมาถึงมีคนรายล้อมมากมายเพียงนี้? หรือว่าท่านไปขโมยของมาจากห้องครัวจนพวกเขาจับได้?” เธอเขยิบไปใกล้กวนสีหลิ่น แล้วกดเสียงเบาถาม
กวนสีหลิ่นได้ยินก็กลืนไม่เข้าคายไม่ออก “อย่าพูดจาส่งเดชสิ รีบเข้าไปอาบน้ำก่อนค่อยออกมา หากช้าไปของพวกนี้เย็นแล้วจะไม่อร่อย”
สิ้นเสียงเขา ก็เห็นเฟิ่งจิ่วที่เมื่อครู่ยังอยู่ใกล้ชิดข้างกายขานรับ จากนั้นตรงเข้าอาศรมไปดุจสายลม ความเร็วนั้นทำให้ทุกคนพูดไม่ออกไปสักพัก
หนุ่มน้อยคนนั้นที่ปรากฏตัวต่อหน้าผู้คนในสภาพเส้นผมยุ่งเหยิงและง่วงนอน หากพวกเขาไม่เห็นกับตาตนเอง ก็ยากจะเชื่อจริงๆ ว่าเขาคือหนุ่มน้อยรูปงามในชุดสีฟ้าแสนสง่างามเช่นวันวาน
นึกไม่ถึงจริงๆ ว่าจะได้เห็นด้านเช่นนี้ของเขา!
เพียงแต่ประสาทรับกลิ่นของเขาเป็นอย่างไรกันแน่? ต้องชอบอาหารรสเลิศมากเพียงใด? พวกเขาตะโกนอยู่ข้างนอกนี้ตั้งนาน ระเบิดเขตอาคมตั้งหลายครั้ง และรอมานานถึงเพียงนี้ ยังไม่เห็นเขาตื่นขึ้นมาเลย
ใครรู้ว่าสุดท้ายจะถูกกลิ่นหอมอาหารปลุกให้ตื่น พวกเขาหมดคำพูดแล้วจริงๆ
ยามนี้ สายตาเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักสองคนหยุดลงบนร่างกวนสีหลิ่น คิดอีกครั้งว่าเฟิ่งจิ่วไม่เพียงไม่ธรรมดา แม้แต่คนข้างกายเขาก็เช่นกัน!
กวนสีหลิ่นคนนี้ไม่ใช่คนมากเรื่อง
มีอาหารรสเลิศเป็นตัวล่อ ความเร็วในการอาบน้ำจึงเร็วกว่าปกติไม่รู้กี่เท่า เมื่อเฟิ่งจิ่วออกมาอีกครั้ง ก็กลับมาเป็นหนุ่มน้อยผู้สง่างามที่ทุกคนเห็นในวันวาน
เธอไม่สนใจคนอื่นๆ รับตะเกียบที่กวนสีหลิ่นยื่นมาให้แล้วก็คีบเกี๊ยวเนื้อกิน พลางถามว่า “พี่สีหลิ่น พวกเขามาทำอะไรกัน?”
เยี่ยจิงข้างๆ ตักน้ำแกงโสมไก่วิญญาณให้นาง บอกว่า “กินน้ำแกงก่อนเถอะ ระวังลวกล่ะ”
“ขอบใจมาก”
เฟิ่งจิ่วส่งยิ้มให้นาง รับมาตักกินอย่างช้าๆ แล้วคีบเกี๊ยวกุ้งชิ้นหนึ่งพลางกล่าวงึมงำฟังไม่ชัดเจน “พวกท่านก็กินด้วยสิ! ข้าจะกินคนเดียวก็เกรงใจ”
แม้จะพูดไปเช่นนี้ ทว่าทุกคนเห็นท่าทางเขากินอาหารกลับไม่รู้สึกว่าเขาเกรงใจที่ตรงไหน
บนภูเขาบริเวณไม่ไกล โม่เฉินมองเด็กหนุ่มที่กำลังยัดของกินจนสองแก้มพองออก เผยรอยยิ้มโดยไม่รู้ตัว จากนั้นส่ายหน้าแล้วหันจากไป
อีกด้าน เจ้าสำนักเห็นว่าในที่สุดเฟิ่งจิ่วก็ออกมาแล้ว จึงบอกใบ้ให้รองเจ้าสำนักสั่งพวกนักเรียนโดยรอบแยกย้ายกันไป เวลานี้ถึงจะเดินไปหาเด็กหนุ่มที่กำลังกินอาหาร
………………………………………………….
ตอนที่ 722 ช่วยได้หรือไม่?
“เฟิ่งจิ่ว” เจ้าสำนักมาเรียกด้านหน้าเขา
“ท่านเจ้าสำนัก นั่งกินด้วยกันไหมขอรับ?”
เธอเงยหน้ามองเจ้าสำนักตรงหน้า ในใจรู้สึกแปลกๆ ทำไมพวกเขาถึงใจดีเลี้ยงอาหารเธอมื้อใหญ่เช่นนี้? หากบอกว่าพี่ชายเอากลับมาจากห้องครัว เช่นนั้นก็ไม่น่ามีคนมากมายเพียงนี้มาล้อมเธอไว้ที่นี่ หรือว่าจะเกิดเรื่องอะไรขึ้น?
“ไม่หรอก”
เขายิ้มๆ จากนั้นค่อยมีท่าทีจริงจัง เอ่ยว่า “อันที่จริงพวกเรามาหาเจ้า อยากจะเชิญเจ้าไปช่วยอาจารย์หลูเสียหน่อย ขอแค่เจ้ายอมช่วยเขา หากมีความต้องการหรือเงื่อนไขอะไรก็คุยกันได้ทั้งนั้น”
เฟิ่งจิ่วที่กินอาหารได้ยินคำพูดนี้ มือก็ชะงักไป “อาจารย์หลู? ล้มป่วยหรือ”
ระหว่างพูดคุยเธอยังยัดอาหารใส่ปาก ในหัวกำลังครุ่นคิดว่าที่แท้เป็นเพราะเรื่องนี้ แต่ทำไมพวกเขาถึงอยากมาหาเธอ? เพราะคำเตือนวันนั้นหรือ?
กวนสีหลิ่นหั่นเนื้อย่างให้นางพลางกล่าว “ใช่ ได้ยินว่าอาจารย์แซ่หลูคนนั้นล้มไประหว่างคาบเรียน พวกนักปรุงยากับหมอของสำนักศึกษาเข้าไปดูแล้ว อาการอันตรายมาก ซ้ำยังแจ้งว่าป่วยโรคร้ายแรง บอกว่าจะมีชีวิตอีกแค่ไม่กี่ชั่วยาม ตอนนี้คงเหลือเวลาแค่สองชั่วยามเท่านั้น”
เฟิ่งจิ่วกินน้ำแกงไก่ไปครึ่งค่อนชาม ดวงตาแวววาว ไม่พูดไม่จาทำแค่ฟังไป
กวนสีหลิ่นเล่าเรื่องราวคร่าวๆ ให้เฟิ่งจิ่วฟัง สุดท้ายยังบอกว่า “ข้าเห็นพวกเจ้าสำนักรออยู่นอกอาศรมเกือบสองชั่วยาม จึงถือป้ายคำสั่งรองเจ้าสำนักไปนำอาหารจากห้องครัวมาให้เจ้า”
ได้ยินเช่นนี้ เฟิ่งจิ่วเข้าใจเสียส่วนใหญ่แล้ว
เธอวางชามในมือลง เช็ดๆ ปากพลางมองเจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนัก “พูดเช่นนี้ ทั้งสองท่านก็รู้แล้วสิ?” เธอไม่ได้บอกว่าพวกเขารู้อะไร แต่รู้ว่าทั้งสองคนฟังคำพูดประโยคนี้เข้าใจ
“เจ้าวางใจเถอะ เรื่องอื่นพวกเราจะไม่เอ่ยถึง”
ต่อให้เขารักษาอาจารย์หลูเรียบร้อย ทุกคนจะรู้แค่ว่าเขารู้ทักษะการแพทย์ แต่ไม่คิดเชื่อมโยงเขากับภูตหมอเข้าด้วยกัน ถึงอย่างไรใครก็นึกไม่ถึงว่าภูตหมอจะวิ่งโร่มาที่สำนักศึกษาของพวกเขา
เพียงแต่ แม้ได้ยินว่าภูตหมอมีทักษะการแพทย์ฟื้นชีวิตคนใกล้ตายได้ ทว่าอาการอาจารย์หลูคนนั้นก็ไม่ธรรมดา ไม่รู้ว่าเขาจะช่วยคนกลับมาได้หรือไม่?
“ข้าจะไปดูก่อนแล้วกัน!” เธอกล่าวจบก็ลุกขึ้นบอก “ต้องดูสักหน่อยว่าอาการเป็นอย่างไร ถึงจะรู้ว่าช่วยได้หรือไม่ เวลามีจำกัดจะรีรอไม่ได้” ระหว่างพูด เธอหยิบขนนกบินตรงเอวโยนขึ้นกลางอากาศ หลังจากขึ้นนั่งก็มุ่งหน้าไปยังห้องแนะแนวการสอน
เจ้าสำนักกับรองเจ้าสำนักเห็นดังนั้นก็รีบตามไป
รอจนพวกเขาไปแล้ว เยี่ยจิงจึงมองกวนสีหลิ่นที่กำลังเก็บข้าวของ ถามว่า “เฟิ่งจิ่วมีวิธีช่วยจริงหรือ?”
“เสี่ยวจิ่วบอกแล้ว ต้องดูอาการก่อน” เขาแบ่งพวกเนื้อย่างให้เหล่าไป๋กับอสูรกลืนเมฆาที่ออกมาจากด้านในอาศรมรวมถึงหมีดำตัวใหญ่ตัวนั้น ส่วนน้ำแกงโสมไก่วิญญาณก็ยกเข้าอาศรมเฟิ่งจิ่วไป ว่าจะเก็บไว้ให้นางบำรุงร่างกาย
ทำทุกอย่างเสร็จก็สั่งสามสัตว์อสูรให้เฝ้าอาศรมไว้ ถึงจะตอบเยี่ยจิงว่า “จะไปดูหน่อยหรือไม่?”
“ไป” เยี่ยจิงพยักหน้า ร่วมทางไปกับเขา
ครั้นมาถึงห้องแนะแนว เฟิ่งจิ่วเดินเข้าไปด้านในท่ามกลางสายตาของอาจารย์หลี่ว์ที่จ้องมองอย่างขุ่นเคือง มาตรวจอาการอย่างละเอียดถึงหน้าเตียงที่อาจารย์หลูนอนอยู่
“หลอดเลือดสมองเสียหาย เลือดออกในสมอง สาหัสมากจริงๆ” เธอเอ่ยอย่างเฉยชา พลางเปิดคอเสื้อเขาเพื่อตรวจดูปัญหาตับในร่างกาย
รองเจ้าสำนักแค่ได้ยินว่าหลอดเลือดสมองเสียหายและเลือดออกในสมอง ม่านตาก็หดลงทันที ถามเสียงสั่นเครือว่า “ชะ เช่นนั้นจะช่วยได้หรือไม่?”
………………………………………………….