เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า - ตอนที่ 883 ไปทางหน้าต่าง + ตอนที่ 884 เลื่อนขั้นเป็นแคว้นระดับเจ็ด
- Home
- เซียนหมอหญิงยอดนักฆ่า
- ตอนที่ 883 ไปทางหน้าต่าง + ตอนที่ 884 เลื่อนขั้นเป็นแคว้นระดับเจ็ด
ตอนที่ 883 ไปทางหน้าต่าง + ตอนที่ 884 เลื่อนขั้นเป็นแคว้นระดับเจ็ด
ตอนที่ 883 ไปทางหน้าต่าง
“ได้ยินคำพูดเจ้านี้ เหมือนจะไม่ค่อยหวังให้ข้าไปสำนักศึกษา?” เสียงโม่เฉินแผ่วเบา น้ำเสียงอบอุ่นแท้จริงกลับเฉยชา
“เหอะๆ ได้อย่างไรเล่า? ท่านจะไปหรือไม่ อันที่จริงไม่เกี่ยวกับข้าสักเท่าไร”
เฟิ่งจิ่วเอ่ยพลางลุกขึ้นยืน ปัดๆ เสื้อคลุมบนร่าง มองไปยังเขาถามว่า “ตอนนี้ข้าพักอยู่โรงเตี๊ยมฝั่งตะวันตกเมือง ยามนี้งานสมัชชาวิเคราะห์ยาเซียนเสร็จสิ้นแล้ว เมื่อครู่บอกว่าสองวันนี้จะไป แต่ข้าคิดว่าจะไปเสียตอนนี้ ท่านจะร่วมทางไปด้วยกันจริงหรือ? เช่นนั้นก็รีบๆ กลับไปเก็บของเถอะ!”
“ข้าสะดวกไปแต่ตัว”
เขาลุกขึ้นมาบ้าง “แต่ตอนนี้ออกไปเดาว่าคงไปไหนไม่ได้ คนที่คอยด้านนอกนอกจากคนในราชวงศ์แคว้นศรสวรรค์ ยังมีคนจากแคว้นระดับหนึ่ง”
“เรื่องนี้ง่ายมาก ไปทางหน้าต่าง” เธอให้สัญญาณไปยังหน้าต่างด้านข้าง “หน้าต่างด้านหลังนั้นไปยังด้านหลังโถงวิเคราะห์ยาเซียน เดินไปจากตรงนั้นจะไม่มีคน” กล่าวจบก็พาเหลิ่งหวากับเหลิ่งซวงมุ่งไปยังหน้าต่างนั้นจริงๆ ร่างกายลอดผ่านออกไปทางด้านหลัง
โม่เฉินเห็นเช่นนี้ มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยอย่างไม่อาจสังเกต คิดว่าน่าสนใจอย่างยิ่ง ก่อนจะตามนางออกไปทางหน้าต่างพร้อมกัน
ด้านนอกห้อง คนที่รอคอยอยู่ด้านนอกนานมากก็ไม่เห็นว่าด้านในจะมีคนออกมา นึกถึงว่าหลังคุณชายโม่เฉินคนนั้นเข้าไปยังไม่ออกมา จึงเอ่ยว่า “พวกเขาอยู่ด้านในกระมัง? น่าจะยังไม่ไปหรือเปล่า?”
“ห้องนี้ไม่มีประตูหลัง คงยังอยู่กระมัง?”
“ถูกต้อง ห้องนี้ไม่มีประตูหลัง แต่มีหน้าต่างด้านหลัง พวกเขาคงไม่ไปทางหน้าต่าง เพื่อหลีกเลี่ยงพวกเราใช่หรือไม่?”
เพียงคนคนนี้เอ่ยเตือน ทุกคนก็ตกใจ คิดว่าเหลือเชื่อไปบ้าง ไปทางหน้าต่างจะเสียศักดิ์ศรีเกินไปหรือเปล่า? แต่ว่ากันว่าภูตหมอคนนั้นเดิมทีนิสัยแปลกๆ เรื่องที่พวกเขาไม่ทำ ไม่แน่ว่าเขากลับจะทำ
ดังนั้นหลังจากเคาะประตูไปไม่มีใครตอบจึงมีคนผลักประตูเข้าไป มองไปภายในห้องว่างเปล่าไม่มีใครแม้สักคน แต่บานหน้าต่างตรงหน้าต่างด้านหลังยังเปิดไว้
“ปะ ไปทางหน้าต่างจริงๆ หรือ?”
ทุกคนตกตะลึง เหลือเชื่อไปบ้าง…
แทบจะไม่ให้เวลาพวกเขาตอบโต้ หลังพวกเฟิ่งจิ่วกลับถึงโรงเตี๊ยมก็พาอสูรกลืนเมฆาออกจากเมืองหลวงกลับไป เมื่อทุกคนสอบถามได้ข่าวและเร่งไปถึงในโรงเตี๊ยมยังช้าไปก้าวหนึ่ง และไม่เห็นร่างนางเช่นเดิม
บนเส้นทางภูเขา พวกเขาที่เดินไประยะหนึ่งพักผ่อนบนพื้นหญ้า เฟิ่งจิ่วนั่งขัดสมาธิมองโม่เฉินที่นั่งข้างกัน เอ่ยถามอย่างยิ้มแย้ม “ท่านตามข้าไปเช่นนี้ พวกเขาจะหาว่าเรารวมหัวกันหรือไม่? หลังจากสมรู้ร่วมคิดก็มาเก็บรางวัลไปโดยเฉพาะ?”
โม่เฉินได้ยินเช่นนี้ก็มองไปทางนาง ถามกลับโดยไม่ตอบ “ยาห้าธาตุนั้นเจ้ากลั่นออกมาจริงหรือ? เคยใช้หรือเปล่า?”
“แน่นอนว่าข้ากลั่นออกมา มิเช่นนั้นจะได้มาจากไหน?” เธอเชิดคางขึ้น ให้สัญญาณไปทางเหลิ่งหวาข้างๆ “เห็นหรือไม่ หลังกินยาห้าธาตุไปเขาก็เกิดมีฐานพลังวิญญาณธาตุน้ำเดี่ยว”
สายตาโม่เฉินมองไปทางเหลิ่งหวา จากนั้นค่อยหลับตาลง หากเป็นคนอื่นคงไม่มีทางทำได้จริงๆ แต่นาง… กลับเปลี่ยนสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้
“นายท่าน กินขนมรองท้องเสียหน่อยเถอะเจ้าค่ะ” เหลิ่งหวาหยิบกล่องขนมออกมาวางเบื้องหน้าทั้งสอง แล้วยิ้มเอ่ยกับโม่เฉินว่า “คุณชายก็กินเสียหน่อย ระหว่างทางจะได้ไม่หิว”
“เจ้าซื้อมาเมื่อไร? ทำไมข้าไม่รู้เลย?” เฟิ่งจิ่วดวงตาเป็นประกาย หยิบขึ้นมากินชิ้นหนึ่ง พลางบอกโม่เฉินว่า “ไม่ต้องเกรงใจ หยิบเองได้เลย”
“ซื้อมาตอนออกจากเมืองขอรับ” เหลิ่งหวากล่าว แล้วหยิบอีกกล่องออกมาแบ่งกินกับพี่สาวสองคน
………………………………………………….
ตอนที่ 884 เลื่อนขั้นเป็นแคว้นระดับเจ็ด
“เหลิ่งหวา มิน่าข้าไปไหนท่านพ่อถึงบอกว่าต้องพาเจ้าไปด้วย เจ้าทำงานได้โดยที่ข้าไม่ต้องกังวลเลยจริงๆ เจ้าตั้งใจฝึกบำเพ็ญ รอภายหน้าข้าไปยังจักรวรรดิจะพาพวกเจ้าสองคนพี่น้องไปด้วย ถึงเวลานั้นจะให้เจ้าเป็นพ่อบ้าน” เธอหรี่ตาลงยิ้มพลางเอ่ย
เหลิ่งหวาได้ยินคำพูดนี้ก็ดีใจ ขานรับทันที “นายท่านโปรดวางใจ ข้าจะขยันฝึกบำเพ็ญอย่างแน่นอนขอรับ”
โม่เฉินกินขนมอย่างสง่างาม ราวกับไม่ได้อยู่ท่ามกลางป่าเขาแต่อยู่ในโถงจวนหรูหรา นั่งตัวตรงพลางลิ้มรสอย่างช้าๆ ได้ยินคำพูดพวกเขาก็กล่าวโดยไม่แม้แต่จะเงยหน้า “เจ้ายังไม่บรรลุถึงวรยุทธ์ระดับกำเนิดวิญญาณ ข้าไม่แนะนำให้เจ้าไปจักรวรรดิ”
ยังไม่บรรลุถึงระดับกำเนิดวิญญาณ ก็ไม่แนะนำให้เจ้าไปจักรวรรดิ
แววตาเฟิ่งจิ่วสั่นไหวเล็กน้อย ซ้ำยังได้ยินคำพูดนี้ เดิมทีเซวียนหยวนโม่เจ๋อก็กล่าวเช่นนี้ บอกเธอว่าไม่ถึงระดับกำเนิดวิญญาณอย่าไปจักรวรรดิ โม่เฉินก็เอ่ยคำพูดเช่นนี้ออกมาเช่นกัน หรือว่าคนในจักรวรรดิจะแข็งแกร่งและน่ากลัวเช่นนั้นจริงๆ?
“หรือว่าคนที่นั่นวรยุทธ์ล้วนอยู่ระดับกำเนิดวิญญาณขึ้นไป?” เธอถามไปอย่างอดใจไม่ไหว
“สถานที่นั้นเสี่ยวเอ้อร์ในโถงทางเดินโรงเตี๊ยมยังมีวรยุทธ์ระดับยอดปรมาจารย์พลังวิญญาณ ผู้ฝึกตนระดับหลอมแก่นพลังยิ่งเห็นได้ทุกที่ หนำซ้ำคนที่นั่นเอะอะไม่ถูกกันวิธีตรงที่สุดมักเป็นการต่อสู้”
หลังกินขนมไปสองชิ้นเขาก็เช็ดๆ มุมปาก กล่าวต่อไปว่า “ไม่มีวรยุทธ์ระดับกำเนิดวิญญาณ ซ้ำยังไม่มีกลุ่มอำนาจปกป้อง เจ้าอยู่ที่นั่นเจออะไรต้องเจียมเนื้อเจียมตัว”
เฟิ่งจิ่วครุ่นคิด ยามนี้อยู่ระดับสร้างรากฐานขั้นสูงสุด ตั้งเป้าหมายให้ตนเองไว้ว่าภายในหนึ่งปีพละกำลังจะพัฒนาถึงระดับหลอมแก่นพลัง แต่หลังกลับถึงสำนักศึกษายังต้องไปเข้าร่วมงานจัดอันดับอิทธิพล เดาว่าเวลาบางครั้งคงรับได้ไม่ไหว
ส่วนผู้ฝึกตนระดับกำเนิดวิญญาณ ภายในสองปีเธอยิ่งไม่ต้องคิดเลย
เธอสัญญากับเซวียนหยวนโม่เจ๋อไว้สิบปี แต่คิดว่าจะทำให้ตนเองก้าวหน้าถึงระดับกำเนิดวิญญาณแค่ภายในห้าปี ยามนี้ก็ผ่านไปปีกว่าแล้ว
อาจเพราะหัวข้อสนทนาตึงเครียดไปหน่อย สองคนจึงนั่งไปโดยไม่คุยอะไรอีก พักผ่อนสักพัก เฟิ่งจิ่วมองๆ ท้องฟ้า แล้วหยิบเรือเหาะออกมา บอกทั้งสามคนว่า “พวกเราขึ้นเรือเหาะกันเถอะ! ความเร็วไวกว่าหน่อย จะได้พักผ่อนบนเรือด้วย”
โม่เฉินมองเรือเหาะลำหรูหรา แล้วเหลือบมองนาง สายตาเช่นนั้นราวกับกำลังบอกว่า ‘มีของเช่นนี้ก็ไม่เอาออกมาตั้งแต่แรก’ มองเฟิ่งจิ่วอย่างหมดคำพูด
ขึ้นไปนั่งเรือเหาะ ใช้หินวิญญาณจุดเชื้อเพลิง มุ่งหน้าไปยังแคว้นเหินเวหา…
อีกด้านหนึ่ง ผู้อาวุโสสามตระกูลซั่งกวนในเมืองหลวงแคว้นศรสวรรค์หลังรู้ว่าพวกเฟิ่งจิ่วไปแล้วก็พาคนจากไปเช่นกัน คิดว่าหลังกลับถึงตระกูล จะรีบส่งคนไปตรวจสอบตัวตนเฟิ่งจิ่วคนนี้
เขาต้องรู้ให้ได้ ว่านอกจากตัวตนภูตหมอแล้ว ยังมีความเกี่ยวข้องกับคนตระกูลเฟิ่งอีกหรือไม่?
เวลาผ่านไปประมาณครึ่งเดือน พวกเฟิ่งจิ่วกลับมาถึงแคว้นเหินเวหา หลังมาถึงแคว้นเหินเวหาเธอก็เก็บเรือเหาะ กล่าวกับโม่เฉินว่า “ถึงอาณาเขตที่นี่แล้ว ข้ายังมีธุระ จะไม่กลับไปสำนักศึกษาด้วยกันกับท่าน”
โม่เฉินมองนาง เพียงหยักหน้า แล้วร่อนกระบี่ออกไปโดยไม่พูดอะไรแม้สักคำ
หลังรอเขาออกไป เฟิ่งจิ่วพาพวกเหลิ่งซวงไปคฤหาสน์วางแผนว่าหลังจากรับเหล่าไป๋จะกลับไปสำนักศึกษา เมื่อมาถึงคฤหาสน์ก็เห็นแปดองครักษ์ตระกูลเฟิ่งเข้ามาต้อนรับ
“นายท่าน ท่านกลับมาแล้ว”
ทั้งแปดคนมองนางอย่างยินดี หลังต้อนรับนางเขามานั่งด้านในถึงจะเอ่ยว่า “นายท่าน ราชวงศ์เฟิ่งหวงส่งข่าวมา บอกว่าราชวงศ์พวกเราผ่านการประเมิน เลื่อนขั้นจากระดับเก้าเป็นแคว้นระดับเจ็ดแล้วขอรับ”
………………………………………………….